everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4 บทที่ 88 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 88 พยัคฆ์ดอมดมกุหลาบ (2)
เหมือนว่าเขาจะตาฝาดไปจริงๆ หลินปั้นซย่าลูบพื้นผิวของภาพถ่าย รู้สึกถึงเพียงสัมผัสเรียบลื่น ไม่ได้ผิดปกติตรงไหน รูปที่เรียงรายอยู่บนโถงทางเดินนี้เสมือนเป็นพิธีรำลึกบางอย่างที่จะบันทึกคนทุกคนที่เคยอยู่ที่นี่ ดูจากลำดับของรูปถ่ายแล้ว ครอบครัวของหลี่ซูน่าจะเป็นเจ้าของคฤหาสน์รุ่นที่สอง จากนั้นคฤหาสน์นี้ก็มีคนเข้าๆ ออกๆ ไม่น้อย มีทั้งตระกูลใหญ่และครอบครัวเล็กๆ แต่เมื่อนับตามเวลาก็ดูเหมือนว่าแต่ละครอบครัวจะอยู่ที่คฤหาสน์นี้ได้ไม่นานนัก
ก่อนหลินปั้นซย่าจะออกไป เขามองภาพถ่ายเก่าเก็บที่สีเริ่มซีดจางนั้นอีกครั้ง คิดในใจว่าเดี๋ยวจะต้องพาซ่งชิงหลัวมาดูด้วย เพราะกลัวว่าอาจจะมีปัญหาอะไรจริงๆ แต่กลับถูกมองข้ามไปเพราะความสะเพร่าของตน
หลังจากนั้นเมื่อซ่งชิงหลัวนอนกลางวันอิ่มแล้วถึงออกจากบ้านไปกับหลินปั้นซย่า ความกังวลตึงเครียดในยามปกติได้รับการผ่อนคลาย ทั้งคู่เดินไปบนเส้นทางเล็กๆ เขียวชอุ่ม จากตัวคฤหาสน์ถึงประตูใหญ่มีระยะทางช่วงหนึ่ง หลินปั้นซย่าเดินข้างหน้า ในตอนที่กำลังจะเดินออกไปจากลานบ้านกลับได้ยินเสียงพูดยานคางของหลี่ซูดังมาจากข้างๆ เหมือนว่ากำลังคุยกับใครอยู่
หลินปั้นซย่ามองไปทางนั้นแล้วก็เห็นหลี่ซูจริงๆ เขานั่งอยู่ในศาลาน้อยที่ไกลออกไป ด้านนอกศาลาคลุมด้วยผ้าโปร่งสีดำหนึ่งชั้นเพื่อป้องกันแสงแดดจากภายนอก หลินปั้นซย่าจึงเห็นเพียงเงาร่างรางๆ ของหลี่ซู เขานั่งอยู่ ส่วนหลี่เย่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา เท้าข้างหนึ่งของหลี่ซูเหยียบอยู่บนเข่าหลี่เย่ หลี่เย่กำลังก้มหน้าช่วยเขาสวมรองเท้า ไม่รู้ว่าพูดอะไรกวนโมโหหลี่ซูเข้าเจ้าตัวถึงยกเท้าขึ้นเตะ หลี่เย่ยื่นมือออกไปจับข้อเท้าของหลี่ซูได้ทัน ตรึงการเคลื่อนไหวของเขาไว้
ทั้งคู่พูดอะไรกันอีก เสียงโต้เถียงกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะใช้คำว่าโต้เถียง แต่อันที่จริงเหมือนมีแค่หลี่ซูคนเดียวมากกว่าที่กำลังระบายอารมณ์ หลี่เย่รักษาความเรียบเฉยตลอดการพร่ำบ่นของหลี่ซู ดูยังไงก็รู้สึกอันตราย หลินปั้นซย่าเห็นแล้วก็รู้สึกกังวลใจ ถ้าหลี่เย่จะลงไม้ลงมือกับอีกฝ่ายจริงๆ คนตัวเล็กๆ อย่างหลี่ซูไม่มีทางเป็นคู่ปรับของเขาได้เลย น่ากลัวว่าจะถูกต่อยจนหน้าแหก ทว่าขณะที่ในหัวหลินปั้นซย่ากำลังมีความคิดแบบนั้นเองก็เห็นหลี่เย่ก้มหน้าลงประทับจูบบนหลังเท้าขาวราวหิมะของหลี่ซู
หลินปั้นซย่ายืนอึ้งทันที และคนที่อึ้งเช่นเดียวกันก็ยังมีหลี่ซูอีกคน เขาตะลีตะลานจะดึงขากลับมา แต่คนที่จับข้อเท้าของเขาไว้กลับไม่ยอมปล่อยมือ เพียงบรรจงสวมรองเท้าให้เขาช้าๆ ก่อนค่อยๆ ผูกเชือกรองเท้าให้จนเรียบร้อย
หลินปั้นซย่าถึงตระหนักได้ว่าที่แท้สองคนนี้ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่กำลังหยอกเย้ากันอยู่ต่างหาก เขาหันหน้าเดินหนีไปทันทีพลางบ่นอุบอิบ “นึกว่าพวกเขาจะตีกันจริงๆ ซะอีก”
เห็นได้ชัดว่าซ่งชิงหลัวไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้แล้ว สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินตัวโคลงอย่างนวยนาดออกไป “ไปเถอะ”
หลินปั้นซย่าถึงได้เข้าใจความจริง และเอ่ยตำหนิว่า “บ้าเอ๊ย คุณรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกก็ไม่เตือนผมบ้างเลย”
ซ่งชิงหลัวกล่าว “ถ้าตีกันจริงๆ ขึ้นมาล่ะ?”
“ที่เห็นนี่มันดูเหมือนจะตีกันตรงไหน”
ซ่งชิงหลัวเลิกคิ้วสูง “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยตีกันสักหน่อย”
เอ๋? ที่แท้ก็มีเรื่องกันมาก่อนงั้นเหรอ หลินปั้นซย่ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที “เคยต่อยกันจริงๆ เหรอ หลี่เย่ลงมือกับหลี่ซูลงจริงๆ เหรอ”
“พูดให้ถูกคือหลี่ซูลงมือกับหลี่เย่” ซ่งชิงหลัวเด็ดใบไม้ริมทางใบหนึ่ง หมุนก้านใบไม้ไปมาที่ปลายนิ้ว “ตอนนั้นหลี่เย่ยังเป็นแค่เด็ก สักสิบกว่าขวบได้ ผอมอย่างกับลิง หลี่ซูเคยตีหลี่เย่ไปครั้งหนึ่งเขาก็ไม่ร้องไห้ เอาแต่จ้องหลี่ซูตาแข็ง สุดท้ายก็เป็นหลี่ซูนั่นแหละที่รู้สึกกลัวเขาก่อน”
หลินปั้นซย่านึกถึงตอนที่อยู่รัสเซีย หลี่ซูเคยเล่าเรื่องการพบกันของเขากับหลี่เย่ให้ฟัง รู้สึกว่าหลี่ซูน่าจะรักและสงสารหลี่เย่ไม่น้อยเลย แล้วทำไมถึงลงไม้ลงมือกับเขาได้ล่ะ
“ผมรู้ว่าคุณอยากถามอะไร” ซ่งชิงหลัวเอ่ยต่อ “ครั้งนั้นหลี่ซูไม่ได้ยั้งมือเลย รุนแรงจนเหมือนจะเอาให้หลี่เย่กระดูกหัก แล้วถ้าถามว่าทำไมเขาต้องใจร้ายขนาดนั้น…นั่นก็เพราะหลี่เย่แอบมาเป็นผู้บันทึกลับหลังหลี่ซู…”
หลินปั้นซย่า “…”
“ผู้บันทึกทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ทั้งไม่มีคู่หูที่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตได้ แล้วก็ไม่มีมาตรการคุ้มครองมากมายนัก พูดให้ชัดเจนก็คือเป็นคนธรรมดาที่มาเสี่ยงอันตรายเพื่อเงิน ถึงจะต้องเข้าร่วมการฝึกเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่การฝึกพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งเหล่านั้นจริงๆ ความรู้จากการฝึกที่เอามาใช้ได้ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย” ไม่ว่าจะบันทึกวิดีโอ เขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร หรือฟังเรื่องราวจากคนอื่นนับพันนับหมื่นครั้งก็ไม่เท่ากับการไปประจักษ์ให้เห็นเหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญกับตาตัวเองสักครั้งหนึ่ง และราคาของมันก็มักจะเป็นชีวิตของตัวเอง
ผู้บันทึกนับไม่ถ้วนจบชีวิตลงในภารกิจครั้งแรกด้วยเหตุผลพิลึกพิลั่นต่างๆ นานา ซ่งชิงหลัวเห็นมาเยอะมาก จึงเข้าใจความรู้สึกของหลี่ซูในตอนนั้น ที่หลี่ซูมาทำงานด้านนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ถ้าเลือกได้ใครเล่าจะไม่อยากเป็นลูกคุณหนูบ้านรวยที่ใช้ชีวิตเอ้อระเหยไปวันๆ ทำไมจะต้องไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้ด้วย
เขาไม่มีทางเลือก แต่ว่าหลี่เย่มี
หลี่เย่มีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด เขาเป็นคนเข้มแข็งและทรหด ทั้งยังฉลาดเกินวัย หลี่ซูพาเขากลับมาจากรัสเซียเพียงเพราะอยากให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กธรรมดา ไม่ว่าระหว่างทางจะเป็นอย่างไร แต่ผลลัพธ์กลับถูกกำหนดไว้แล้ว หลี่เย่เลือกเข้ามาในองค์กรนี้โดยไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเข้ามาในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดอย่างผู้บันทึก
คนที่ไม่มีจุดแข็งเลยจะเป็นได้แค่ผู้บันทึก จดบันทึกทุกสิ่งที่ตาเห็นและหูได้ยิน แม้ว่าขณะที่ขีดลากทุกเส้นทุกอักษรลงไป สิ่งที่สูญสิ้นจะเป็นชีวิตตัวเองก็ตาม หลี่ซูที่รู้ทุกอย่างนี้อยู่แล้วจะไม่โกรธได้อย่างไร เขาจะทนมองเด็กที่ตนลำบากลำบนเลี้ยงมาจนโตกลายมาเป็นเครื่องสังเวยได้อย่างไร
พอซ่งชิงหลัวพูดแบบนี้ หลินปั้นซย่าก็เข้าใจความรู้สึกของหลี่ซู เขาปวดร้าวใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “มิน่าล่ะ หลี่ซูถึงได้โมโหขนาดนั้น”
“ใช่” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมีสิ่งที่ต่างจากคนอื่นจริงๆ และยังมีผมเป็นคู่หู ผมก็คงไม่ยอมให้คุณเข้ามาพัวพันด้วยแน่”
หลินปั้นซย่ากระดากใจ “หรือว่าตอนนั้นคุณก็รู้สึกกับผม…?”
ซ่งชิงหลัวเอ่ยด้วยความใจเย็น “เปล่า ตอนนั้นผมแค่รู้สึกเห็นใจคุณ”
หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจนัก “เห็นใจอะไรผม”
ซ่งชิงหลัว “จน”
หลินปั้นซย่า “…”
ความเงียบสงัดจนหายใจไม่ออกบังเกิดขึ้น ในตอนนี้เองซ่งชิงหลัวถึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าทันทีที่เขาพูดคำอ่อนไหวคำนั้นออกไป มันไม่ได้กระทบแค่หลินปั้นซย่า แต่ยังกระทบถึงตัวเขาเองด้วย
ด้วยเหตุนี้เมื่อเงียบได้ครู่หนึ่งซ่งชิงหลัวก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง กล่าวว่าในหมู่บ้านมีร้านขายเครื่องกระเบื้องเคลือบอยู่ด้วย เขาอยากไปดู หลินปั้นซย่าได้ยินก็ระแวงขึ้นมาทันที “คุณเอาเงินมาด้วยหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวบอกว่า “ผมไม่ซื้อ แค่ดูอย่างเดียว”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “แค่ถูอย่างเดียว ไม่สอดใส่?”
ซ่งชิงหลัว “…”
หลินปั้นซย่าเอ่ยด้วยความน้อยใจ “เมื่อกี้คุณยังบอกว่าจะซื้อบ้านให้ผมอยู่เลย”
ซ่งชิงหลัวไม่พูดอะไรครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ล้วงบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋า ส่งมันให้หลินปั้นซย่า หลินปั้นซย่ารับมาด้วยความยินดีปรีดา แต่ยังกล่าวต่อว่าถ้าหากร้านนั้นมีอาลีเพย์ล่ะ ทว่าซ่งชิงหลัวกลับมีประสบการณ์เยอะกว่า บอกว่าอาลีเพย์วันหนึ่งจำกัดการโอนแค่วันละหนึ่งแสนไคว่ เกินกว่านั้นต้องรูดบัตรอย่างเดียว หลินปั้นซย่าไม่ต้องกังวลเลย
หลินปั้นซย่ากุมบัตรธนาคารที่ยังคงมีความอุ่นจากร่างกายซ่งชิงหลัว แล้วคิดด้วยความหดหู่ใจว่าจะวางใจลงได้ยังไงล่ะเนี่ย ดูท่าคงต้องคอยจับตามองซ่งชิงหลัวไม่ให้คลาดสายตาซะแล้ว
พวกเขาเดินออกไปตามเส้นทางเล็กๆ ก็มาถึงหมู่บ้าน คงเป็นเพราะหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ไกลเกินไป ความเป็นหมู่บ้านเพื่อการค้าขายจึงไม่ได้สูงมากนัก รอบทิศเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่เรียบง่าย ดูน่าสนใจไม่น้อย
พระอาทิตย์อยู่ทางทิศตะวันตกแล้วแต่โดยรอบยังคงร้อน หลินปั้นซย่าซื้อไอศกรีมแท่งที่ร้านขายของชำหน้าหมู่บ้านสองแท่ง ตนกินหนึ่งแท่งและส่งเข้าปากซ่งชิงหลัวหนึ่งแท่ง ทั้งคู่ละเมียดกินไอศกรีม เดินไปพลางชมรอบๆ ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำเครื่องกระเบื้องเคลือบ ร้านค้าน้อยใหญ่แถวๆ นี้จึงมีเครื่องกระเบื้องเคลือบหลากหลายรูปแบบ อย่างเล็กก็เล็กเท่าขวดยานัตถุ์ อย่างใหญ่ก็ใหญ่เป็นโอ่งใส่น้ำ มีทุกรูปแบบเลยทีเดียว แต่ว่าที่นี่ไม่ได้มีโบราณวัตถุ ทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าที่เพิ่งออกจากเตาเผา ไม่น่าจะมีอะไรที่ดึงดูดซ่งชิงหลัวได้
หลินปั้นซย่าคิดได้อย่างนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกได้สักที และยังผ่อนคลายการจับตามองซ่งชิงหลัวด้วยเช่นกัน แต่พอละสายตา ทั้งสองก็แยกกันไปคนละทิศละทางเสียแล้ว โชคดีที่หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่นัก เดี๋ยวก็คงวกกลับมาเจอกัน หลินปั้นซย่าจึงไม่ได้ร้อนใจจะหาทางติดต่อเขา เดินเยี่ยมชมร้านค้าแถวนั้นต่อไป จากมุมมองของหลินปั้นซย่า เครื่องกระเบื้องเคลือบเหล่านี้ไม่มีชิ้นไหนที่ไม่สวยเลย แต่เพราะมันเป็นของใช้สำหรับค้าขาย หน้าตาจึงดูจำเจเหมือนกันไปหมด มีสินค้าไม่น้อยที่เห็นวางขายเหมือนกันอยู่แทบทุกร้าน
หลินปั้นซย่ามองดูทั่วๆ พลันก็ถูกขวดกระเบื้องลายครามปากแคบแสนวิจิตรคู่หนึ่งในร้านเล็กๆ ดึงดูดความสนใจ แจกันกระเบื้องนั้นตั้งอยู่ตรงมุมร้านที่ไม่ได้สะดุดตานัก แต่ไม่รู้ทำไมพอหลินปั้นซย่าเดินเข้าไปก็สังเกตเห็นมันทันที แจกันกระเบื้องนี้ไม่ใหญ่นัก ขนาดราวยี่สิบเซนติเมตรได้ ปากขวดแจกันแคบบาง วาดลวดลายดอกไม้สลับซ้อนรอบๆ หลินปั้นซย่าหยิบมันขึ้นมาพิจารณา กลับพบว่าลายดอกไม้บนขวดไม่ใช่ภาพวาดสิ่งของทั่วๆ ไป แต่เป็นภาพวาดของคน เมื่อมองโดยละเอียดเหมือนจะมีเด็กน้อยคนหนึ่งยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังมหึมา เด็กน้อยคล้ายกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ข้างๆ มีผู้ใหญ่หกคนล้อมรอบ มีทั้งคนชราและวัยรุ่น คนชราโน้มตัวปลอบประโลมเด็กน้อย แต่เด็กวัยรุ่นกลับมองไปข้างหน้าเหมือนหวาดกลัว ราวกับว่าในคฤหาสน์ตรงหน้ามีสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดอยู่
ตอนแรกหลินปั้นซย่านึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าผ่านลายแจกันที่ไม่ได้เจอได้บ่อยนัก ทว่ายิ่งเขามองก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล เมื่อคิดอย่างละเอียดก็ค้นพบอย่างคาดไม่ถึงว่าคฤหาสน์บนแจกันใบนี้คล้ายกับคฤหาสน์เก่าของหลี่ซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือลักษณะโครงสร้าง ไม่ว่าจะดูยังไงก็รู้สึกว่าเหมือนกันมาก
ครอบครัวเจ็ดคนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เก่าทำให้หลินปั้นซย่านึกถึงภาพครอบครัวที่เขาเห็นในห้องอาหารบ้านหลี่ซู เขารู้สึกขึ้นมาทันใดว่าความบังเอิญนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ จึงเอ่ยปากถาม “เถ้าแก่ครับ แจกันใบนี้ขายยังไงเหรอ”
เถ้าแก่ของร้านเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกข้างๆ วางพัดใบปาล์มสานปิดหน้ากำลังนอนกลางวัน หลินปั้นซย่าเข้าร้านมาแล้วเธอก็ไม่คิดจะเอ่ยทักทาย ได้ยินคำถามของเขาถึงได้เอ่ยเสียงเอื่อยเฉื่อยออกไป “สามร้อย”
หลินปั้นซย่ากล่าว “สามร้อย? ถูกขนาดนี้เชียว?” แจกันนี้อยู่เป็นคู่ ดูแล้วก็สวยไม่น้อย ไม่นึกว่าจะขายแค่สามร้อยเท่านั้น
เถ้าแก่พูดต่อ “เติมคำว่าหมื่นต่อท้าย*”
หลินปั้นซย่า “…”
เถ้าแก่ “ไม่พอใจ?”
หลินปั้นซย่าวางแจกันลงเงียบๆ เอ่ยว่า “ผมมีธุระ ขอตัวก่อน” นับประสาอะไรกับแค่วาดครอบครัวหลี่ซูลงแจกันนี่ ต่อให้วาดบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาลงไป เขาก็ไม่มีทางจ่ายเงินสามล้านซื้อมันมาแน่
เถ้าแก่กล่าว “เดี๋ยว หนูน้อย รอก่อนสิ ทำมาค้าขายมีคนซื้อก็มีคนขาย เธอไม่ต่อราคาแล้วจะค้าขายกันได้ยังไงล่ะ”
หลินปั้นซย่าครุ่นคิดว่าเหตุผลก็พอฟังขึ้น “งั้นคุณลดหน่อยได้มั้ยครับ”
“เสนอราคามาสิ?”
หลินปั้นซย่ากัดฟันย่ำเท้า เรียกราคาที่ตนพอรับได้ “สามร้อยห้าสิบ!” เยอะกว่าราคาที่เขาคิดไว้ในตอนแรกตั้งห้าสิบเลยนะ
เถ้าแก่ “…”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “ได้หรือเปล่าครับ” เขาเสนอราคาออกไปแล้วก็กลัวจริงๆ ว่าเถ้าแก่จะพูดว่าเอาไปเลยๆ บิลวันนี้ถือว่าขายประเดิมเอาฤกษ์แล้วกัน…เพราะคำพูดแบบนี้หลินปั้นซย่าได้ยินที่ตลาดมืดมาแล้วนับครั้งไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้ยินในใจเขาจะสั่นระริก เพราะคำพูดนี้มันแปลว่าเขาเรียกราคาสูงกว่าราคาจริง
เถ้าแก่เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะช็อกกับวิธีการต่อราคาของหลินปั้นซย่าหรือเปล่า คนอื่นเขาหั่นราคาก็ค่อยๆ หั่นเศษราคา แต่ไม่ใช่กับหลินปั้นซย่า เขาหยิบมีดยักษ์มาเฉือนเลขศูนย์ด้านหลังออกไปแทบหมด
หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าความเงียบนี้น่ากระอักกระอ่วนเกินไปนิดจึงเอ่ยเสียงแผ่ว “งั้น…ไม่งั้นผมเพิ่มอีกหน่อย?”
ไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า หลังจากเขาพูดคำนั้นออกไป น้ำเสียงเถ้าแก่ก็ดูเหมือนจะพูดด้วยอาการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย “เธอจะเพิ่มเท่าไหร่ล่ะ”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “ห้า…สิบ?”
เถ้าแก่ “…”
“มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ถึงเขาจะถูกใจแจกันใบนี้จริงๆ แต่เขาจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้ซ่งชิงหลัวไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจากนี้เขาก็คงไม่มีจุดยืนจะไปจับผิดว่าซ่งชิงหลัวใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแล้ว
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ในตอนที่หลินปั้นซย่านึกว่าตัวเองจะโดนไล่ออกจากร้าน เถ้าแก่ก็โบกพัดในมือ เอ่ยอย่างเหลืออดว่า “สแกนจ่ายที่บาร์โค้ดหน้าร้าน จ่ายเสร็จก็รีบไป”
หลินปั้นซย่าเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่หน้าตาเบิกบาน เขาเหลือบมองอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง เถ้าแก่เป็นผู้หญิงสวยที่ดูยังสาวมาก สง่างาม บุคลิกมีความสุภาพนิ่มนวล บนริมฝีปากยังมีไฝเสน่ห์สวยหยาดเยิ้มหนึ่งเม็ด ดูไม่เข้ากับพัดใบปาล์มสานและเก้าอี้โยกของคนแก่ใต้ร่างเลย
แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา หลินปั้นซย่าหยิบแจกันสองใบไม่กล้าถามเถ้าแก่ว่าห่อได้หรือเปล่า ทำเพียงเดินไปสแกนบาร์โค้ดหน้าร้านเงียบๆ…เขากลัวว่าถ้าพูดอะไรอีก เถ้าแก่จะไล่เขาออกไป
จ่ายสี่ร้อยไคว่ซื้อแจกันที่ตนชอบไปด้วยความพึงพอใจเสร็จ หลินปั้นซย่าก็ไปตามหาซ่งชิงหลัวด้วยความปริ่มอกปริ่มใจ ออกมาจากร้านได้ไม่ไกลเขาก็เจอซ่งชิงหลัวนั่งยองอยู่ริมทาง กำลังจดจ่ออยู่กับแผงขายเครื่องกระเบื้องเคลือบริมทาง เหมือนว่าจะถูกใจบางอย่าง
หลินปั้นซย่าลอบเดินไปข้างหลัง ก็เห็นว่าซ่งชิงหลัวของเขากำลังใช้ใบหน้าสวยราวกับเทพธิดาไม่เหมือนมนุษย์เดินดินเอ่ยกับเถ้าแก่ร้านด้วยความใจเย็น “เถ้าแก่ จ่ายเงินสดก่อนค่อยสแกนอาลีเพย์จ่ายเพิ่มได้มั้ย”
หลินปั้นซย่า “…” ประโยคนี้ฟังแล้วทำไมถึงได้น่าปวดใจขนาดนี้นะ
เถ้าแก่หลุดหัวเราะ ถามว่า “พ่อหนุ่มอยากได้จริงๆ เหรอ ของมากขนาดนี้รวมกันแล้วราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ผมจะจ่ายมัดจำก่อน คุณส่งให้ผมตามที่อยู่นี้ ของถึงแล้วจะมีคนจ่ายที่เหลือให้”
“งั้นก็ได้” เถ้าแก่พยักหน้า กำลังจะตอบตกลง แต่แล้วก็สังเกตเห็นหลินปั้นซย่าที่มายืนสีหน้าขมึงทึงอย่างกับผีร้ายอยู่ข้างหลังซ่งชิงหลัวเสียก่อน ร่างกายเถ้าแก่พลันสั่นสะท้าน “พะ…พ่อหนุ่ม คนคนนี้คือเพื่อนคุณเหรอ”
ซ่งชิงหลัวหันไปเห็นหลินปั้นซย่าที่กำลังก้มมองลงต่ำ ลมหายใจก็พลันสะดุด
หลินปั้นซย่ากัดฟันพ่นออกมาทีละถ้อยคำ “แค่ดูอย่างเดียว ไม่ซื้อ?”
ซ่งชิงหลัว “…”
หลินปั้นซย่า “แค่ถูอย่างเดียว ไม่สอดใส่?”
ซ่งชิงหลัวหลุบตาคู่สวยลงอย่างใจฝ่อ คิ้วขมวดน้อยๆ หน้าตาเหมือนคนอ่อนแอไร้กำลัง ท่าทางระทมทุกข์ของคนงามทำให้คนมองใจอ่อนไปแล้วกว่าครึ่ง…ซะที่ไหนกันเล่า! หลินปั้นซย่าจำได้แม่นเลยว่าเวลาอยู่บนเตียงคนตรงหน้านี้ดุอย่างกับเสือ เขาตัวสั่นพยายามคลานหนีก็จับข้อเท้าเขาค่อยๆ ลากกลับไป…
คนงามอ่อนแออะไรกัน หลอกลวงทั้งนั้น!
“มาว่าผม คุณเองก็ซื้อเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” พอดวงตาเหลือบไปเห็นแจกันในอ้อมแขนหลินปั้นซย่า ความใจฝ่อหงอเสียยิ่งกว่าอะไรของซ่งชิงหลัวก็กลับมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความใจกล้า “ทำไมไม่ให้ผมซื้อบ้างล่ะ!”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “หึ เดาสิว่าแจกันนี่ราคาเท่าไหร่”
“หนึ่งแสน?”
“สี่ร้อย!”
ซ่งชิงหลัวหันหน้ากลับไปมองพ่อค้าที่แจ้งราคากับเขา พ่อค้าถูกดวงตาดำทะมึนของซ่งชิงหลัวจ้องก็รีบหัวเราะแห้ง “ฉันก็แค่เสนอราคาไปอย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าพ่อหนุ่มจะจริงจังขนาดนี้” เขาพร่ำบ่นในใจ ไม่รู้ไอ้หนุ่มนี่ทำงานอะไร พอจ้องตาเขา จิตสังหารก็แผ่ออกมาจนขาอ่อนเลยทีเดียว
ทีแรกหลินปั้นซย่าอยากตำหนิพ่อค้าสักหลายประโยคไม่ให้แกล้งคนที่ไม่เคยเปิดโลก แต่กลับพบว่าสายตาของซ่งชิงหลัวจ้องมาที่แจกันของเขาครู่หนึ่ง แล้วสีหน้าก็แปลกไปก่อนจะยื่นมือออกมา “ขอผมดูหน่อย”
หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างมึนงง “ทำไมเหรอ” เขายื่นแจกันถึงมือซ่งชิงหลัว
ซ่งชิงหลัวรับมา มองพิจารณาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง สีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาถามขึ้น “คุณซื้อแจกันนี้มาจากไหน”
“ซื้อมาจากร้านเมื่อกี้น่ะ”
ซ่งชิงหลัวถามต่อ “คนขายลักษณะยังไง”
“ก็…เป็นผู้หญิงที่สวยเลยล่ะ มีไฝเสน่ห์ที่ปากด้วย ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ สามสิบกว่า”
แววตาซ่งชิงหลัวเปลี่ยนไปทันใด ไม่นึกเลยว่ามันจะฉายความร้อนรนออกมาหลายส่วน “พาผมไป”
หลินปั้นซย่ารีบพยักหน้ารับ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาเห็นความร้อนรนบนใบหน้าของซ่งชิงหลัวได้น้อยครั้งมากๆ ผ่านประสบการณ์มาตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรอีกฝ่ายก็จัดการมันด้วยความนิ่งเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรทำให้ตื่นกลัวได้เลย
หรือว่าแจกันกระเบื้องนี้จะมีปัญหาอะไรจริงๆ หลินปั้นซย่าเดินนำด้วยหมอกที่คลุมเต็มหัว พาซ่งชิงหลัวเข้ามาในร้านที่เขามาซื้อแจกันเมื่อครู่นี้
เพียงแต่เถ้าแก่สาวที่ขายแจกันกระเบื้องให้เขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่นั่งคลายร้อนอยู่หน้าร้านเป็นชายหัวล้านร่างบึกบึน ทั้งยังมีรอยสักลายพร้อยเต็มแขน แค่เห็นก็รู้ว่าหาเรื่องไม่ได้
ซ่งชิงหลัวเข้าไปถาม “ขอโทษนะครับ เถ้าแก่ผู้หญิงที่ขายแจกันใบนี้เมื่อกี้ยังอยู่หรือเปล่า”
ชายร่างสูงใหญ่เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เถ้าแก่ผู้หญิงอะไร เถ้าแก่ที่นี่มีแค่ฉันคนเดียว!” เขาเงยหน้า เมื่อเห็นใบหน้าของซ่งชิงหลัวแววตาก็ประดับด้วยรอยยิ้มแฝงเจตนาร้ายออกมา แล้วเอ่ยหยอก “โฮ่ ไม่อย่างงั้นจะมาเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่นี่มั้ยล่ะ”
หลินปั้นซย่าเพิ่งเคยเห็นคนกล้าพูดแบบนี้กับซ่งชิงหลัวเป็นครั้งแรก เขาช็อกจนแทบจะอ้าปากค้าง
แต่ไหนแต่ไรซ่งชิงหลัวก็ไม่ใช่คนใจดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคู่ดำรงทั้งหลายในสถาบันก็คงไม่กลัวเขาขนาดนั้น ความใจดีของเขามีให้แค่หลินปั้นซย่าคนเดียว ส่วนคนอื่น…
ซ่งชิงหลัวยื่นมือออกไปทันที ชายร่างใหญ่ยังคงหัวเราะร่า เพราะแขนขาวผ่องเรียวยาวของซ่งชิงหลัวดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่ต่อยตีเป็น แต่เหมือนคุณชายดีดเปียโนเสียมากกว่า ชายคนนั้นไม่คิดขยับตัว เพียงมองแขนคู่นั้นยื่นมาตรงหน้า จากนั้น…ก็บีบคอเขาแน่น ชายร่างใหญ่ดิ้นรนหมายจะสลัดให้หลุดโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อแขนคู่ที่ดูเรียวบางสวยเหมือนกับแขนของผู้หญิงบีบคอตนเองเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะออกแรงมากขนาดไหนก็ไม่อาจขยับหนีได้แม้แต่กระผีกเดียว
และแล้วเขาก็ถูกซ่งชิงหลัวยกตัวขึ้นมาอย่างแรง ผู้ที่หนักกว่าสองร้อยชั่งเมื่ออยู่ในเงื้อมมือซ่งชิงหลัวก็เบาหวิวประดุจกระดาษแผ่นบางๆ
ซ่งชิงหลัวหน้าไร้อารมณ์ บีบคอคนด้วยความเย็นชา จ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้าค่อยๆ เขียวคล้ำเพราะขาดอากาศหายใจอยู่ในเงื้อมมือตัวเอง ซ้ำแววตายังค่อยๆ อ่อนลง การดีดดิ้นเอาตัวรอดในทีแรกตอนนี้เริ่มไม่เหลือเรี่ยวแรง ราวกับในวินาทีถัดมาเขาจะเสียชีวิตคามือซ่งชิงหลัวจริงๆ
หลินปั้นซย่าเห็นเหตุการณ์แล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เขาเรียกชิงหลัวเบาๆ หนึ่งครั้ง ดวงเนตรสีดำของซ่งชิงหลัวส่องประกายวาบ มือที่บีบคอคนผู้นั้นคลายออกทันที
“แค่กๆ…แค่ก…” ชายร่างใหญ่ลงไปนอนตัวเปลี้ยอยู่บนพื้นทันที ทั้งยังไอโขลกออกมาไม่หยุด ใบหน้าเขียวม่วงเริ่มกลับมามีสีเลือดอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองซ่งชิงหลัวด้วยสายตาหวาดผวา ลุกขึ้นยืนจากพื้นด้วยความทุลักทุเลก่อนหันหลังเตรียมวิ่งหนี ใครจะรู้ว่าวิ่งออกไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็จะได้ยินเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากด้านหลัง
“กลับมานี่”
เสียงนี้ไม่ได้ดัง แต่กลับเหมือนมนตร์คาถาที่สั่งให้ชายร่างใหญ่หยุดฝีเท้าที่กำลังหนีได้ เขาหันกลับมาตัวสั่นงันงก มองซ่งชิงหลัวประหนึ่งมองเห็นปีศาจ
“เถ้าแก่ผู้หญิงของร้านคุณเมื่อกี้ล่ะ?” ยังคงเป็นคำถามเดิม น้ำเสียงเดิม เสียงของซ่งชิงหลัวอ่อนโยนราวกับไม่ได้ซักเอาคำตอบ แต่สิ่งที่ชายร่างใหญ่ได้ยินมันน่ากลัวยิ่งกว่านั้น
“ทะ…ที่นี่ไม่มีเถ้าแก่ผู้หญิง” ชายร่างใหญ่เหงื่อเย็นผุดทั่วใบหน้า ถูกซ่งชิงหลัวจ้องจนถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ “ฉันเฝ้าร้านนี้อยู่คนเดียว ไม่มีหรอก…เถ้าแก่หญิงนั่นน่ะ…”
ซ่งชิงหลัวส่งสายตาสงสัยให้หลินปั้นซย่า หลินปั้นซย่าเอ่ย “มีจริงๆ นะ แจกันคู่นี้ผมก็ซื้อมาจากเถ้าแก่ผู้หญิงคนนั้น”
ชายร่างใหญ่เหลือบมองแจกันแล้วส่ายหน้าอย่างร้อนรน กล่าวว่าตนไม่เคยพบเห็นสิ่งนี้มาก่อน
มาถึงตอนนี้ต่อให้เป็นหลินปั้นซย่าก็ต้องมองออกว่าเขาไม่ได้โกหกจริงๆ แต่เขาเองก็ซื้อของมาจากร้านนี้จริงๆ เหมือนกัน
ซ่งชิงหลัวสบตาหลินปั้นซย่า ทั้งคู่หมุนตัวเดินเข้าร้านอย่างรู้กันอยู่ในที ทิ้งเถ้าแก่เจ้าของร้านให้ยืนอยู่หน้าร้านคนเดียว อยากจะหนีแต่ก็ไม่กล้าหนี ได้แต่ไปยืนหลบตัวสั่นระริกอยู่ข้างประตูร้านเหมือนสาวน้อยอ่อนแอที่ถูกชายรังแกโดยแท้
เมื่อเข้ามาในร้าน หลินปั้นซย่าก็มั่นใจว่าตนไม่ได้จำผิดไป การจัดวางของร้านนี้เหมือนกับที่เขาเห็นก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่เก้าอี้โยกและพัดใบปาล์มก็ยังอยู่ นอกจากการที่ไร้วี่แววเถ้าแก่สาวคนนั้นแล้ว ทุกสิ่งก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
“ผมเห็นเธอตรงนี้แหละ” หลินปั้นซย่าชี้เก้าอี้โยก “ตอนนั้นเธอนั่งคุยกับผมอยู่ตรงนี้ ผมจำได้แม่นเลย”
ซ่งชิงหลัวเดินไปข้างเก้าอี้โยก
หลินปั้นซย่ามองสำรวจรอบๆ ต่อ ไม่นานก็ค้นพบบางอย่าง เขาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ชิงหลัว ดูจานนั่นสิ”
ซ่งชิงหลัวเงยหน้ามองไปยังจุดที่หลินปั้นซย่ากล่าวถึง บนตู้ที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขามีจานลายครามทรงกลมวางอยู่ใบหนึ่ง บนจานนั้นวาดลวดลายสีครามเป็นรูปหญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งกำลังนั่งรับลมอยู่บนเก้าอี้โยก ในมือหญิงสาวถือพัดหนึ่งเล่ม อากัปกิริยาสบายๆ เทคนิคการวาดนี้ไม่เลวเลย อากัปกิริยาของหญิงสาวดูสมจริง และที่สะดุดตาที่สุดคือไฝเสน่ห์บนริมฝีปากหญิงสาว
ซ่งชิงหลัวคว้าจานกระเบื้องใบนั้นลงมา ลูบไปที่มันหนักๆ เหมือนกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง
หลินปั้นซย่ายืนรอเงียบๆ ไม่กล้าเอ่ยคำอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หนึ่งนาทีหรือห้านาที ซ่งชิงหลัวที่นิ่งงันประดุจรูปสลักพลันเอ่ยปาก
“ปั้นซย่า คุณรู้หรือเปล่าว่าของที่ผมตามหามาตลอดคืออะไร”
หลินปั้นซย่าส่ายหน้าเป็นการตอบว่าตนไม่รู้
ซ่งชิงหลัวหันหน้ามา ก่อนจะขยับไปกระซิบข้างหูหลินปั้นซย่าด้วยเสียงแผ่วเบา “แม่ของผม”
หลินปั้นซย่าชะงักค้างอยู่ที่เดิม
* สามร้อยหมื่น หมายถึงสามล้าน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 ม.ค. 66