everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 60 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 60 ฝัน (6)
โต๊ะตัวเดิม ผนังแบบเดิม เขาหันหน้าไปก็เห็นแสงอาทิตย์อัสดงที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ภายในห้องเรียนมีนักเรียนนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่ต่างกำลังจดจ่ออยู่กับการทบทวนหนังสือ มีคนตบไหล่หลินปั้นซย่าทีหนึ่ง พอหันหน้าไปก็พบว่าเป็นหลี่ซู
หลี่ซูยังมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับตัวเขา อีกฝ่ายตบบ่าหลินปั้นซย่าพลางเรียก “อย่านอนอีกนะ ถ้ายังนอนอีกฉันคงนึกว่านายตายไปแล้ว”
หลินปั้นซย่าตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะคืนสติได้ เขาขยี้ตาพลางกระซิบ “ฉันนอนไปนานแค่ไหน”
“นานแค่ไหนน่ะเหรอ” หลี่ซูมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “นายนอนไปตอนบ่ายสามกว่า ตอนนี้จะหกโมงแล้ว น่าจะราวๆ สามชั่วโมง…เมื่อกี้ฉันออกไปข้างนอกมารอบหนึ่งยังนึกว่านายจะตื่นแล้ว แต่ไม่นึกว่ากลับมาก็ยังเห็นนายหลับอยู่ ฝันหวานอะไรหรือไงถึงไม่อยากจะตื่น”
หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงแผ่ว “ฝันร้าย”
“ฝันร้ายอะไร”
“ฝันว่ามีคนฆ่าฉัน”
หลี่ซูสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นจึงเอ่ย “ไหงถึงไปฝันแบบนั้นได้”
หลินปั้นซย่าไม่พูดคำใดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยความลังเล “นายว่าต้องทำยังไงเราถึงจะตื่นขึ้นจากความฝันได้เหรอ”
หลี่ซูกล่าว “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” สีหน้าเขาดูไม่เป็นตัวเองนัก คล้ายอยากออกจากหัวข้อสนทนานี้เร็วๆ ทำไขสือตบหลังหลินปั้นซย่า บอกให้หลินปั้นซย่าไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนเขาที่หน้าโรงเรียนเป็นการปลอบขวัญหน่อย เขาจะเลี้ยงเจียนปิ่งกั่วจือ* ที่อร่อยที่สุดในโลกเอง
แน่นอน หลี่ซูไม่ให้ทางเลือกกับหลินปั้นซย่า พูดจบก็ลากเขาให้ลุกจากเก้าอี้ หลินปั้นซย่าไม่สนใจเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นที่ส่งสายตาแปลกๆ มา ปล่อยให้หลี่ซูลากตนเองเดินยักแย่ยักยันออกจากห้องเรียนไป
โรงเรียนใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นกลับมาเป็นแบบเดียวกับภาพในความทรงจำเขาอีกครั้ง ช่วงโพล้เพล้ของฤดูใบไม้ผลิมักจะให้กลิ่นอายโรแมนติกเสมอ หลี่ซูว่างเป็นไม่ได้ ขาจะต้องเดินเตะหินพลางขยับปากคุยกับหลินปั้นซย่าไปตลอดทาง ถามหลินปั้นซย่าว่าตอนกินเจียนปิ่งกั่วจือชอบสั่งไส้อะไร
หลินปั้นซย่ากล่าวว่าตนไม่เคยกินเจียนปิ่งกั่วจือ หลี่ซูชะงักไปสามวินาที เอื้อมแขนกอดคอหลินปั้นซย่าแล้วเอ่ยแกมหัวเราะ “งั้นนายก็ได้กำไรแล้ว ครั้งแรกที่ฉันได้กินเจียนปิ่งกั่วจือน่ะนะอย่างกับได้ขึ้นสวรรค์เลย~”
หลินปั้นซย่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาถาม “ทำไมนายถึงกลัวซ่งชิงหลัวขนาดนั้นเหรอ”
หลี่ซูพึมพำ “นายจะถามทำไมเนี่ย”
“ฉันคิดว่าเขาก็เป็นคนดีไม่น้อย” หลินปั้นซย่าพูดจบแล้วกลับนึกถึงซ่งชิงหลัวที่น่ากลัวในความฝันนั้นขึ้นจนต้องเม้มปากอย่างหวาดผวา
“แม่เจ้า เขาเป็นคนดี?” หลี่ซูกล่าว “นายไม่เคยทะเลาะกับเขาใช่มั้ยล่ะ ลองทะเลาะกับเขาสักทีสิ เดี๋ยวก็รู้ว่าเขาดีขนาดไหน…บ้าเอ๊ย ถ้าตอนนั้นหลี่เย่มาไม่ทันเขาคงหักขาฉันไปข้างแล้ว”
“นายไปยั่วโมโหเขายังไง”
หลี่ซูมองออกไปไกลแสนไกล “เรื่องมันยาว…”
หลินปั้นซย่า “…”
ระหว่างพูดคุยกันทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าโรงเรียนแล้ว วันนี้เป็นวันหยุด พ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงกันไม่เยอะ แต่ก็ยังมีเจียนปิ่งกั่วจือขายอยู่ หลี่ซูตะโกนสั่งเจียนปิ่งกั่วจือใส่ทุกอย่างสองชิ้นด้วยเสียงโหวกเหวกอย่างไม่สนใจใคร แล้วยังเอ่ยชมเจ้าของแผงอย่างกระตือรือร้น กล่าวว่านี่เป็นเจียนปิ่งกั่วจือที่รสเลิศที่สุดที่เขาเคยกินมา เจ้าของแผงเป็นหญิงวัยกลางคน ถูกหลี่ซูเชิดชูจนยิ้มแก้มปริแล้วเพิ่มเครื่องให้พวกเขาอีกเยอะๆ อย่างใจดี
เจียนปิ่งกั่วจืออันแรกหลี่ซูยื่นให้หลินปั้นซย่าด้วยความใจกว้าง หลินปั้นซย่ารับมากัดไปคำหนึ่งแล้วความทึ่งก็ฉายออกมาทางสีหน้า ร้องอืออาออกมาด้วยความอร่อย
“อร่อยล่ะสิ?” หลี่ซูถามเขา
หลินปั้นซย่าพยักหน้า “อร่อย”
“ฉันก็ชอบเหมือนกัน” หลี่ซูรับเจียนปิ่งกั่วจืออันที่สองมากัดไปคำโตแล้วเอ่ยเสียงอู้อี้ “ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เคยกินเจียนปิ่งกั่วจือที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย นี่น่ะเหรอรักแรกพบเพียงลิ้มรสแค่หนึ่งครั้ง”
หลินปั้นซย่าคิดในใจว่านายนี่มันอวยเก่งจริงๆ เลย มิน่าล่ะ เถ้าแก่เนี้ยเห็นนายแล้วถึงได้ยิ้มหน้าบานเป็นดอกไม้
ทั้งสองกินเจียนปิ่งกั่วจือแล้วหลี่ซูก็ถามหลินปั้นซย่าว่าจากนี้จะไปไหนต่อ หลินปั้นซย่าเห็นว่ายังไม่ดึกมากจึงบอกว่าจะกลับไปอ่านหนังสืออีก แล้วถามหลี่ซูกลับ
หลี่ซูเอ่ย “ฉันไม่อ่านแล้ว อ่านไปก็เสียเวลาเปล่า นายไปเถอะ อ้อใช่…”
“หือ?”
“ระวังไอ้คนที่ชื่อเจียงซิ่นนั่นหน่อยนะ”
หลินปั้นซย่าไม่คิดว่าเขาจะเตือนตนเรื่องนี้เลยเอ่ยอย่างข้องใจ “เขาทำอะไรอีกแล้วเหรอ”
หลี่ซูลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “จำคนที่ก่อนหน้านี้ฆ่าตัวตายในห้องน้ำได้ใช่มั้ย”
“จำได้อยู่แล้ว”
หลี่ซูพูดต่อว่า “จริงๆ แล้วฉันก็คุ้นเคยกับเขาไม่น้อย ช่วงหนึ่งก่อนจะฆ่าตัวตาย สภาพจิตใจเขาดูเลอะเลือนมาก ฉันเห็นเขาใช้มีดเล่มเล็กแทงตัวเองตั้งหลายครั้ง”
หลินปั้นซย่าเบิกตากว้าง
“ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอาจารย์ ก็ไม่เห็นพวกเขาจะสนใจจริงจังกับเรื่องพวกนี้เลยนี่” หลี่ซูละเหี่ยใจ “ฉันไปหาข้อมูลมาแล้ว เหมือนว่าจะกดดันเรื่องเรียนเกินไปจนเป็นโรคซึมเศร้าอะไรทำนองนั้น แล้วก็อย่างที่คิด ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็ฆ่าตัวตาย แล้วเราก็ไปเจอเข้า” พอนึกถึงภาพที่เห็นในห้องน้ำ เขาก็เกาศีรษะอย่างไม่เป็นตัวเองและพึมพำว่า “ความผิดฉันด้วย ถ้าฉันใส่ใจเขามากกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็โทษหลี่ซูไม่ได้ ใครจะนึกว่าเพื่อนร่วมชั้นที่บอกว่าไม่อยากอยู่แล้วจะฆ่าตัวตายจริงๆ ล่ะ
“เจียงซิ่นมีอะไรที่เหมือนกับเขาเหรอ” หลินปั้นซย่าถามด้วยความแปลกใจ
“อืม” หลี่ซูกล่าว “นายจำตอนที่นอนกลางวันได้หรือเปล่า เขาจ้องนายตลอดเลย ตอนแรกฉันนึกว่าเขาไม่พอใจอะไรนาย แต่มองได้พักหนึ่งก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล”
หลินปั้นซย่าถาม “ไม่ชอบมาพากลตรงไหน”
“เขาใช้มีดกรีดต้นขาตัวเอง”
หลินปั้นซย่า “…” เขานึกถึงตอนที่เจียงซิ่นถือโทรศัพท์ของฉินสวี่ไว้ และถือมีดปอกผลไม้กวัดแกว่งไปมา
หลี่ซูกล่าว “ฉันเตือนเขาไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะมีประโยชน์หรือเปล่า…”
หลินปั้นซย่าขอบคุณหลี่ซู
“เรื่องนี้มันยุ่งยากมาก” หลี่ซูเอ่ย “ทางที่ดีก็ระวังตัวหน่อย สภาพจิตใจของเขาดูไม่ปกติเลย”
หลินปั้นซย่าบอกเขาว่า “…ฉันรู้แล้ว”
“งั้นนายกลับไปอ่านหนังสือเถอะ ฉันก็จะกลับบ้านแล้ว”
หลินปั้นซย่าเพิ่งนึกขึ้นได้ “วันนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ นายถ่อมาที่โรงเรียนทำไมกัน”
หลี่ซูกล่าว “เพราะพ่อแม่ฉันไม่อยู่บ้าน”
“หา?”
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไร พูดไปนายก็ไม่เข้าใจ” หลี่ซูโบกมือแล้วหันหลังเดินจากไป หลินปั้นซย่าเหลือบมองแผ่นหลังเขา ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมายโดยนัยของคำพูดหลี่ซูได้รางๆ ที่บอกว่าพ่อแม่ไม่อยู่บ้านหมายความว่าในบ้านจะมีแค่เขากับหลี่เย่สองคน และเมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้…หลินปั้นซย่าก็หน้าร้อนขึ้นมาทันที
หลี่ซูไปแล้ว หลินปั้นซย่าเลยเดินกลับเข้าโรงเรียนลำพัง ตอนที่เดินผ่านสนามกีฬาเขารู้สึกว่ามีคนจ้องเขาอยู่ตลอด พอมองหารอบๆ หลินปั้นซย่าก็เจอที่มาของสายตานั้น เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปก็พบว่าเจียงซิ่นยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องเรียน จ้องมาที่เขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ พอเจียงซิ่นรู้ตัวว่าหลินปั้นซย่าสังเกตเห็นแล้วก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลินปั้นซย่านึกเชื่อมโยงกับข้อมูลที่เพิ่งได้มาจากหลี่ซู พลันก็รู้สึกว่าคนคนนี้น่ากลัวอยู่นิดๆ จริงๆ เขาลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรกลับห้องเรียนไปดีไหม
ในขณะที่หลินปั้นซย่ากำลังสองจิตสองใจ จู่ๆ ก็มีคนกำลังเดินมาจากที่ไกลๆ จ้องมองไปก็พบว่าเป็นซ่งชิงหลัว ครั้นได้เห็นเขาเวลานี้หลินปั้นซย่าก็นึกถึงคนในความฝันคนนั้นทันที แม้แต่ใบหูก็รู้สึกถึงความปวดปลาบจางๆ ไปด้วย
ซ่งชิงหลัวก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน เดินมาหาเขาจากไกลสู่ใกล้แล้วหยุดตรงหน้าเขา
“สายัณห์สวัสดิ์” ซ่งชิงหลัวทักทายหลินปั้นซย่า
หลินปั้นซย่ารักษาท่าทีเล็กน้อย “สายัณห์สวัสดิ์”
ครั้นสังเกตได้ว่าสีหน้าของหลินปั้นซย่าคล้ายจะผิดแผกไป ซ่งชิงหลัวก็แคลงใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เปล่า” หลินปั้นซย่าตอบเสียงผะแผ่ว
ซ่งชิงหลัวมองเขาครู่หนึ่ง พลันล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย หลินปั้นซย่ามองดูก็พบว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงยาวขนาดเล็กกล่องหนึ่ง ดูจากรูปร่างแล้วด้านในน่าจะเป็นพวกปากกา เขาเห็นท่าทีนี้ของซ่งชิงหลัวก็ผงะเบาๆ ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ
“ถ้านายเห็นฉันเป็นเพื่อนก็รับมันไว้” น้ำเสียงของซ่งชิงหลัวที่กล่าวฟังดูเย็นชากว่าปกติเล็กน้อย
พอพูดแบบนี้หลินปั้นซย่าก็ได้แต่ยื่นมือไปรับมันมา ความรู้สึกผิดต่อซ่งชิงหลัวผุดขึ้นมาในใจ คิดว่าตนไม่ควรโดนผลกระทบจากความฝันนั่นเลย เขาคว้ากล่องมาอย่างแรง เอ่ยขอบคุณซ่งชิงหลัวอย่างจริงใจ
ซ่งชิงหลัวถามอีกครั้ง “นายมีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าขบคิดครู่หนึ่งถึงค่อยพึมพำตอบ “ถ้านายพบว่าการฆ่าเพื่อนตัวเองจะเป็นผลดีต่อตัวเพื่อนคนนั้น นายจะลงมือหรือเปล่า” เขาถามเสร็จก็รู้สึกเสียใจภายหลังทันที เพราะคำถามนี้ประหลาดมากเกินไปจริงๆ ไม่เหมือนคำถามที่คนทั่วไปจะถามออกมา
ใครจะรู้ว่าคำพูดถัดมาของซ่งชิงหลัวจะทำให้หลินปั้นซย่ายืนตะลึงค้าง เขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม “ทำไม นายกลัวขนาดนี้เพราะถูกฉันฆ่ามาเหรอ”
สีหน้านี้ของเขาแทบจะซ้อนทับกับคนในความฝัน หลินปั้นซย่าถึงกับอยากถอยออกห่างหนึ่งก้าวด้วยซ้ำ โชคดีที่สุดท้ายเขาก็สะกดอารมณ์ชั่ววูบนั้นได้แล้วตอบไปอย่างคลุมเครือ “เปล่า แค่ฝันน่ะ”
ซ่งชิงหลัวถามอีกว่า “ฝันเรื่องอะไร”
“ไม่มีอะไร…”
หลินปั้นซย่านึกว่าเขาจะพูดบางอย่างอีก แต่ซ่งชิงหลัวกลับทำเพียงหลุบตาลงเล็กน้อย เสียงที่เอ่ยแผ่วลงไป “รีบกินเถอะ จะเย็นหมดแล้ว”
เขาพูดจบก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับ
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซ่งชิงหลัวมีท่าทีแบบนี้ เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมากแต่ก็หาสาเหตุไม่ได้เลย คิดไปคิดมา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่ไม่นับว่าเป็นข้อสรุป คิดในใจว่าเป็นเพราะคำถามของตนรุนแรงเกินไปจนซ่งชิงหลัวไม่พอใจหรือเปล่า หลินปั้นซย่าเสียใจทีหลังขึ้นมาทันที คิดว่าตนไม่ควรถามคำถามที่ก้าวก่ายขนาดนั้นเลย เขาเปิดของขวัญที่ซ่งชิงหลัวให้มาอย่างทะนุถนอมก็พบว่าด้านในใส่ปากกาด้ามสวยไว้จริงๆ ถึงหลินปั้นซย่าจะไม่รู้ว่าเป็นยี่ห้ออะไร แต่คิดแล้วราคาก็คงไม่ใช่เล่นๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ความทุกข์ในใจหลินปั้นซย่าก็เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม เขาเสียใจอย่างยิ่ง เอาแต่คิดว่าไม่ควรถามอะไรแบบนั้นออกไปเลย
หลินปั้นซย่าเดินกลับมาหน้าห้องเรียนอีกครั้งด้วยสภาพจิตใจที่หดหู่ เจียงซิ่นที่เมื่อครู่จ้องเขาเขม็งตอนนี้ไม่อยู่ในห้องเรียนแล้ว เขาอยากอ่านหนังสือแต่ก็สงบใจไม่ลง ในสมองมักจะคิดเรื่องที่เกี่ยวกับซ่งชิงหลัวตลอด…ทำไมเขาถึงได้ฝันเห็นซ่งชิงหลัวล่ะ อีกอย่างซ่งชิงหลัวในฝันยังแปลกเสียขนาดนั้น อย่างกับเป็นคนที่เขาไม่รู้จักมาก่อนเลย
หลินปั้นซย่าเหม่อลอยอยู่ตลอดจึงอ่านหนังสือไม่เข้าหัว อ่านได้พักเดียวท้องฟ้านอกหน้าต่างก็มืดแล้ว เขาเก็บหนังสือลงกระเป๋าเตรียมกลับหอพัก เมื่อออกมาจากห้องเรียนเขาก็เจอเจียงซิ่นอีกครั้ง เจียงซิ่นยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ หลินปั้นซย่าสะดุ้งตกใจ เดิมทีอยากจะถามอีกฝ่ายว่าเป็นอะไร แต่ก็นึกถึงคำแนะนำอย่างจริงใจของหลี่ซูขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงหันหน้าไปอีกทาง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินลงบันได
“หลินปั้นซย่า!” จู่ๆ เจียงซิ่นก็เรียกเขา
หลินปั้นซย่าหันไป
“นายรู้หรือเปล่าว่าจะออกไปจากที่นี่ยังไง” เจียงซิ่นกล่าว
หลินปั้นซย่าขมวดคิ้วเบาๆ “อะไร”
เจียงซิ่นกดเสียงต่ำ เผยสีหน้าลึกลับขณะเอ่ยย้ำอีกหนึ่งคำรบ “นายรู้หรือเปล่าว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”
พอหลินปั้นซย่าได้ยินคำถามนี้ ทั้งร่างก็แข็งค้าง…ใช่แล้ว ในห้วงฝันเมื่อตอนบ่าย ฆาตกรซ่งชิงหลัวที่ฆ่าเขากับมือก็ถามคำถามเดียวกัน ขณะจมสู่ภวังค์ หลินปั้นซย่าถึงกับหลงคิดว่าเขายังอยู่ในความฝันนั้นด้วยซ้ำ เขาหยิกตัวเองอย่างแรง ความรู้สึกเจ็บปวดทำให้เขาสะกดความรู้สึกกลัวลงไปได้ “ฉันไม่เข้าใจว่านายพูดเรื่องอะไร”
เจียงซิ่นหัวเราะ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวเล็กน้อย “นายเข้าใจ”
หลินปั้นซย่า “…”
“ถ้านายไม่เข้าใจก็คงไม่หยิกตัวเองหรอกใช่มั้ย” เจียงซิ่นกล่าว “เพราะฉะนั้นนายรู้หรือเปล่าว่าจะออกไปจากที่นี่ยังไง”
หลินปั้นซย่าไม่ปริปาก หันหลังเดินปรี่ออกมาทันที เจียงซิ่นส่งเสียงหัวเราะไล่หลังเขา เสียงเสียดแทงแก้วหูของหลินปั้นซย่าจนรู้สึกเจ็บปลาบ เขาไม่รู้จะตอบคำถามของเจียงซิ่นยังไง แม้ว่าซ่งชิงหลัวในความฝันจะให้คำตอบแก่เขาแล้วก็ตาม
ภายในหอพักยังคงเงียบเชียบเหมือนเคย
หลินปั้นซย่าอ่านหนังสืออย่างหมดอาลัยตายอยาก นั่งอยู่ริมเตียงเหม่อมองปากกาที่ซ่งชิงหลัวให้เขามา รูมเมตเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ถามหลินปั้นซย่าอย่างแปลกใจว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
“ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดอะไรอยู่” หลินปั้นซย่ากล่าว “นายเคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าบางครั้งคนรอบตัวก็ดูแปลกไปหมด”
รูมเมตพูดออมเสียงด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “นายก็รู้ด้วยเหรอ”
“หา?”
“เจียงซิ่นไง ตอนกลางคืนนายก็ได้ยินเหมือนกันใช่เปล่า”
หลินปั้นซย่าผงะไปชั่วขณะ “ได้ยินอะไร”
“อ่า นายไม่ได้ยินสินะ” รูมเมตดูวิตกเล็กน้อย
หลินปั้นซย่ากล่าว “นายจะบอกว่าเจียงซิ่นทำอะไรบางอย่างกลางดึกงั้นเหรอ”
“ใช่ ตั้งแต่ที่ฉินสวี่ตายไป เขาก็ดูไม่ค่อยปกติเลย อย่างเมื่อคืนฉันไม่ได้หลับสนิทก็เลยได้ยินเขากำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ตอนแรกฉันนึกว่าเขาละเมอ ที่ไหนได้…”
“ที่ไหนได้อะไร”
“ที่ไหนได้พอฉันยื่นหน้าไปดูก็เห็นว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์กับใครอยู่” รูมเมตกล่าว “ปากยังเรียกชื่อของฉินสวี่ด้วย พูดเสียงสะอื้นแถมยังโวยวายอย่างกับเด็กผู้หญิงตอนอกหัก”
หลินปั้นซย่าถามว่า “…เขาพูดอะไรบ้างเหรอ”
รูมเมตเล่าต่อ “เขาเสียงเบามากฉันเลยฟังไม่ค่อยชัด ประมาณว่าฉินสวี่เหมือนจะเรียกเขาไปที่ไหนสักที่ แต่เขาไม่ยอม อยากจะปฏิเสธ” เล่าถึงตรงนี้เจ้าตัวก็ขนลุกขนพองคอหดเกร็งขึ้นมา “นายว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า ฉินสวี่ตายไปแล้ว จะโทรหาเขาได้ยังไง”
หลินปั้นซย่านิ่งงัน
รูมเมตเอ่ย “แต่เป็นบ้าไปก็ยังนับว่าดี ที่น่ากลัวที่สุดคือ…ฉินสวี่โทรมาจริงๆ นี่แหละ” เขาพูดด้วยแววตาลึกลับ “นายว่าบนโลกใบนี้จะมีผีอยู่จริงๆ หรือเปล่า”
“ฉันคิดว่าไม่มี”
รูมเมตยังอยากพูดบางอย่าง ทว่ากลับมีคนผลักประตูเข้ามาเสียก่อน นั่นก็คือเจียงซิ่นที่พวกเขากำลังพูดถึงอยู่นั่นเอง
หลังเจียงซิ่นเข้าห้องมา ทั้งห้องก็เงียบสงัดลง ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียง
หลินปั้นซย่าลอบสำรวจเขาด้วยหางตา เห็นเขาเดินเข้าห้องน้ำไป จากนั้นก็มีเสียงน้ำดังลอดออกมาเหมือนกำลังอาบน้ำอยู่
แม้ทุกคนต่างบอกกับหลินปั้นซย่าให้อยู่ห่างจากเจียงซิ่น แต่สุดท้ายแล้วยังไงเขากับเจียงซิ่นก็อยู่หอห้องเดียวกัน การที่รูมเมตจะอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องที่ยังไงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง โชคดีที่คืนนี้เจียงซิ่นไม่แสดงอาการอะไรผิดปกติ เขาอาบน้ำเสร็จก็อ่านหนังสืออีกครู่หนึ่งก่อนจะขึ้นเตียงนอนหลับไป
หลินปั้นซย่าเหลือบมองนาฬิกา คิดว่าเป็นเวลาพอสมควรที่ตนเองจะไปพักผ่อนบ้างแล้ว จึงปิดโคมไฟแล้วปีนขึ้นเตียงชั้นบนก่อนงัวเงียผล็อยหลับไป แต่คงเป็นเพราะมีเรื่องค้างคาใจ เขาเลยนอนหลับไม่สนิทนัก ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม้กระดานรองเตียงใต้ร่างของตนกำลังสะเทือน เขาสะลึมสะลืออยู่สองสามวินาที ก่อนตื่นเต็มตาทันที เมื่อลืมตาโพลงก็ไม่นึกว่าจะประสานสายตากับเจียงซิ่น
เจียงซิ่นปีนขึ้นมาบนเตียงของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ในมือยังกำมีดปอกผลไม้เล่มที่หลินปั้นซย่าเคยเห็น เขาเห็นหลินปั้นซย่าตื่นแล้วกำลังมองมาที่ตนด้วยความหวาดผวาก็ไม่ได้ลนลาน ซ้ำยังฉีกยิ้มเผยรอยยิ้มจาง จากนั้นรอยยิ้มก็เริ่มเหี้ยมเกรียม วินาทีถัดมามีดปอกผลไม้ในมือก็พุ่งลงมาหาหลินปั้นซย่าอย่างรุนแรง
* เจียนปิ่งกั่วจือ เป็นเครปแบบจีนที่ทอดในกระทะ ใส่ไข่ ผัก และวัตถุดิบต่างๆ แล้วม้วนเพื่อให้ง่ายต่อการกิน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 21 พ.ย. 65