everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 59 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 59 ฝัน (5)
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ หลินปั้นซย่าก็ยกเรื่องของเจียงซิ่นขึ้นมาถาม หลังถามไปแล้วถึงค้นพบว่าตนไม่ได้รู้จักรูมเมตของตัวเองดีเท่าซ่งชิงหลัวเลย ถึงขั้นที่ว่าพอมานึกย้อนโดยละเอียดแล้ว เขากลับจำไม่ค่อยได้ว่ารูมเมตของตนหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก กล่าวตามหลักเขาเองก็อยู่หอโรงเรียนมาเกือบสองปีแล้ว ทำไมแม้แต่หน้าตารูมเมตของตัวเองยังจำไม่ได้เลย หลินปั้นซย่าขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยว่า “นายสนิทกับเจียงซิ่นเหรอ”
“ไม่สนิท” เส้นหมี่ของซ่งชิงหลัวถูกยกมาเสิร์ฟก่อน เขาฉีกตะเกียบออกพลางเอ่ยเสียงเรียบ “จริงๆ แล้วฉันความจำดีมาก ถ้าเคยเจอหน้าใคร โดยพื้นฐานก็จำได้หมด แต่…”
หลินปั้นซย่า “แต่?”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “แต่ในโรงเรียนนี้ฉันกลับคุ้นหน้าอยู่แค่ไม่กี่คน อย่างมากก็ยี่สิบกว่าคน”
หลินปั้นซย่าแปลกใจ “นายบอกว่าตัวเองความจำดีมากไม่ใช่เหรอ”
“นี่แหละปัญหา” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ในโรงเรียนมีบางคนที่ไม่ว่าฉันจะมองกี่ครั้งก็จำหน้าไม่ได้สักที แต่กับบางคนที่เคยเจอหน้าแค่ครั้งเดียวก็เหมือนกับรู้จักกันอยู่แล้ว” เขาคีบเส้นหมี่ขึ้นมาหนึ่งคำก่อนยัดเข้าปาก
หลินปั้นซย่าเคยมองคนกินอาหารมาไม่น้อย แต่กับซ่งชิงหลัวนั้นเพียงแค่เส้นหมี่ก็สามารถกินได้น่ามองมาก เขาคิดในใจว่าช่างเป็นคนที่หาได้ยากจริงๆ “เป็นเพราะพวกเราคิดมากเกินไปหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวถามว่า “นายไม่ได้เจอเรื่องอะไรที่ดูไม่สมเหตุสมผลบ้างเลยเหรอ”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “…เจอสิ” เขานึกถึงเรื่องที่ตนใช้โทรศัพท์มือถือ แล้วก็บรรยายเรื่องนี้ให้ซ่งชิงหลัวฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพิ่งเล่าจบ เส้นหมี่ที่ด้านบนปกคลุมไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ ของเขาก็ถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ เนื้อวัว ซอสผัด ไส้หมู ผักดอง หมูเส้น เครื่องในไก่…ภายใต้วัตถุดิบหลากหลายนี้เขามองแทบไม่เห็นเส้นหมี่ซึ่งเป็นพระเอกของอาหารชามนี้เลย และเพื่อให้ใส่เส้นหมี่ลงไปในถ้วยได้ เถ้าแก่ก็ยังเลือกใช้ชามขนาดจัมโบ้ด้วย
หลินปั้นซย่าไม่กล้าคิดฝันเลยว่าตนจะได้กินอาหารที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมายขนาดนี้ เขาหยุดพูดทันที ก้มหน้าก้มตากินอย่างขะมักเขม้น ซ่งชิงหลัวหยุดตะเกียบ มองหลินปั้นซย่ายกชามที่ใหญ่กว่าศีรษะ สูดเส้นเข้าปากอย่างขมีขมันเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่าตนกำลังจ้องอยู่เจ้าตัวก็ทำแค่เงยหน้าที่กินจนแก้มตุ่ยขึ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “มองทะมายอ่า”
ซ่งชิงหลัวจุดยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีพลางเอ่ยเสียงเนิบ “ค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบ”
หมี่เต็มชามลงกระเพาะไป สุดท้ายหนังท้องของหลินปั้นซย่าก็ตึงจนแทบจะแตก แต่เขายึดถือคติที่ว่าจะทิ้งขว้างอาหารไม่ได้ เลยฝืนยัดเส้นหมี่ลงคอไปแล้วยังถึงกับซดน้ำซุปไปอึกใหญ่เป็นการปิดท้ายด้วย สุดท้ายตอนที่ลุกออกจากโต๊ะหลินปั้นซย่าก็รู้สึกว่าตนเดินเซเล็กน้อย ดีที่ซ่งชิงหลัวยื่นมือมาช่วยประคองทันเขาถึงทรงตัวได้
“ออกไปเดินย่อยหน่อยมั้ย” ซ่งชิงหลัวเสนอความเห็น
หลินปั้นซย่ารีบพยักหน้ารัวๆ
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงเดินเล่นรอบโรงเรียนไปรอบหนึ่ง ซ่งชิงหลัวพูดคนเดียวอยู่ชั่วครู่ถึงพบว่าหลินปั้นซย่าไม่สนใจเขาเลย จึงถามขึ้นอย่างแคลงใจ “ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
หลินปั้นซย่าชี้ปากตัวเอง
ซ่งชิงหลัว “…?”
หลินปั้นซย่าเอ่ยเนิบนาบ “อ้าปาก…แล้วมันจะ…พุ่งออกมา อุบ!”
ซ่งชิงหลัว “…”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือกินจนจุกถึงคอหอย เขาก้มหน้าเหลือบมองพลันยื่นมือไปรูดซิปเสื้อคลุมที่ปิดถึงอกของหลินปั้นซย่าลง เผยให้เห็นเสื้อยืดสีขาวที่สวมอยู่ด้านใน
หลินปั้นซย่าที่จู่ๆ ก็ถูกคนมารูดซิปเสื้อยืนตะลึงอยู่กับที่ กระทั่งมืออุ่นๆ ของซ่งชิงหลัววางทาบลงบนตำแหน่งกระเพาะแผ่วเบา เขาถึงเข้าใจว่าซ่งชิงหลัวจะทำอะไร แต่ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ซ่งชิงหลัวกดท้องของหลินปั้นซย่าที่ป่องขึ้นมาเบาๆ “เต็มจริงๆ ด้วย”
หลินปั้นซย่าบอกเขาว่า “ยะ…อย่ากด…จะอ้วกแล้ว…”
ซ่งชิงหลัวยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขายิ้มกว้างขนาดนี้ ทำเอาหลินปั้นซย่าเหม่อลอยทันที
โชคดีที่ซ่งชิงหลัวคงแค่อยากลองจับด้วยความอยากรู้อยากเห็นเฉยๆ จึงไม่ได้รังแกหนังท้องของหลินปั้นซย่าอีก ทั้งคู่เดินวนรอบสนามกีฬาสองรอบ ในที่สุดหลินปั้นซย่าก็เริ่มหายแน่นท้องแล้ว กล่าวว่าตนอยากกลับไปทำการบ้านต่อ ซ่งชิงหลัวพยักหน้าตกลง ก่อนหลินปั้นซย่าจะไปซ่งชิงหลัวยังกำชับให้เขาอยู่ห่างจากคนที่ชื่อเจียงซิ่นไว้หน่อย ดูท่าสภาพจิตใจของเจียงซิ่นจะย่ำแย่ อาจเพราะสะเทือนใจเรื่องการเสียชีวิตของเพื่อนสนิท
“พวกเขาสองคนสนิทกันมาก แทบจะแยกจากกันไม่ได้” ซ่งชิงหลัวยืนยันคำเดิมอีกครั้ง “เพื่อนที่สนิทขนาดนี้ตายไปย่อมกระทบกระเทือนจิตใจเขารุนแรงมาก จะเกิดปัญหาทางสภาพจิตใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
หลินปั้นซย่าคิดแล้วก็เห็นด้วย หากเกิดเรื่องกับเพื่อนที่สนิทที่สุดของตน เขาย่อมเป็นทุกข์สุดจะประมาณแน่ ทว่าไม่รู้ทำไมเมื่อคิดถึงคำว่าเพื่อนสนิทที่สุด เขาก็ลอบมองไปที่ซ่งชิงหลัว ก่อนจะก้มหน้าลงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หลังกลับมาจากสนามกีฬา หลินปั้นซย่าก็เดินอืดอาดกลับไปที่ห้องเรียน แต่เพราะกังวลว่าเจียงซิ่นจะยังอยู่ เขาจึงตั้งใจจะไปสำรวจก่อนแล้วค่อยเข้าไปในห้อง เขาจงใจเบาฝีเท้าลง เดินไปริมหน้าต่างเพื่อลอบมองเข้าไปข้างใน แต่ใครจะรู้ว่าไม่ได้เห็นเจียงซิ่นเลย แต่กลับเห็นหลี่ซูแทน…แล้วยังมีหลี่เย่ที่กอดหลี่ซูไว้ในอ้อมแขน
ครั้งนี้หลินปั้นซย่าเห็นเต็มสองลูกตา หลี่ซูถูกหลี่เย่กักขังอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าทั้งคู่เอียงสอดรับกัน ริมฝีปากสัมผัสกัน เสียงครวญครางของหลี่ซูติดเสียงสะอื้นไห้ ทว่ามือของเขากลับไม่ได้ผลักหลี่เย่ออก เพียงวางไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลินปั้นซย่ายืนเหม่ออยู่ตรงนั้นทันที ความคิดแรกที่แวบเข้าหัวคือหลี่ซูถูกกลั่นแกล้ง แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าใครที่ไหนจะกลั่นแกล้งกันแบบนี้ พวกเขาสองคนกำลังทำเรื่องที่ทำกันเฉพาะคู่รักอยู่ชัดๆ แต่พวกเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นี่ ผู้ชายด้วยกันจะเป็นไปได้ยังไง…
คิดมาถึงตรงนี้ในหัวสมองก็พลันมีใบหน้างดงามของซ่งชิงหลัวผุดขึ้นมา เขาตระหนักได้ทันทีว่าความคิดของตนชักจะไม่เข้าท่า หลินปั้นซย่าสะบัดหัวอย่างแรงเพราะอยากสลัดความคิดแปลกๆ นี้ออกจากหัวไป
หลี่ซูไม่ได้สังเกตเห็นหลินปั้นซย่าแต่หลี่เย่กลับหยุดชะงัก ขยับไปข้างหูหลี่ซูก่อนกระซิบอะไรบางอย่าง ทำให้พวงแก้มหลี่ซูขึ้นสีระเรื่อและร่างกายแข็งทื่อเป็นหินทันที ระหว่างนั้นหลี่เย่ก็ถือจังหวะนี้ทอดสายตามองมาที่นอกหน้าต่าง สายตาประสานกับหลินปั้นซย่าพอดิบพอดี ดวงตาของเขาเป็นสีเขียวน้ำทะเล ยามปกติก็ดูหนาวเหน็บเย็นชาอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งฉายประกายความไม่พอใจมากขึ้นอีก แทบจะในชั่วพริบตาหลินปั้นซย่าก็อ่านเจตนาข่มขู่ที่เขาต้องการแสดงผ่านสายตาออก
แทนที่จะบอกว่าหลินปั้นซย่าหวาดกลัว ควรบอกว่ากระอักกระอ่วนมากกว่า เขาดึงสายตากลับ หันหลังเดินจากไป แล้วยืนรออยู่ตรงบันไดอีกสิบกว่านาทีถึงเดินกลับห้องเรียนไปอีกครั้ง
บัดนี้หลี่เย่หายไปไม่เห็นเงาแล้ว เหลือเพียงหลี่ซูคนเดียว เขาเหลือบมาเห็นหลินปั้นซย่าแล้วยังยิ้มร่าทักทายด้วย เพียงแต่เป็นเพราะหลินปั้นซย่าเพิ่งเห็นฉากนั้นมา บัดนี้จึงมองหลี่ซูอย่างทำตัวไม่ถูก ได้แต่ขานรับเสียงคลุมเครือก่อนย้ายสายตาหนี
หลี่ซูชินกับความชอบถนอมน้ำใจของหลินปั้นซย่าแล้ว แล้วก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดตรงไหน แถมยังหัวเราะคิกคักเดินมาหยุดข้างๆ หลินปั้นซย่าและถามว่า “ปั้นซย่า เมื่อกี้นายไปไหนมาเหรอ”
หลินปั้นซย่ากล่าว “ออกไปกินข้าวกับบางคนมา”
“ฮิๆ ฉันเห็นนายด้วยนะ” หลี่ซูกล่าว “บางคนที่ว่าคือซ่งชิงหลัวใช่มั้ยล่ะ พวกนายสองคนสนิทกันขนาดนี้แล้ว แถมยัง…” เขานั่งลงข้างหลินปั้นซย่า พูดเรื่อยเปื่อยออกมาชุดใหญ่ หลินปั้นซย่าฟังแล้วก็เริ่มหาวหวอด กว่าหลี่ซูจะรู้ตัวหลินปั้นซย่าก็ฟุบหมอบกับโต๊ะลมหายใจสม่ำเสมอ เห็นได้ชัดว่าหลับปุ๋ยไปแล้ว
หลี่ซูนั่งเหม่อก่อนจะกล่าวว่า “นายเป็นหมูหรือไงหลินปั้นซย่า ทำไมถึงหลับไปทั้งอย่างนี้ล่ะ” ระหว่างที่กำลังบ่นอุบอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงสายตาเย็นเยียบ
หลี่ซูหันหน้าไปก็เห็นว่าเป็นเพื่อนในห้องเดียวกับพวกเขาที่ชื่อว่าเจียงซิ่น เขารู้จักเจียงซิ่นแต่ไม่ได้สนิทกัน รู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉินสวี่ที่เพิ่งเสียชีวิตไป แล้วก็เป็นรูมเมตของหลินปั้นซย่าด้วย
“มองทำไม” หลี่ซูไม่ได้นิสัยดีอย่างหลินปั้นซย่า แววตาเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที “มีธุระ?”
เจียงซิ่นไม่ตอบ ก้มหน้าลงไม่เอ่ยคำใด
“อย่าคิดว่าหลินปั้นซย่าใจดีแล้วจะรังแกเขาได้นะ” หลี่ซูเอ่ยเสียงเฉยชา “รีบเข้าใจหน่อยก็ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่นายจะรังแกได้”
“ฉันไม่ได้…จะรังแกเขา”
“งั้นจ้องเขาทำซากอะไร”
“ฉันแค่กำลังช่วยเขาอยู่” เจียงซิ่นน้ำเสียงราบเรียบ คำพูดที่เอ่ยออกมาฟังดูน่าขนลุกขนชัน เขากล่าว “ช่วยให้เขาออกไปจากที่นี่…ไม่สิ ช่วยให้พวกนายออกไปจากที่นี่”
หลี่ซูยิ้มเยาะ “พูดพล่ามอะไรไม่รู้เรื่อง ช่วยพูดภาษาคนหน่อยได้มั้ย”
เจียงซิ่นไม่เปล่งวาจาอีก เพียงเดินเข้ามานั่งที่ตัวเองไม่พูดไม่จา หลี่ซูซึ่งเดิมทีอารมณ์ยังไม่แย่นักถูกเขาปั่นประสาทจนเริ่มหงุดหงิด เขามองหลินปั้นซย่าแล้วมองไปนอกหน้าต่าง ก่อนพบว่าเมฆครึ้มบนท้องฟ้าเริ่มก่อตัวหนาแน่น คล้ายว่าฝนห่าใหญ่ใกล้จะตกอีกแล้ว
ภายในห้องเรียนไม่ได้เปิดไฟ ห้องเรียนที่คุ้นเคยดีบัดนี้มองแวบแรกกลับให้ความรู้สึกแปลกอยู่หลายส่วน
หลี่ซูเลียริมฝีปาก เอียงหัวพิจารณาวงเวียนปลายแหลมคมในมือ
หลินปั้นซย่าไม่เคยงีบพักแล้วหลับสนิทอย่างนี้มาก่อน ในความเลื่อนลอยเขาได้ยินเสียงฟ้าร้องดังติดๆ กันปลุกให้ลืมตาขึ้น เขาถึงกับไม่แน่ใจไปชั่วขณะว่าตนอยู่ที่ไหน หลังงัวเงียพักหนึ่งถึงตั้งสติได้ว่าที่นี่คือห้องเรียนของเขาเอง ท้องฟ้าที่ยังโปร่งอยู่เมื่อครู่ตอนนี้มืดสนิท ห้องเรียนที่ไม่ได้เปิดไฟจึงมืดมิดราวกับโลกอีกใบหนึ่ง หลินปั้นซย่ามองไปรอบทิศก็ไม่เห็นเงาของหลี่ซู เขาคิดว่าหลี่ซูคงไปแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตั้งใจจะไปเปิดไฟห้องเรียน ทว่าทันทีที่เดินมาถึงหน้าห้องกลับพบว่าไฟเปิดไม่ติด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไฟห้องเสียหรือว่าไฟดับทั้งโรงเรียน
หลินปั้นซย่าเกิดความรู้สึกกังวลในใจเล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ทราบสาเหตุและเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาเดินกลับไปที่เดิมพลันฉุกนึกอะไรขึ้นได้ หลินปั้นซย่าแหงนหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่หน้าห้องเรียน…นาฬิกากำลังเดิน ติ๊กๆ ติ๊กๆ แล้วเข็มนาฬิกาก็ซ้อนทับกันโดยชี้ไปที่เลขสิบสองอย่างพอดิบพอดี
เที่ยงคืนแล้ว? หลินปั้นซย่าชะงัก เขามึนงงเล็กน้อย ทั้งที่งีบหลับไปตื่นเดียวแต่ทำไมพริบตาก็เที่ยงคืนซะแล้ว ทันใดนั้นแสงฟ้าแลบพลันสว่างวาบติดๆ กัน ส่องทั้งห้องเรียนอันมืดมิดให้สว่างขึ้น ที่ประตูหน้าห้องมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ คนคนนั้นสวมชุดนักเรียนซ้ำยังหันหลังให้เขา ทำให้ดูลักษณะของเขาไม่ออกจริงๆ
ปฏิกิริยาแรกของหลินปั้นซย่าคือคิดว่าคนคนนี้จะใช่หลี่ซูหรือไม่ จึงเอ่ยเรียกไปว่า “หลี่ซู? ใช่นายหรือเปล่า”
ไม่มีใครตอบ
เสียงฟ้าร้องติดต่อกันประดุจกระแสน้ำซัดสาดดังขึ้นอีกครั้ง หลินปั้นซย่าฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เขาล้วงกระเป๋าหนังสือเอาโคมไฟตั้งโต๊ะเล็กๆ ออกมา โคมไฟนี้ปกติเขาใช้อ่านหนังสือในหอพัก ด้วยความที่หอพักตัดไฟจึงต้องพกมาชาร์จแบตฯ ที่ห้องเรียนด้วย หลินปั้นซย่าเปิดแหล่งกำเนิดแสงอย่างเดียวที่มีเดินไปยังประตูสองก้าวอย่างลองเชิง ผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังคงนิ่งงันไม่ขยับตัวเลยจนหลินปั้นซย่าเดินไปถึงด้านหลังเขา
“หลี่ซู? นั่นนายหรือเปล่า” หลินปั้นซย่าถามขึ้นอย่างระวังตัว
เมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้ว หลินปั้นซย่าถึงพบว่าคนคนนี้ส่วนสูงและทรงผมมีความคล้ายคลึงกับหลี่ซูอยู่เจ็ดแปดส่วน ดังนั้นจึงแน่ใจในการคาดเดามากขึ้น “ทำไมนายไม่พูดล่ะ”
อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบ ซ้ำร่างกายของเขายังขวางกั้นทางเข้าออกเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้ หลินปั้นซย่าอยากออกไปแต่ก็หาทางอ้อมเขาไปไม่ได้เลย จึงได้แต่ยื่นมือออกไปตบหลังเขาเบาๆ แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งวางมือลงไปที่แผ่นหลัง เขาก็รู้สึกทะแม่งๆ ขึ้นมา มันไม่เหมือนแตะโดนแผ่นหลังแข็งแรง แต่กลับเหมือน…แตะลงบนอะไรที่อ่อนยวบ
หลินปั้นซย่าแตะไปเพียงหนึ่งที คนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าก็ล้มลง ทว่าร่างของเขากลับเสมือนไร้กระดูก ล้มไปด้วยท่วงท่าที่ดูเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งร่างอ่อนเปลี้ยเป็นเนื้อเหลว ด้านบนสุดเป็นเรือนผมและเครื่องหน้า หลินปั้นซย่ายืมแสงไฟสลัวจากโคมไฟส่องให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังอ้าปากพะงาบๆ เหมือนกำลังเอ่ยบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หลินปั้นซย่าเห็นภาพนี้ตัวก็นิ่งค้างเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกขยะแขยงหรือว่ากลัว เขาไม่สบายใจเล็กน้อยและไม่อยากมองอีก ตรงปรี่ข้ามตัวคนคนนี้ออกไปยังระเบียงทางเดินโล่งๆ ทันที
บรรยากาศตอนนี้คือโรงเรียนในตอนเที่ยงคืน เสียงฟ้าร้องดังต่อเนื่อง ในที่สุดก็ได้ต้อนรับการมาถึงของฝนที่สาดเทลงมา หยาดฝนตกกระทบดาดฟ้าดังเปาะแปะเป็นเสียงเสนาะหู
บนระเบียงทางเดินมีเพียงหลินปั้นซย่าคนเดียว เขายืนเซ่อซ่าอยู่ที่เดิม จากนั้นพลันได้กลิ่นคาวลอยมาเตะปลายจมูก แทบจะชั่วพริบตาเขาก็จำแนกออกในทันใดว่านี่คือกลิ่นของเลือด มิหนำซ้ำยังเป็นเลือดที่สดใหม่อย่างยิ่ง หลินปั้นซย่าเหม่อลอยไปชั่วขณะ เขาหยิกแขนตัวเองแรงๆ ก็พบว่ามีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่จริงๆ เขาไม่ได้ฝันอยู่ แต่ทำไมทุกสิ่งรอบๆ ถึงได้แปลกประหลาดถึงขนาดนี้ แปลกประหลาดจนเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกความเป็นจริง
ในตอนที่หลินปั้นซย่าอยู่ในห้วงความคิด ปลายทางเดินอันมืดมิดก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้น…มีคนกำลังใช้ของมีคมเคาะกระเบื้องบนผนังเบาๆ
หลินปั้นซย่าปิดโคมไฟในมือโดยอัตโนมัติ เขาถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะรู้สึกว่าเท้าของตนเหยียบน้ำเปียกชื้นเข้า เสียงเคาะดังไพเราะเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าจิตใจปั่นป่วนอย่างรุนแรง เขาถอยหลังอีกหลายก้าวหมายจะหาสถานที่หลบซ่อน ทว่าทันทีที่ขยับออกไปก้าวหนึ่ง คนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กลับเรียกชื่อของเขา
“หลินปั้นซย่า” เป็นเสียงของซ่งชิงหลัว เขากล่าวเสียงแผ่วเบาประดุจขนนก “ใช่นายหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าไม่คิดว่าจะได้พบซ่งชิงหลัว จิตใจเบิกบานขึ้นมาทันใด “ฉันเอง…ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ”
“มานี่” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”
หลินปั้นซย่ากำลังจะเดินเข้าไป แต่แล้วก็รู้สึกเฉลียวใจขึ้นมา หลังจากสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้เลือกเดินเข้าไปหาตรงๆ แต่เปิดโคมไฟในมือส่องไปยังระเบียงทางเดินฝั่งนั้น เขามองเห็นคนที่อยู่ปลายระเบียงทางเดินได้ไม่ชัดนัก แต่ดูเหมือนว่าเป็นซ่งชิงหลัวจริงๆ เพียงแต่ทั้งร่างของซ่งชิงหลัวล้วนชุ่มไปด้วยของเหลวสีดำ…ไม่ นั่นไม่ใช่ของเหลวสีดำ แต่เป็นเลือดที่มีปริมาณมากเกินไป และเพราะเลือดเยอะเกินไปจึงกลายเป็นสีดำทะมึนอยู่บนตัวซ่งชิงหลัว บนใบหน้าของเขาก็เช่นกัน มันไหลลงถึงคางก่อนจะหยดลงมา ซ่งชิงหลัวเดินนวยนาดเลียบริมผนังพลางเคาะมีดเลาะกระดูกแหลมคมในมือกับกระเบื้องเซรามิก โดยมือขวายังลากสิ่งที่รูปร่างเหมือนคน…
เมื่อเห็นคนตรงหน้าชัดเจน ในพริบตานั้นหลินปั้นซย่าย่อมไม่เชื่อว่าเขาคือซ่งชิงหลัวจริงๆ ทว่าทั้งสองหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่ดวงตาเย็นเยียบคู่นั้นก็ช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
ซ่งชิงหลัวคล้ายจะรู้ตัวว่าหลินปั้นซย่ารู้สึกกลัวนิดหน่อย จึงหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ปั้นซย่า ฉันจะไม่ทำร้ายนาย”
หลินปั้นซย่ากลืนน้ำลาย
“มานี่สิ” เขาโยนสิ่งที่รูปร่างเหมือนคนที่ถูกเขาหิ้วอยู่ในมือทิ้ง หลินปั้นซย่าจ้องมองดูก็พบว่านั่นคือนักเรียนที่เขาไม่รู้จัก
“มานี่” ซ่งชิงหลัวเอ่ยย้ำอีกครั้ง
หลินปั้นซย่าอยากพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา เขาสะกดมือที่สั่นระริกให้ปิดโคมไฟเบาๆ จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนี…ต่อให้คนคนนั้นจะหน้าตาเหมือนซ่งชิงหลัวเป็นพิมพ์เดียวกัน แต่ยังไงเขาก็ไม่เชื่อว่านั่นคือซ่งชิงหลัว! หลินปั้นซย่าสาวเท้าวิ่งป่าราบไม่กล้าหยุดพัก ห้อตะบึงลงบันไดไปตลอดทาง
ด้านหลังไม่มีเสียงฝีเท้าตามมา ซ่งชิงหลัวที่อยู่ข้างหลังเหมือนไม่คิดจะไล่ตามมาเลย
แล้วหลินปั้นซย่าก็หอบหนักๆ พุ่งเข้าม่านฝนไป
โดยรอบมืดมิด โรงเรียนที่คุ้นเคยกลับแปลกตาเสียยิ่งกว่าอะไร หลินปั้นซย่าไม่รู้ว่าตนต้องวิ่งไปที่ไหนถึงจะนับว่าปลอดภัย สุดท้ายคิดดูแล้วก็ได้แต่วิ่งกลับไปทางหอพัก
ทว่าเมื่อเขามาถึงประตูหอพักแล้วกลับพบว่าประตูเหล็กของหอพักปิดอย่างแน่นหนา ต่อให้เขาตะโกนเรียกยังไงก็ไม่มีใครสนใจ โรงเรียนอันกว้างขวางบัดนี้กลับกลายเป็นสุสานอันเงียบเหงาวังเวง เขาได้ยินเพียงเสียงฝนกอปรกับเสียงหอบหนักหน่วงของตัวเอง
หลินปั้นซย่ารู้สึกฉงน แค่งีบหลับไปครั้งเดียว เขาก็ไม่รู้เลยว่าทำไมเรื่องราวถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ เขากอดแขนตัวเองแล้วหันหลังไป ดูสะบักสะบอมประดุจนกน้อยน่าสงสารที่ตากฝนจนขนเปียกปอน ที่น่าเวทนาที่สุดคือเขาคิดไม่ออกแล้วว่ายังมีที่ไหนให้ตนไปได้อีก
หลังจากครุ่นคิดคำนึงได้ครู่หนึ่ง หลินปั้นซย่าก็ตัดสินใจหาที่หลบฝนในโรงเรียนไปก่อน จากนั้นค่อยรอให้ฟ้าสาง เขาเดินหาไปเรื่อย สุดท้ายก็เลือกเข้าไปหลบตรงมุมหนึ่งของโรงอาหาร หลินปั้นซย่าไม่ได้กดเปิดไฟเพราะกลัวว่าจะถูกเจอตัวได้ เขาก้มหน้าบิดเสื้อที่เปียกแฉะอย่างระมัดระวัง นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนเกิดความรู้สึกคับข้องใจอย่างประหลาด
ซ่งชิงหลัวที่ปกติดีต่อเขามากขนาดนั้นทำไมจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจเลย เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนคนนั้นคือซ่งชิงหลัวจริงๆ หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป แต่หากใช่ ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้
หลินปั้นซย่ากำลังก้มหน้า ฉับพลันก็รู้สึกว่าดวงตาของตนถูกมือเย็นเฉียบคู่หนึ่งเอื้อมมาปิดจากด้านหลัง ในใจพลันประหวั่น ดีดดิ้นออกมาโดยปฏิกิริยาอัตโนมัติ เจ้าของมือคู่นั้นกลับพันธนาการการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นริมฝีปากเย็นเฉียบก็แตะที่ใบหูเขาเบาๆ เคลื่อนช้าๆ ราวกับจะกัดลงมาในวินาทีถัดไป…
“นะ…นาย…เป็นใคร” หลินปั้นซย่าแข็งทื่อไปทั้งสรรพางค์กาย
คนคนนั้นไม่เปล่งวาจา
“ใช่นายหรือเปล่า ซ่งชิงหลัว?” เขาเดาตัวตนของคนด้านหลังอย่างลองเชิง
แต่เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป ริมฝีปากที่เมื่อครู่ยังไซ้ใบหูเขาอยู่เบาๆ ก็อ้าออกก่อนกัดลงมาอย่างแรง หลินปั้นซย่าเจ็บแปลบจนต้องส่งเสียงร้องครวญครางออกมา แม้อยากสลัดให้หลุดแต่แรงกายของเขาไม่ใช่คู่ต่อกรของคนคนนี้เลย ทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายออกแรงกัดมากกว่าเดิม
“หยุดนะ หยุด…” หลินปั้นซย่าถูกกัดจนเสียงสั่นเครือ “ซ่งชิงหลัว…นาย…จะทำอะไรกันแน่”
“หนีทำไม” คนคนนี้คือซ่งชิงหลัวจริงๆ ตอนที่เขาพูดก็เลียใบหูของหลินปั้นซย่าเบาๆ ราวกับจะปลอบโยนอย่างไรอย่างนั้น
หลินปั้นซย่าตัวสั่นระริก ดวงตาของเขายังคงถูกซ่งชิงหลัวบดบังเอาไว้ เขากล่าว “ปล่อยเถอะ ฉันจะไม่หนีแล้ว”
ซ่งชิงหลัวไม่ขานรับ
“จะไม่หนีแล้วจริงๆ นะ” หลินปั้นซย่าเสียงแหบพร่า
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หนีหรือไม่หนี” ซ่งชิงหลัวส่งแรงที่นิ้วคลึงลูกตาเขาเบาๆ พลางกล่าวว่า “ฉันแค่ไม่ชอบสายตาตอนที่นายมองฉัน”
“…”
“ชอบฉันมากเลยไม่ใช่เหรอ” ซ่งชิงหลัวพูดต่อไป “ทำไมเห็นฉันแล้วถึงทำท่าทางแบบนั้น”
หลินปั้นซย่าเอ่ยถาม “นาย…นาย…ฆะ…ฆ่าคนหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวตอบเขาว่า “เปล่า มันไม่นับว่าเป็นการฆ่าคนเลย”
“…”
หลินปั้นซย่ารู้สึกถึงคางของซ่งชิงหลัวที่วางลงบนไหล่ของตน เรือนผมอ่อนนุ่มเปียกชื้นคลอเคลียกรอบหน้าเขาเบาๆ เหมือนแมวกำลังออดอ้อน…ถ้ามองข้ามกลิ่นคาวเลือดสุดประมาณบนตัวเขาไปน่ะนะ
“นายเป็นใครกันแน่” หลินปั้นซย่ากล่าว “ฉันไม่เชื่อว่านาย…คือซ่งชิงหลัว”
คนด้านหลังจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ขยี้ดวงตาของหลินปั้นซย่าอย่างหยาบโลน เขากล่าว “นายคิดว่าตัวเองรู้จักซ่งชิงหลัวดีแล้วเหรอ ขนาดเขามาจากที่ไหน เป็นตัวอะไรก็ยังไม่รู้เลย…”
หลินปั้นซย่ามึนงง “นายพูดอะไร” ‘เป็นตัวอะไร’ หมายความว่ายังไงกันแน่ ซ่งชิงหลัวไม่ใช่คนงั้นเหรอ
แต่ชัดเจนว่าคนด้านหลังคนนี้ไม่ได้มีวี่แววจะให้คำตอบเลย อีกฝ่ายคลายมือที่ปิดตาหลินปั้นซย่าออก บีบคางของเขาเบาๆ ส่งแรงที่มือเล็กน้อย บังคับให้หลินปั้นซย่าหันหน้ามองมาที่ตนเอง
ยังคงเป็นดวงหน้างดงามดวงเดิม ยังคงเป็นดวงตาสีดำสนิทคู่เดิม แม้แต่ความอ่อนโยนภายในแววตาดำขลับที่มองมาก็ยังคงคุ้นเคยดี แต่หลินปั้นซย่ามองเห็นเส้นผมสีดำประดุจขนปีกอีกาเปียกชื้นที่ปรกแก้มคนคนนี้ เขาลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังเลือกพูดความเป็นห่วงอีกฝ่ายของตัวเองออกไป “ผมนายเปียกหมดแล้ว ให้ฉันช่วยเช็ดให้แห้งเถอะ” เขามักจะรู้สึกโดยไม่มีสาเหตุเหมือนว่าซ่งชิงหลัวไม่ชอบตอนที่ฝนตก แล้วก็ไม่ชอบให้ร่างกายของตัวเองเปียกชื้นด้วย
ทันทีที่พูดคำนี้ออกไป แววตาของซ่งชิงหลัวก็อ่อนลงไปมาก แต่มือที่คว้าจับหลินปั้นซย่าอยู่ยังคงไม่คลายออก “ฉันรู้ว่านายจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่เป็นไร”
“หา?”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “นายรู้หรือเปล่าว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”
หลินปั้นซย่าคว้าเบาะแสจากการใช้คำพูดของซ่งชิงหลัว
ที่นี่? หรือว่าที่นี่จะไม่ใช่โรงเรียน ถ้าอย่างนั้นออกไปจากที่นี่หมายความว่ายังไงอีก
“ถึงจะเสียดายนิดหน่อย แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ไม่ต้องกลัว มันไม่เจ็บหรอก แป๊บเดียวก็จบแล้ว” เขายิ้มละมุน มือข้างที่ว่างล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
หลินปั้นซย่าจ้องมองอีกฝ่าย นั่นคือมีดเลาะกระดูกปลายแหลมที่ก่อนหน้านี้ซ่งชิงหลัวถือไว้ในมือ เขามองเห็นมันก็ผงะทันใด เอ่ยถาม “นาย…จะทำอะไร”
ซ่งชิงหลัวตอบว่า “ก็ปลดปล่อยนายน่ะสิ”
หลินปั้นซย่าเบิกตากว้าง ตอนนี้เขาไม่สงสัยเลยสักนิดว่าซ่งชิงหลัวจะทำอะไรกับเขา คนสองคนที่ตายไปเมื่อกี้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด แต่ว่าทำไม…ทำไมโลกโดยรอบถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ทำไมซ่งชิงหลัวถึงแปลกไปได้ขนาดนี้
“เด็กโง่” ซ่งชิงหลัวเหมือนจะเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “แค่นี้ก็เดาไม่ได้เหรอ”
หลินปั้นซย่าพลันนึกอะไรออก แต่คำตอบนี้ดูเหลวไหลเกินไป ทุกอย่างที่นี่สมจริงถึงขนาดนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร วงหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อเหมือนกับโดนหลอกอย่างไรอย่างนั้น หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ฉัน…กำลังฝันอยู่เหรอ”
ซ่งชิงหลัวเผยรอยยิ้มออกมา
หลินปั้นซย่ายังอยากถามต่อ ทว่าริมฝีปากของเขากลับถูกเรียวนิ้วแตะลงมาแผ่วเบา จากนั้นซ่งชิงหลัวก็ก้มลงประทับจูบที่ริมฝีปากเขาโดยที่ยังมีนิ้วกั้นขวาง ปลายจมูกทั้งสองสัมผัสกัน เสียงของซ่งชิงหลัวที่อ่อนละมุนดุจสายน้ำกล่าวว่า “เด็กดี ไม่เจ็บหรอก”
วินาทีถัดมาหลินปั้นซย่าก็ได้ยินเสียงของมีคมแหวกอากาศ เขายังไม่ทันไหวตัวก็รู้สึกว่ามีอะไรแทงลงมาที่คอของตน เกินคาด…มันไม่เจ็บจริงๆ ด้วย หลินปั้นซย่าเหม่อลอยไปชั่วขณะ ซ่งชิงหลัวยังคงกอดเขาไว้แน่นราวกับจะกอดให้จมอก
ครรลองสายตาของหลินปั้นซย่าดับมืดลง เมื่อดวงตาจับแสงได้อีกครั้ง เขาก็กลับมาที่ห้องเรียนของตนอีกครั้งแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 พ.ย. 65