everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4 บทที่ 89 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 89 พยัคฆ์ดอมดมกุหลาบ (3)
หลินปั้นซย่าจับสังเกตคำที่ซ่งชิงหลัวใช้ได้ เขาพูดออกมาว่าตนต้องการตามหา ‘สิ่งของ’ ไม่ใช่คน เห็นได้ชัดว่าหากไม่ใช่สถานการณ์เฉพาะ คนทั่วไปไม่มีทางใช้คำว่า ‘ของ’ มาอ้างถึงผู้เป็นมารดาของตัวเองแน่นอน หลินปั้นซย่าเอ่ยออกไปด้วยความลังเล “จานใบนี้…มีความเกี่ยวข้องอะไรกับแม่ของคุณเหรอ”
ซ่งชิงหลัวหันหน้าไปมองชายร่างใหญ่หน้าร้าน
ชายร่างใหญ่ที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางโอหังในตอนนี้กลับประหนึ่งสาวน้อยที่ถูกกลั่นแกล้ง ยืนระมัดระวังท่าทีอยู่หน้าร้าน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความโดดเดี่ยวเจี๋ยมเจี้ยมไร้ที่พึ่ง หลินปั้นซย่าถึงกับสงสัยว่าวินาทีต่อไปเขาจะร้องไห้ออกมา
ซ่งชิงหลัวเดินไปตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณได้จานใบนี้มาจากไหน”
ชายร่างใหญ่กล่าว “กะ…ก็ซื้อมาจากในหมู่บ้านนี่แหละ”
ซ่งชิงหลัวถามต่อ “ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชายร่างใหญ่คล้ายจะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแห่งความตายของซ่งชิงหลัว เขาก็พยายามระลึกความทรงจำด้วยใบหน้าขมขื่น คิดอยู่นานกว่าจะนึกอะไรสักอย่างออกได้อย่างยากลำบาก “เหมือนว่าจะซื้อมาเมื่อเดือนพฤษภา ตอนนั้นของเข้าร้านผมมาล็อตหนึ่ง จานนี่ไม่มีคนซื้อก็เลยเอาไปวางในร้านครับ” เดิมเขาอยากหยิบมาดูให้แน่ชัด แต่เมื่อเห็นว่าซ่งชิงหลัวไม่มีท่าทีจะคลายมือจากจานใบนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยเรียกร้อง ทำได้แค่ยืนมองอยู่ห่างๆ ครู่หนึ่ง ใครจะรู้ว่ายิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “เอ๋? แต่จำได้ว่าตอนซื้อจานใบนี้มาลายบนจานนั่นไม่ใช่คนแต่เป็นต้นสนนี่? ไม่เห็นจำลายนี้ได้เลย…หรือจะจำผิดไป?”
เขาพูดจบก็กลัวซ่งชิงหลัวจะหาเรื่องอีก จึงถอยหลังไปสองก้าวด้วยใบหน้าเหยเกแล้วเอ่ยต่อ “ผมอาจจะจำผิดไปเอง”
ซ่งชิงหลัวสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยอะไรออกมาครู่ใหญ่ โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้หาเรื่องชายร่างใหญ่อีก เพียงหันหลังส่งสายตาให้หลินปั้นซย่าเป็นการบอกว่าตนจะกลับแล้ว
หลินปั้นซย่าเดินตามหลังเขา ฝีเท้าช้ากว่าเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “จริงสิ แจกันคู่นี้กับจานของคุณราคาทั้งหมดเท่าไหร่เหรอ”
ชายร่างใหญ่กล่าว “จานนั่นผมให้พวกคุณไปเลยก็แล้วกัน ส่วนจะ…แจกัน…หนึ่ง…หนึ่ง…” เดิมเขาอยากพูดออกไปว่าหนึ่งพัน แต่ก็กลัวผู้ชายหน้าสวยที่เดินนำอยู่ข้างหน้า พูดคำว่าหนึ่งอยู่ครึ่งค่อนวันได้ สุดท้ายก็ตอบไปว่า “หนึ่งร้อย”
“หา?!” หลินปั้นซย่าอึ้งจนหน้าถอดสี “หนึ่งร้อย? แต่เมื่อกี้ผมสแกนจ่ายไปสี่ร้อยเลยนะ!”
ชายร่างใหญ่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “งั้นผมคืนเงินให้คุณแล้วกันนะ แจกันนี่ก็ถือว่าให้คุณไปเลย”
“แบบนั้นก็น่าเกรงใจแย่เลยสิครับ เท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้นเถอะ คุณคืนให้ผมมาสามร้อยก็พอ”
เรานี่มันสองร้อยห้าสิบ* จริงๆ อยู่ดีไม่ว่าดีไปพูดพล่อยๆ แบบนั้นใส่เขาทำไม ชายร่างใหญ่คิดแต่ไม่กล้าโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาเงียบๆ สแกนเงินสามร้อยกลับไปให้หลินปั้นซย่า ถือเป็นค่าสะเดาะเคราะห์ หลินปั้นซย่าพึงพอใจ คิดในใจว่าครั้งหน้าคงต้องต่อราคาให้หนักกว่านี้ ไม่ได้นึกเลยว่าเขาถูกตนใช้มีดอีโต้หั่นราคาจนเลือดแทบหมดตัว ตอนนี้เหลือแต่หัวแล้ว
ซ่งชิงหลัวถือจานเงียบปากไม่เอ่ยคำใดตลอดทาง หลินปั้นซย่ารู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอยู่จึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน ก่อนหน้านี้ตนเองก็ได้รู้เรื่องราวที่ซ่งชิงหลัวประสบมาจากผู้เฒ่าจูแล้ว พ่อของซ่งชิงหลัวเสียชีวิตในห้องหนังสือ กลายเป็นศพที่เหลือเพียงโครงกระดูก และด้วยเหตุนี้แม่ของซ่งชิงหลัวจึงย้ายออกจากที่นั่นไปพร้อมกับเขา จากนั้นก็ทิ้งซ่งชิงหลัวไว้แล้วจากไปเพียงลำพัง
ดูท่าการจากไปของแม่ของซ่งชิงหลัวคล้ายจะมีอะไรเคลือบแฝง เช่นนั้นก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีก หลินปั้นซย่าจำได้แม่นว่าซ่งชิงหลัวเคยพูดออกมาว่า ‘แม่ผมตายแล้ว’ แต่ผู้เฒ่าจูกลับยืนกรานว่าแม่ของซ่งชิงหลัวยังอยู่ดี คำพูดของทั้งคู่ไม่ตรงกันเลย ถึงจะอ้างได้ว่าซ่งชิงหลัวกำลังประชดประชัน แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ล้วนประหลาดอยู่ดี
คำถามมากมายนับไม่ถ้วนรบกวนใจหลินปั้นซย่า แต่คำตอบทั้งหมดล้วนอยู่ในมือซ่งชิงหลัว
ตลอดทางไร้เสียงพูดใดๆ จากทั้งสอง เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ของหลี่ซูพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว แสงสายัณห์แผดแสงทั่วผืนฟ้า เมฆสีแดงสดประดุจเปลวเพลิงงามจับตาจนน่าตกใจ แสงสีอบอุ่นสาดกระทบใบหน้ายามไร้ซึ่งคำพูดของซ่งชิงหลัว ทำให้เขาเหมือนจะเผาไหม้เป็นจุณไปพร้อมกับแสงสายัณห์ หลินปั้นซย่ามองแล้วหัวใจก็พลันบีบรัด ยื่นมือไปคว้าแขนซ่งชิงหลัว เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องกังวลนะ ยังมีผมอยู่ตรงนี้ ยังไงทุกอย่างก็จะต้องมีทางออก…”
ซ่งชิงหลัวส่งเสียงอืมตอบรับเสียงแผ่ว
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาในลานบ้านก็เห็นหลี่ซูยืนรดน้ำดอกไม้อยู่ไม่ไกลออกไป หลี่เย่อยู่ข้างๆ ถอดรองเท้าถกขากางเกงขึ้นปรนนิบัติพรรณไม้ ทั้งคู่ดูเข้าขากันดีเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาก็หันมามอง หลี่ซูโบกไม้โบกมือทักทาย “ไปเดินเล่นที่หมู่บ้านมาเหรอ ซื้ออะไรกลับมาบ้างล่ะ”
หลินปั้นซย่าตอบว่า “ก็ไม่ได้ซื้ออะไรหรอก”
ซ่งชิงหลัวไม่สนใจหลี่ซู กอดจานเดินเข้าตัวบ้านไปโดยไม่สนใคร เห็นท่าทางแบบนี้ก็ทำเอาหลี่ซูตกใจ กระซิบถาม “เขาเป็นอะไรไป เจอเรื่องอะไรมาอย่างงั้นเหรอ”
หลินปั้นซย่ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวซ่งชิงหลัว ไม่ให้หลี่ซูรู้จะเป็นเรื่องดีกว่า จึงส่ายหน้าไม่ตอบอะไร เขายื่นแจกันในมือส่งให้อีกฝ่ายแล้วเอ่ย “ลายวาดบนนี้คือครอบครัวคุณใช่หรือเปล่า”
“…เอ๋?” หลี่ซูก้มหน้ามองของในมือหลินปั้นซย่า
มันเป็นแจกันลายครามแสนวิจิตร ลวดลายบนแจกันหลี่ซูมองเพียงปราดเดียวก็มองออกว่ามันคืออะไร ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีทันที “คุณซื้อมันมาจากที่ไหน”
“ร้านในหมู่บ้านน่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง?!!”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็ผมซื้อมาจากในหมู่บ้านจริงๆ”
หลี่ซูเอ่ย “ที่ซ่งชิงหลัวแปลกๆ ไปก็เพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย”
หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่ใช่ ปะ…เป็นเรื่องครอบครัวเขา”
หลี่ซูเห็นท่าทีนั้นก็เข้าใจเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ เขาข้ามคำถามนี้ไป เอ่ยต่อว่า “ช่วยเล่าเรื่องแจกันนี้ให้ผมฟังโดยละเอียดได้มั้ย”
หลินปั้นซย่ากล่าว “รอตอนดึกๆ หน่อยได้หรือเปล่า ผมอยากไปดูซ่งชิงหลัวก่อน” เขารู้สึกว่าอารมณ์ของซ่งชิงหลัวเริ่มแปลกไปตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว เขาเป็นห่วงมากจริงๆ
หลี่ซูพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาไป หลินปั้นซย่าถึงได้หันหลังจากมา
หลี่ซูมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ถือแจกันในมือแน่น ออกแรงจับแน่นเกินไปจนเส้นเลือดบนมือถึงกับนูนขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก กดความรู้สึกบางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ภายในลงไป แล้วเอ่ยกับหลี่เย่ว่า “ไปกันเถอะ เตรียมทำมื้อเย็นกัน”
“ได้” หลี่เย่รับคำเสียงเบา
พอหลินปั้นซย่ากลับมาถึงห้องพักก็เห็นซ่งชิงหลัวนั่งอยู่ตรงระเบียง ปลายนิ้วลูบไล้จานกระเบื้องที่ซื้อมา สีหน้านิ่งขรึม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลินปั้นซย่าเดินไปข้างๆ เขาก่อนส่งเสียงเรียกเบาๆ “ชิงหลัว”
ซ่งชิงหลัวหันกลับมาก็เห็นหลินปั้นซย่า สีหน้านิ่งขรึมเมื่อครู่ถึงคลายลงไปบ้าง “ปั้นซย่า”
หลินปั้นซย่ากล่าว “เล่าเรื่องนี้…ให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย แต่ถ้าคุณไม่อยากก็ไม่เป็นไรนะ ผมก็แค่ถามเฉยๆ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “คุณมีสิทธิ์รู้ทุกเรื่องของผม” เขาถอนหายใจราวกับกำลังเตรียมใจ ทั้งร่างเหยียดตรงเกร็งแน่น เล่าเรื่องในตอนนั้นให้หลินปั้นซย่าฟังด้วยเสียงนุ่มนวล
หลังจากเกิดเรื่องกับพ่อของซ่งชิงหลัว แม่ของเขาก็พาเขาออกจากบ้านหลังนั้นย้ายไปอาศัยอยู่ที่อื่น แต่การจากไปของพ่อไม่ได้ทำให้เรื่องน่าอกสั่นขวัญแขวนนี้จบลง…กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้น
จู่ๆ ซ่งชิงหลัวก็พบว่าร่างกายตัวเองเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ น้ำหนักของเขาเริ่มเบา เรี่ยวแรงก็เพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน ถึงขั้นที่เริ่มมีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นรอบตัว คล้ายมีบางสิ่งคอยเรียกหาเขาไม่หยุด ดึงดูดให้เขาเข้าไปหามัน และคนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงพร้อมๆ กันกับเขายังมีแม่เขาด้วย ผู้หญิงที่งดงามทั้งยังอ่อนโยนต่อให้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดก็ยังเลือกก้าวออกไปยืนข้างหน้าเพื่อปกป้องลูกชาย เธอก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ บนร่างกายด้วยเช่นกัน
“ตอนนั้นพวกเขาอยากเอาตัวผมไป แต่แม่ของผมไม่ยอม” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงส่งคนมากมายมาประจำอยู่แถวบ้าน คอยเฝ้าผมกับแม่ ตอนนั้นผมยังเด็ก คงสักประมาณหกเจ็ดขวบ ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าความเปลี่ยนแปลงพวกนี้มีความหมายว่ายังไง…”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นแม่ผมก็หายไป”
หลินปั้นซย่าชะงักงัน
“ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไป” ซ่งชิงหลัวพูด “ผมยังไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับคุณยังไง ทุกๆ คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่พวกนั้นต่างคิดว่าเธอยังใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน แต่ผมรู้ว่าเธอหายไปแล้ว…” เสียงของเขาเริ่มหนักขึ้น “ผมมองไม่เห็นเธอ แต่คนอื่นๆ กลับมองเห็น เหมือนว่าคนที่เป็นบ้าคือผมเอง…ผมรู้ว่าผมไม่ได้เป็นบ้า แต่เป็นแม่ของผมที่กลายเป็นแบบเดียวกับพ่อ”
นี่เป็นเรื่องที่ซ่งชิงหลัวเพิ่งมาเข้าใจในตอนหลัง
หลินปั้นซย่าพอจะเข้าใจแล้ว หลี่ซูเคยบอกกับเขาว่าในห้องหนังสือของบ้านซ่งชิงหลัวไม่ได้มีวัตถุนอกรีตเพียงแค่หนึ่งอย่าง เห็นได้ชัดว่าวัตถุนอกรีตพวกนี้มีอิทธิพลกับพ่อแม่ลูกทั้งสามคนในบ้านหลังนี้ พ่อกลายเป็นโครงกระดูก แม่หายตัวไป และร่างกายซ่งชิงหลัวก็กลายเป็นคู่ดำรงที่ตัวเบาปราดเปรียว ทั้งยังสามารถรองรับวัตถุนอกรีตอื่นได้
จากที่ซ่งชิงหลัวพูดมา ทุกคนสามารถมองเห็นแม่ของเขาได้ ยกเว้นตัวเขาเอง
ความเปลี่ยนแปลงนี้แทบจะบีบให้ซ่งชิงหลัวในวัยเด็กต้องเสียสติ โชคดีที่สถานการณ์นี้ยืดเยื้ออยู่ได้ไม่นาน ภาพมายาของแม่เขาก็หายไป ก่อนมันจะหายไปมีคนเห็นเธอลากกระเป๋าเข้าไปในสถานีรถไฟด้วยความรีบร้อนและจากไป ถึงตรงนี้ซ่งชิงหลัวก็กลายเป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์
และเมื่อแม่ของเขาจากไป ตรงหน้าซ่งชิงหลัวก็มีอยู่สองทางเลือก หนึ่งคือเข้าร่วมองค์กรและเป็นผู้สังเกตการณ์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สองคือเข้าสถานเด็กกำพร้าพิเศษ เมื่อสามารถยืนยันได้ว่าเขาไม่มีอันตราย ก็สามารถใช้ชีวิตในฐานะบุคคลทั่วไปได้
ซ่งชิงหลัวที่บ้านแตกสาแหรกขาดเลือกตัวเลือกแรกโดยไม่คิดลังเล
หลินปั้นซย่ารับฟังโดยไม่เอ่ยอะไร เขาเป็นเด็กที่ไม่เคยมีพ่อแม่มาคอยรักทะนุถนอมตั้งแต่เล็ก แต่ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องหากได้รับมาแล้วสูญเสียมันไปในภายหลัง แบบนั้นมันน่าเจ็บปวดยิ่งกว่าการไม่เคยได้รับมาตั้งแต่แรกเสียอีก
ถึงจะเห็นว่าตอนนี้ซ่งชิงหลัวเล่าเรื่องในตอนเด็กได้อย่างสบายๆ ก็อย่าได้คิดว่าเขาจะไม่เจ็บปวด ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงของครอบครัวย่อมทิ้งรอยแผลฉกรรจ์ไว้ในจิตวิญญาณของเขาอย่างแน่นอน และบาดแผลเหล่านี้ไม่มีทางสมานคืนได้ กลับกันมันจะยิ่งสลักลึกลงไปถึงกระดูก ตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หลินปั้นซย่าฟังแล้วก็ปวดใจ “หลังจากนั้นคุณค้นพบอะไรบ้างหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวเอ่ยรับ “อืม”
“มันคืออะไร”
“ผมรู้สึกว่าแม่ยังอยู่ข้างๆ ผม หลังจากเข้าองค์กรผมก็ตามหาเธออยู่ตลอด ตอนเข้าปีที่ห้าที่ผมเป็นผู้สังเกตการณ์ในที่สุดผมก็เจอร่องรอยของเธอ”
“คุณเจออะไรเหรอ”
ซ่งชิงหลัวกล่าว “ผมเจอ…ศพของเธอ”
“…”
“ลองเดาสิว่าผมเจอที่ไหน”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมเกินไปจนหลินปั้นซย่าอดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้ เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “ที่ไหน”
ซ่งชิงหลัวหัวเราะเยาะตัวเอง “อยู่ใต้เตียงในบ้านที่ผมอยู่”
“…”
ซ่งชิงหลัวกล่าวต่อ “ผมเจอผิวหนังที่แห้งเหี่ยวผืนหนึ่ง ถึงจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่ก็ยืนยันได้ว่านั่นคือแม่ของผมจริงๆ” เขาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาว คล้ายจะกดข่มอารมณ์บางอย่างที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในอก “ไม่รู้ว่าหนังผืนนั้นอยู่ใต้เตียงมานานแค่ไหนแล้ว มันไม่เหลือสภาพเดิม ตอนที่ผมเอาออกมาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ…”
หลินปั้นซย่าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ได้แต่กุมมือซ่งชิงหลัวแน่น
“พอเอาไปตรวจดีเอ็นเอก็พบว่าเป็นแม่ของผมจริงๆ” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ผมไม่ได้รู้สึกไปเองจริงๆ สิ่งที่ผมไม่เห็นแต่คนอื่นกลับเห็นไม่ใช่แม่ของผม แต่เป็นเอฟเฟ็กต์ที่เกิดจากวัตถุนอกรีต แม่ผมตายไปนานแล้ว”
หลินปั้นซย่ารู้ เรื่องนี้ไม่มีทางจบลงที่การตายของแม่ของซ่งชิงหลัว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ปรากฏอยู่ในจานกระเบื้องที่ซ่งชิงหลัวกำลังถืออยู่ในมือ เขารู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย เอ่ยถามต่อเสียงเบา “จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นผมก็สิ้นหวังไปเป็นเวลานานมากๆ คุณก็รู้ เวลาคนเราไร้จุดหมายจะทำอะไรก็ไม่น่าสนใจทั้งนั้น” ซ่งชิงหลัวพิงเก้าอี้ ยิ้มปลอบโยนออกมาราวกับกลัวว่าหลินปั้นซย่าจะกังวล “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ผมมีคุณ”
หลินปั้นซย่าอืมรับคำด้วยใจที่ปวดปลาบ “ผมอยู่ตรงนี้”
“ต่อจากนั้น” ซ่งชิงหลัวเอ่ยต่อ “ผมท้อใจไปหลายเดือน ครั้งหนึ่งตอนที่ออกไปทำภารกิจจู่ๆ ผมก็ค้นพบอะไรอย่างอื่น”
“คืออะไรเหรอ”
“ในร้านขายวัตถุโบราณ ผมพบว่าบนเครื่องกระเบื้องเคลือบชิ้นหนึ่ง…มีภาพวาดที่เหมือนแม่ของผมทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เหมือนแต่ถอดแบบออกมาหมด แม่ของผมมีไฝเสน่ห์ประจำตัวที่เป็นจุดเด่นอยู่บนมุมปาก ภาพวาดบนเครื่องกระเบื้องเคลือบนั้นเหมือนเธอทุกอย่าง ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองหลอนไปเองด้วยซ้ำ แต่ถามคนข้างๆ แล้วพวกเขาก็เห็นมันเหมือนกัน มันไม่ใช่ภาพหลอน”
หลินปั้นซย่าลังเล “แต่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า”
“ใช่ ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น” ซ่งชิงหลัวกล่าว “คิดว่ามันอาจจะเป็นความบังเอิญ แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มได้สติมองไปรอบๆ ร้านขายโบราณวัตถุ และพบว่าของบางชิ้นในร้านมีร่องรอยของแม่ผมอยู่ ความบังเอิญที่มีเยอะเกินไปจึงไม่นับว่าเป็นความบังเอิญอีก ผมเริ่มสงสัยว่าแม่ของผมดำรงอยู่ในโลกนี้ด้วยวิธีอื่น…”
หลินปั้นซย่ามองจานกระเบื้องในมือซ่งชิงหลัว ก่อนจะนึกถึงหน้าตาสง่างามของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง นั่นสินะ ซ่งชิงหลัวหน้าตาดีถึงขนาดนี้ ยีนของพ่อแม่ก็คงไม่มีทางแย่ไปกว่านี้ แต่เขาก็ฉุกนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าพลันเก้อกระดากขึ้นมา
ซ่งชิงหลัวไม่เข้าใจสีหน้าของหลินปั้นซย่า “เป็นอะไรเหรอ”
“แค่กๆๆ คือว่า…ตอนแม่คุณขายแจกันให้ผม ผมต่อราคาไป…”
ซ่งชิงหลัวคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “ต่อราคาก็ปกตินี่? ผมก็ต่อราคาเหมือนกัน”
หลินปั้นซย่าถาม “คุณต่อราคายังไง?”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ก็ถามเถ้าแก่ร้านว่าถูกลงหน่อยได้มั้ย”
“ถ้าเถ้าแก่เรียกสามล้านล่ะ คุณจะต่อเท่าไหร่”
ซ่งชิงหลัวไม่ได้คิดว่าจำนวนตัวเลขสามล้านนี้แปลกตรงไหน เขาขบคิดอย่างตั้งใจ โดยที่ในใจก็คิดว่าจะให้ภรรยารู้สึกว่าตัวเองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ จึงพูดตัวเลขออกไปหยั่งเชิง “สอง…ร้อยแปดสิบ”
หลินปั้นซย่า “ฮ่าๆ”
ซ่งชิงหลัวไม่เข้าใจเอาเสียเลย “คุณต่อราคาไปเท่าไหร่”
หลินปั้นซย่าชูสามนิ้ว
ซ่งชิงหลัวยังไม่เข้าใจ “สาม? สองร้อยสามสิบ? คุณต่อราคาเก่งจริงๆ”
หลินปั้นซย่าหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยเสียงแผ่ว “สามร้อยหยวน”
ซ่งชิงหลัว “…”
หลินปั้นซย่าพูดต่อ “แม่คุณคงไม่รังเกียจคนจนหรอกใช่มั้ย” ถึงแม้ว่าดูจากน้ำเสียงหลังเขาเรียกราคาสามร้อยหยวนไป เขาจะรู้สึกได้ว่าเธอเกือบจะไล่เขาออกจากร้านแล้วก็เถอะ
ซ่งชิงหลัวไม่เอ่ยอะไรครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าช็อกกับสามร้อยหยวนของหลินปั้นซย่า หรือกังวลว่าแม่ตัวเองจะรู้สึกไม่ประทับใจภรรยาในอนาคตของตน ทั้งคู่สบตามองกันอยู่ครู่หนึ่ง กลิ่นอายโศกเศร้าเมื่อครู่ถูกล้างออกไปเกลี้ยง กลายเป็นความกังวลกับความเป็นจริง
“ไม่เป็นไร แม่ผมใจกว้างมาก” ซ่งชิงหลัวปลอบหลินปั้นซย่าที่หวาดหวั่นร้อนอกร้อนใจ “คุณใช้ชีวิตเก่งขนาดนี้…เธอไม่มีทางรังเกียจคุณแน่นอน”
หลินปั้นซย่าฝืนแค่นยิ้มกว้างพลางรับคำ
หัวข้อสนทนาวนกลับมาเรื่องวัตถุนอกรีตอีกครั้ง ซ่งชิงหลัวกล่าวว่าเพราะการค้นพบเหล่านี้ เขาจึงเริ่มสะสมโบราณวัตถุโดยไม่รู้จักยั้งมือ พูดได้เลยว่าเขาเป็นแบบนี้มานานมาก เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันให้ซ่งชิงหลัวมีชีวิตอยู่ต่อไป หลินปั้นซย่าได้ฟังก็ปวดใจอย่างสุดซึ้ง เอ่ยว่า “คุณเคยเจอแม่ของคุณหรือเปล่า”
“ไม่…ไม่เคยเจอ” ซ่งชิงหลัวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “ก่อนวันนี้ผมนึกมาตลอดว่าเธอไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้ แต่ไม่นึกเลยว่าคุณจะได้เจอเธอ” นี่แปลว่าเธอน่าจะสามารถปรากฏตัวออกมาในโลกความจริงได้ ถ้าอย่างนั้นทำไมหลายปีมานี้เธอกลับไม่มาให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอพบหน้าเลยล่ะ?
หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจเลย
เห็นได้ชัดว่าคนที่ไม่เข้าใจเช่นเดียวกับเขาก็ยังมีซ่งชิงหลัว
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “บางทีอาจจะมีเหตุผลอะไรที่พวกเรายังไม่รู้…”
หลินปั้นซย่าพยักหน้า กำลังจะเอ่ยกับซ่งชิงหลัวอีกสองสามประโยค แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน มีคนส่งข้อความมาให้ หลินปั้นซย่าหยิบมือถือขึ้นมาก็พบว่ามันมาจากหลี่ซู เขากล่าวว่าตั้งเตาสำหรับปิ้งย่างที่ชั้นล่างไว้แล้วเรียบร้อย ให้พวกเขารีบลงมาใช้แรงงาน อย่าคิดจะรอกินอย่างเดียว ถึงน้ำเสียงที่แฝงมาในข้อความจะดูใจจืดใจดำ แต่หลินปั้นซย่าก็รู้สึกได้ว่าจริงๆ แล้วหลี่ซูเป็นห่วงพวกเขาสองคน ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ย “พวกเราลงไปกินข้าวกันก่อนมั้ย พวกหลี่ซูรอเราอยู่ข้างล่างแล้ว”
“ครับ” ซ่งชิงหลัวพยักหน้าตกลง
ทั้งคู่วางจานไว้ในห้องอย่างบรรจง หันหลังก้าวลงไปชั้นล่างแล้วเดินออกไปที่สวน ก่อนจะเห็นควันไฟลอยวนเป็นเกลียวที่มุมของสวน หลี่ซูและหลี่เย่เผาถ่านเตรียมวัตถุดิบไว้เรียบร้อยและเริ่มทำการปิ้งย่างอย่างมีความสุข
ตอนนี้อาทิตย์ตกดินโดยสมบูรณ์ ราตรีสีน้ำเงินเข้มปกคลุมทั่วผืนฟ้า ในที่สุดหลี่ซูก็หลุดพ้นจากอุปกรณ์ที่ห่อหุ้มทั้งตัว ให้ผิวกายได้ออกมาสัมผัสลมกลางคืนที่พัดผ่านบ้างเสียที
ซ่งชิงหลัวถกแขนเสื้อขึ้น เดินไปข้างเตาย่างอย่างเป็นธรรมชาติ รับผิดชอบนำอาหารขึ้นเตาย่างด้วยกันกับหลี่เย่ ถึงท้องฟ้าจะมืด แต่อยู่ใกล้เตาถ่านแล้วก็ต้องรู้สึกร้อนบ้างอยู่ดี ไม่ทันไรเหงื่อเม็ดเล็กก็ผุดพรายอยู่บนหน้าผากซ่งชิงหลัว หยาดเหงื่อไหลจากหน้าผากลงมาถึงริมฝีปาก เขาแลบลิ้นละเมียดหยาดเหงื่อเข้าปาก ทำให้หลินปั้นซย่าที่อยู่ข้างๆ เผลอหน้าแดงใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาไม่กล้าพูดจึงทำเป็นมองไม่เห็น และจ้องปีกไก่บนเตาย่างต่อ “หลี่ซู คุณกินเผ็ดได้หรือเปล่า”
“ได้สิๆ” หลี่ซูกล่าว “ผมเตรียมเบียร์ไว้ด้วยนะ”
หลี่เย่เอ่ยขึ้นว่า “คุณดื่มไม่ได้”
หลี่ซูกล่าว “ปัดโธ่ ต้าเกอ* ทุกคนอุตส่าห์มารวมตัวกันได้สักครั้ง แถมอากาศร้อนๆ แบบนี้อีก นายปล่อยฉันไปสักวันเถอะนะ” เขาเอาสิบนิ้วประกบกันทำท่าทางน่าสงสารขอร้องอ้อนวอน เมื่อคู่กับใบหน้างามประณีตประดุจเอลฟ์ หลินปั้นซย่าเห็นก็ยังอดใจอ่อนไม่ได้
ทว่าหลี่เย่กลับมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งนี้เป็นอย่างดี เขาไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้นมอง เพียงเอ่ยเสียงเรียบนิ่งออกมา “ไม่ได้”
“…ฉันแก่กว่านาย เรื่องอะไรฉันต้องฟังนายด้วย วันนี้ฉันต้องได้ดื่ม!!!”
หลี่เย่ถามว่า “แน่ใจนะ?”
หลี่ซูเฉาทันที
หลินปั้นซย่ามองทั้งคู่คุยกันก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าหลี่ซูน่าสงสารแต่ก็ไม่กล้าโน้มน้าวจริงๆ ยังไงซะหลี่เย่ก็ทำเพื่อหลี่ซู ที่ไม่ให้เขาดื่มย่อมต้องมีเหตุผล ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะกังวลเรื่องสภาพร่างกายของหลี่ซูนั่นเอง เบียร์เย็นๆ แผ่ความเย็นจนไอน้ำสีขาวเกาะตามแก้ว เมื่อยกขึ้นดื่ม เบียร์ไหลลงลำคอก็ล้างเอาความร้อนระอุของหน้าร้อนไปด้วย ทำให้คนได้ลองดื่มอยากจะพ่นลมออกมาเสียงดังด้วยความสดชื่น หลินปั้นซย่าไม่รู้จักเบียร์ยี่ห้อนี้ แต่รสชาติมันดีมากๆ กลิ่นหอมนุ่มเข้มข้น ไม่ขมปร่าฝาดลิ้น ดื่มง่ายสุดๆ
หลี่ซูแทะปีกไก่ย่างอยู่ข้างๆ ด้วยความคับแค้นใจ ยิ่งแทะก็ยิ่งโมโห และในตอนที่เขากำลังจะระเบิดออกมา หลี่เย่พลันยื่นของในมือมาตรงปากเขา หลี่ซูก้มหน้า ริมฝีปากก็แตะโดนแก้วเย็นเฉียบ พอมองดูดีๆ ถึงพบว่ามันคือเบียร์ที่เต็มแก้ว เขายิ้มหน้าบานทันที ไม่โมโหอีกต่อไป ทั้งยังเอ่ยว่า “อีวานน้อยน่ารักจริงๆ”
หลี่เย่ไม่สนใจเขา
อีวานน่าจะเป็นชื่อในภาษารัสเซียของหลี่เย่ หลินปั้นซย่าเพิ่งเคยได้ยินหลี่ซูเรียกครั้งแรก เขาคิดในใจว่าสองคนนี้สนิทกันมากจริงๆ ด้วย
ซ่งชิงหลัวเป็นเชฟมือทองและโชว์ฝีมือออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งๆ ที่เป็นวัตถุดิบอย่างเดียวกัน แต่เมื่อผ่านมือเขาแล้วรสชาติกลับอร่อยยิ่งกว่าเดิม ทุกไม้ด้านนอกล้วนเกรียมกำลังพอดี เนื้อด้านในเด้งนุ่มลิ้นน้ำชุ่มฉ่ำ ติดกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของเตาถ่าน เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับคนกินอย่างยิ่ง หลินปั้นซย่าชอบเหนียนเกาที่เขาย่างที่สุด ก้อนแป้งขาวๆ นุ่มๆ ด้านนอกกรอบเกรียม โรยน้ำตาลลงไปด้านบน กัดหนึ่งคำก็เจอกับผิวด้านนอกกรุบกรอบ ไส้ด้านในทั้งนุ่มทั้งร้อน รสหวานฉ่ำอร่อยล้ำสุดๆ
ภายใต้ผืนฟ้ายามราตรี พวกเขาทั้งสี่กินปิ้งย่างไปพลางพูดคุยกันไปพลาง หลี่ซูพูดมากที่สุด เล่าเรื่องเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในสถาบันไม่หยุดปาก หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องน่าขายหน้าของซ่งชิงหลัวด้วย และคงเป็นเพราะมีหลี่เย่อยู่ ซ่งชิงหลัวจึงไม่กล้าเข้าไปต่อยเขา หลี่ซูหัวเราะร่าบอกหลินปั้นซย่าว่าจริงๆ แล้วในสถาบันก็มีคนไม่น้อยที่ชอบซ่งชิงหลัว มีหมดทั้งหญิงทั้งชาย เพียงแต่ไม่มีใครกล้าบอกเขา เพราะเวลาเจ้าหมอนี่โกรธขึ้นมาน่ะน่ากลัวอย่างกับปีศาจ
หลินปั้นซย่านั่งฟังอย่างเพลินอารมณ์ “ไม่เคยมีใครสารภาพรักกับเขาเลยเหรอ”
หลี่ซูตอบว่า “มีซี่”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “งั้นตอนนั้นซ่งชิงหลัวมีปฏิกิริยายังไง”
หลี่ซูกล่าว “ไอ้หมอนี่มันไม่ใช่คน สาวน้อยคนนั้นเป็นคู่ดำรง หลังจากสารภาพรักกับเจ้านี่ด้วยความเขินอาย เขาก็เงียบกริบใส่ ก่อนถามคำถามเจ้าหล่อนไปว่า…”
หลินปั้นซย่าถาม “ว่าอะไร”
หลี่ซูเอ่ยต่อ “เขาบอกว่าคุณเป็นคู่ดำรงใช่มั้ย ตอนกลางคืนผมนอนดิ้น แบบนี้จะเผลอผนึกคุณไปด้วยหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าหันขวับไปมองซ่งชิงหลัวด้วยความอึ้ง
หลี่ซูหัวเราะเสียงดังอย่างโอเวอร์ “จากนั้นหล่อนก็หันหลังเดินหนีเลย ตอนเดินออกไปยังตาแดงก่ำด้วย…หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเข้าหาเขาอีกเลย”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “อย่างนี้ก็ได้เหรอ!”
ซ่งชิงหลัวยัดไส้กรอกไม้หนึ่งเข้าปากหลินปั้นซย่า “ไม่งั้นคุณก็สอนผมสิว่าต้องปฏิเสธยังไง”
หลินปั้นซย่าพูดว่า “ขอโทษครับ คุณเป็นคนดีเกินไป?”
“จิ๊” หลี่ซูทอดถอนใจ “หลินปั้นซย่า คุณคงเซียนมากเลยสินะ บอกมาเถอะ ปฏิเสธสาวๆ ไปแล้วกี่คน”
หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างกระดากอาย “ไม่มีหรอกครับ เขาสารภาพมาผมก็ไม่เคยปฏิเสธเลย”
หลี่ซู “หา?”
หลินปั้นซย่า “เพราะว่าผมไม่เคยรู้สึกตัวทันเลย…”
ซ่งชิงหลัวนิ่งเงียบ เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดีอย่างคาดไม่ถึง
* สองร้อยห้าสิบ เป็นสแลงที่มีความหมายค่อนข้างรุนแรง หมายถึงคนโง่ ไม่เต็มเต็ง เบาปัญญา
* ต้าเกอ แปลว่าพี่ใหญ่ หรือลูกพี่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 23 ม.ค. 66