everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4 บทที่ 91 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 91 พยัคฆ์ดอมดมกุหลาบ (5)
ตอนที่หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวรีบบึ่งลงมาชั้นล่างก็เห็นหลี่ซูที่ยังคงมีอาการตระหนกถูกหลี่เย่กอดเอาไว้ในอ้อมอก บรรยากาศระหว่างทั้งสองดูกลมกลืนอย่างยิ่ง
แต่พอหลี่ซูเงยหน้าขึ้นมองไปเห็นแจกันใบนั้นในมือหลินปั้นซย่า สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งยังขยับถอยไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ “อย่าเข้ามาใกล้ผม…”
หลินปั้นซย่าได้แต่ยืนนิ่ง “โอเค ผมไม่เข้าไป ไม่ต้องกลัวนะ”
ซ่งชิงหลัวเดินไปตรงหน้าหลี่ซู ก่อนจะเอ่ยถาม “บอกมา นายเห็นอะไรกันแน่”
เมื่อเจอกับคำถามของซ่งชิงหลัว หลี่ซูก็เม้มปากแน่น ดูค่อนข้างกังวลไม่น้อย “ฉัน…เห็นแม่ฉัน”
หลินปั้นซย่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลี่ซู จึงไม่ค่อยเข้าใจต้นสายปลายเหตุนัก แต่ซ่งชิงหลัวรู้ เขาถามอีกครั้ง “แม่คนไหน”
หลี่ซูยิ้มขื่น “ฉันจะไปแยกออกได้ยังไง”
คนหนึ่งคือวัตถุนอกรีต อีกคนคือแม่ของเขาจริงๆ กระทั่งเขาถูกพาออกไปจากที่นี่หลี่ซูก็ยังแยกไม่ออกว่าแม่เขาคือตัวปลอม ทั้งๆ ที่เธอพยายามปกป้องเขาไม่ให้ถูกคนอื่นๆ ที่บ้าคลั่งไปแล้วฆ่าตาย ทั้งๆ ที่เธอบาดเจ็บหนักเพราะปกป้องเขา แต่ทำไมเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งถึงกลายเป็นภาพลวงตาไปได้ สิ่งที่เหมือนแม่ของเขาทุกกระเบียดนิ้วกลับกลายร่างเป็นคนอื่นต่อหน้าต่อตาเขา เมื่อได้ยินคำถามของเขา มันก็ทำเพียงเผยสีหน้าอย่างผู้บริสุทธิ์ออกมา
‘เธอพูดอะไรน่ะ’ มันพูดกับเขาเช่นนี้ ‘เธอไม่ใช่ลูกชายฉัน ฉันไม่รู้จักเธอเลยนะ? แม่? ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่เธอไปไหน’ มันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง ทั้งยังแสดงสีหน้าแบบเดียวกับมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากของมันกลับน่าขนลุกยิ่งกว่าอะไร มันกะพริบตาปริบๆ ยิ้มสดใสขณะกล่าว ‘บางทีแม่ของเธออาจจะโดนตัวอะไรกินไปแล้วก็ได้นะ’
หลังได้ฟังคำตอบนี้ หลี่ซูก็เกือบจะเสียสติไปตรงนั้น
และเมื่อครู่นี้ตอนเขาตามหาที่มาของเสียงไปทั่วห้องก็พบว่าตอนแรกเสียงนั้นเริ่มที่ข้างเตียง ต่อมาก็เหมือนจะเคลื่อนย้ายไปใต้เตียง หลี่ซูไม่ได้คิดอะไร หมอบลงไปบนพื้นโดยตรง วินาทีถัดมาใบหน้าที่ถอดแบบมาจากแม่ของเขาก็ปรากฏอยู่ใต้เตียง ถูกคั่นด้วยระยะแคบๆ จมูกแทบจะแนบชิดติดกัน
ใบหน้าของแม่ยังคงอ่อนเยาว์…เธอฉีกยิ้มมุมปาก ส่งยิ้มสดใสที่หลี่ซูคุ้นเคยยิ่งกว่าสิ่งใดมาให้ จากนั้นก็เรียกชื่อของเขา…‘ซูซู’
แทบจะในชั่วพริบตา สภาพจิตใจของหลี่ซูพังทลายลงทันที เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง จนเมื่อตั้งสติได้อีกครั้งก็เป็นตอนที่ลงมาจากชั้นบนแล้ว หลี่เย่กอดเขา อุณหภูมิร่างกายที่มีเพียงเสื้อผ้าตัวบางๆ กั้นแผ่มายังร่างกายของเขาเรื่อยๆ ทำให้จิตใจที่ใกล้จะแหลกสลายของเขาผ่อนคลายลงได้
ฝันร้ายที่ไม่มีทางลืมตลอดชีวิตบังเกิดขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง หลี่ซูรู้สึกว่าเขาห่างจากคำว่าวิกลจริตอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
เขาพิงไหล่หลี่เย่เงียบๆ สีหน้าอิดโรยพูดอะไรไม่ออก เมื่อได้ฟังคำถามของซ่งชิงหลัว เขาก็รู้ดีว่ากิริยาเชิงลบแบบนี้ของตนเป็นการกระทำที่ผิดพลาด แต่ก็ไม่มีทางอื่น
เขากลัวมากจริงๆ
“ให้เขาพักก่อนเถอะ” หลี่เย่กล่าว “พรุ่งนี้ค่อยถาม”
ซ่งชิงหลัวเลิกคิ้ว “แน่ใจนะ?”
หลี่เย่หน้าไร้อารมณ์ “แน่ใจ”
ซ่งชิงหลัวฟังคำแล้วก็ไม่ได้บีบบังคับ เพียงส่งสายตาให้หลินปั้นซย่า ก่อนที่ทั้งคู่จะอุ้มแจกันหันหลังเดินกลับไป หลี่ซูเหม่อมองแผ่นหลังของหลินปั้นซย่าแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เธอจะกลับมาอีกหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว” หลี่เย่ที่กำลังโอบหลี่ซูเอาไว้กล่าวออกไปเช่นนั้น ลำแขนแข็งแกร่งเหมือนกำลังปกป้องแต่ก็เหมือนกำลังกักขัง
“ปล่อยพวกเขาสองคนไว้อย่างนั้นจะไม่เป็นไรใช่มั้ย” หลินปั้นซย่ากอดแจกัน ยังคงเป็นห่วงสภาพจิตใจของหลี่ซู เขาไม่รู้ว่าหลี่ซูเห็นอะไร ทำไมปฏิกิริยาถึงได้รุนแรงขนาดนี้
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ไม่เป็นไร มีหลี่เย่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว” เขาใช้หางตาเหลือบมองไปข้างหลัง “เรื่องถูกต้องที่สุดในชีวิตที่หลี่ซูเคยทำก็คงเป็นการเก็บหมอนั่นกลับมาด้วย”
หลินปั้นซย่าไม่ค่อยเข้าใจนัก
ซ่งชิงหลัวจึงบอกว่า “ผมจะค่อยๆ เล่าให้คุณฟัง”
ทั้งคู่กลับห้องมา ซ่งชิงหลัวก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหลี่ซูให้หลินปั้นซย่าฟังอย่างกระชับรวบรัดหนึ่งรอบ หลินปั้นซย่าได้ฟังแล้วก็ตะลึงไป “หมายความว่าวัตถุนอกรีตนั่นสวมรอยเป็นแม่เขาเหรอ จากนั้นก็ทำให้คนอื่นๆ ในครอบครัวฆ่ากันเองให้เขาดู?”
“ใช่” ซ่งชิงหลัวกล่าว “เพราะงั้นคุณน่าจะนึกออกใช่มั้ยว่าพอหลี่ซูรู้เรื่องนี้แล้วความรู้สึกของเขาจะเป็นยังไง ตอนนั้นเขายังอายุน้อย ประมาณสิบกว่าขวบได้ ในเวลาแค่ไม่กี่วันครอบครัวของเขาถูกทำลายโดยสมบูรณ์”
หลินปั้นซย่าถามว่า “สิ่งนั้นผนึกสำเร็จไปแล้วหรือยัง”
“ผนึกแล้ว” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ผมเป็นคนผนึกเองกับมือ”
“ในเมื่อผนึกไปแล้ว ทำไมถึงได้ปรากฏขึ้นมาอีกล่ะ” หลินปั้นซย่างุนงง “หรือว่า…สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาที่จริงคือวัตถุนอกรีตอย่างอื่น?”
“มีความเป็นไปได้สูง” ซ่งชิงหลัวนวดหัวตา “ช่วงนี้ไม่ค่อยปกติ อัตราการเกิดของวัตถุนอกรีตถี่เกินไป” ปีนี้แทบจะทั้งปีพวกเขาไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เลยสักครั้ง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด
หลินปั้นซย่ารู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“นอนพักผ่อนกันก่อนเถอะ” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “รอให้หลี่ซูดีขึ้นก่อน พรุ่งนี้เราค่อยไปถามรายละเอียด”
หลินปั้นซย่าพยักหน้ารับ
ทั้งคู่ขึ้นไปนอนบนเตียง วางแจกันที่เอากลับมาไว้ตรงหัวเตียงก่อนจะหลับไป หลินปั้นซย่าจ้องมันเขม็ง อยากดูว่ามันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรแปลกๆ หรือไม่ แต่มองอยู่ดีๆ ความง่วงงุนก็ถาโถมเข้าใส่ ไม่นานก็จมสู่ห้วงนิทราอันหอมหวาน
ซ่งชิงหลัวได้ยินเสียงลมหายใจของหลินปั้นซย่าค่อยๆ สม่ำเสมอก็ลอบยิ้มในใจเบาๆ คิดว่าทำไมตนถึงกังวลว่าหลินปั้นซย่าจะนอนไม่หลับได้นะ คนคนนี้เส้นประสาทหนาจนแข่งม้าบนนั้นยังได้เลย คนที่บ้าอาจจะเป็นตนเสียเอง ไม่ใช่เขา
หลินปั้นซย่าหลับสนิทมากจริงๆ เขานึกว่าตัวเองจะนอนจนฟ้าสว่างเสียอีก แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ เขาจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสามกว่าๆ
ไม่มีการรบกวนใดๆ ทั้งนั้น เขาเพียงแค่ตื่นขึ้นมาจากฝันอย่างไม่รู้สาเหตุ นอนมองเพดานห้องเหนือศีรษะด้วยความงัวเงีย ในพริบตานั้นหลินปั้นซย่ารู้สึกเหมือนตนยังคงฝันอยู่ พลันก็มีเสียงลมแผ่วอ่อนพัดอยู่ข้างหู ดึงให้เขากลับมายังโลกความจริง
ในเมื่อตื่นแล้วก็ไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยแล้วกัน หลินปั้นซย่าคิดแบบนี้แล้วก็พลิกตัวลงจากเตียง
ห้องน้ำอยู่ข้างๆ ระเบียง ในตอนที่หลินปั้นซย่าเดินไปห้องน้ำก็เหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกด้วย แต่เพียงแค่ปราดมองกลับทำให้เขาต้องชะงักค้างอยู่กับที่ บนท้องฟ้ามืดสนิท หมู่ดาวเนืองแน่นอยู่เต็มท้องฟ้า เดิมทีภาพที่เห็นนี้ควรจะงดงาม ทว่าดวงดาวที่ไม่ควรมีสีสันทั้งหลายเหล่านั้นบัดนี้กลับส่องแสงสีเขียวเข้มเป็นประกายเรืองรองดุจมรกตระยิบระยับลอยค้างอยู่บนน่านฟ้า
ดวงดาวเหล่านี้ราวกับมีชีวิต ขยับเคลื่อนย้ายด้วยความเชื่องช้าอยู่บนท้องฟ้า ล้อมรอบด้วยรัศมีแวววาว กระจัดกระจายอยู่ในทางช้างเผือก จากนั้นหมู่ดาวก็เริ่มร่วงหล่นทีละดวงๆ มันร่วงหล่นจากฟ้าประหนึ่งสูญเสียพลังชีวิต เสียงลมข้างหูดังขึ้นเรื่อยๆ หลินปั้นซย่าได้ยินเสียงกระซิบประหลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งที่มาของเสียงกระซิบนั้นก็คือท้องฟ้าที่เขาแหงนมองอยู่ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเส้นสีเขียวได้ปรากฏขึ้นมาในดวงเนตรดำขลับของตนอีกครั้ง ราวกับรูม่านตาที่ตั้งตรงกำลังตอบรับเสียงเพรียกจากแดนไกล
หลินปั้นซย่ายื่นมือออกไป ทั้งๆ ที่หมู่ดาวอยู่ห่างไกลจนเอื้อมไม่ถึง ทว่าปลายนิ้วของเขากลับสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุ คล้ายได้แตะต้องกลุ่มดาวที่กำลังแผดเผาอยู่จริงๆ…มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ร่างกายเบาเหมือนกำลังจะหายไป และวินาทีต่อมาเขาก็จะถูกกลืนกินเข้าสู่ทางช้างเผือกแสนลึกล้ำไปพร้อมกับสายลมเย็นยามค่ำคืน
ในตอนที่ความรู้สึกเช่นนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลินปั้นซย่าก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ มันเป็นเสียงของผู้หญิง เสียงอ่อนโยนของเธอฮัมเป็นทำนองเพลงที่เหมือนกำลังกล่อมเด็กทารกให้หลับใหล เสียงเพลงค่อยๆ กลบเสียงกระซิบ ทำให้หลินปั้นซย่าหลุดออกมาจากภวังค์อันน่าประหลาดนั้นได้
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นคล้ายจะอยู่ข้างหลังเขา “พยายามเข้าล่ะ”
หลินปั้นซย่าตื่นเต็มตาทันที เสียงนี้คือเสียงของแม่ซ่งชิงหลัว เมื่อเขาหันขวับกลับไป ด้านหลังกลับมีแต่ความว่างเปล่า เห็นเพียงซ่งชิงหลัวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเท่านั้น
ท้องฟ้าข้างนอกกลับมาเป็นสีเดิมอย่างที่ควรจะเป็น มันมืดสนิทแต่กลับทำให้คนสงบใจได้อย่างน่าประหลาด
หลินปั้นซย่ายืนอยู่ตรงระเบียงห้อง นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังหลุดจากการควบคุมของตนเองไปเรื่อยๆ คำพูดของแม่ซ่งชิงหลัวหมายความว่ายังไง เหลือเวลาไม่มากแล้ว? เวลาอะไรเหลือไม่มากแล้ว เขาเดินกลับไปริมเตียงด้วยความงงงวย มองใบหน้ายามหลับของซ่งชิงหลัวที่นิ่งสงบ ครุ่นคิดก่อนตัดสินใจว่าไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ขอแอบแต๊ะอั๋งก่อนสักหน่อย เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ด้วยเหตุนี้หลินปั้นซย่าจึงทิ้งจูบอ่อนโยนไว้ที่ริมฝีปากของซ่งชิงหลัวด้วยรอยยิ้ม
ซ่งชิงหลัวซึ่งกำลังหลับตาอยู่ไม่ได้รู้สึกตัวเลย คืนนั้นเขาฝันดี ในความฝันก็มีคนที่ชื่อหลินปั้นซย่าอยู่เคียงข้างเขาเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นยังคงเป็นวันท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส แสงแดดแสบตาปลุกหลินปั้นซย่าให้ตื่นขึ้น
เขางัวเงียลุกจากเตียงก่อนพบว่าซ่งชิงหลัวหายไป หลังทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หลินปั้นซย่าลงมาชั้นล่างก็พบมื้อเช้าวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะในห้องอาหาร ทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วแต่ยังไม่เริ่มลงมือ
“ตื่นแล้วเหรอ” ซ่งชิงหลัวเอ่ยทัก “นึกว่าคุณจะนอนนานกว่านี้อีกหน่อย”
หลินปั้นซย่ารู้ตัวว่าพวกเขากำลังรอตนอยู่จึงรู้สึกผิดเล็กน้อย “ทำไมไม่ปลุกผมล่ะ”
“เห็นคุณกำลังหลับสนิทเลยให้คุณนอนเยอะๆ หน่อย” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ยังไงก็ไม่ต้องรีบกินข้าวอยู่แล้ว”
หลินปั้นซย่าพยักหน้า มองไปยังหลี่ซู
เมื่อคืนวุ่นวายไปทั้งคืน ใต้ตาหลี่ซูจึงคล้ำเป็นวงกว้าง ท่าทางเหมือนยังพักผ่อนไม่พอ โชคดีที่สีหน้าเขาดูสงบลงมาก ไม่ได้ตระหนกกลัวอย่างเมื่อคืนแล้ว หลี่ซูถึงกับมีอารมณ์เอ่ยหยอกล้อหลินปั้นซย่าอีกด้วย “โธ่ ซ่งชิงหลัวปล่อยให้คุณลุกจากเตียงด้วยเหรอเนี่ย ดูท่าจะยังขยันไม่พอแฮะ”
หลินปั้นซย่าถามว่า “คุณไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย”
“ถึงผมบอกไปว่าไม่เป็นไร คุณก็คงไม่เชื่อหรอก” หลี่ซูสบถ “ไอ้เวรนั่นเฮงซวยจริงๆ จู่ๆ ก็โผล่มาใต้เตียง ฉันเกือบจะตกใจตายอยู่แล้ว…”
“ไม่ใช่เกือบ” ซ่งชิงหลัวเสริม “แต่เป็นไปแล้ว”
หลี่ซูตอบกลับว่า “นายไม่คิดจะไว้หน้าฉันบ้างเลยหรือไง”
“ขอปฏิเสธ” ซ่งชิงหลัวเอ่ยหน้านิ่ง
หลี่ซูแค่นยิ้มขมขื่น เรียกหลินปั้นซย่าให้มากินมื้อเช้า กินไปพลางพูดคุยไปพลาง หลินปั้นซย่านั่งลงข้างๆ ซ่งชิงหลัว หยิบตะเกียบคีบซาลาเปาร้อนๆ เข้าปาก ฟังหลี่ซูเล่าว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อได้ยินหลี่ซูเล่าว่าตอนนั้นเห็นหน้าแม่ตัวเองอยู่ใต้เตียง หลินปั้นซย่าก็หันไปมองซ่งชิงหลัวโดยอัตโนมัติ
หลี่ซูจับสังเกตได้ จึงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “หลินปั้นซย่า คุณก็เห็นแม่คุณเหมือนกันเหรอ”
หลินปั้นซย่ากระดากใจ “เปล่า แม่ผมเสียไปนานแล้ว หน้าตาเป็นยังไงผมก็จำไม่ได้…”
หลี่ซูกล่าว “งั้นที่คุณเห็น…”
หลินปั้นซย่าต่อบท “คือคุณแม่ของซ่งชิงหลัว”
หัวข้อที่น่าตึงเครียดในตอนแรกกลับเต็มไปด้วยความขบขันเพราะประโยคที่ว่า ‘คุณแม่ของซ่งชิงหลัว’ จากปากหลินปั้นซย่า หลี่ซูยกมุมปากขึ้น เห็นได้ชัดว่าอยากหัวเราะออกมาแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงพยายามกดมันกลับลงไปอย่างยากลำบาก เอ่ยคำพูดโดยแสร้งเป็นเคร่งขรึม “อ๋อ แม่ยายของคุณน่ะเหรอ ได้ทำตัวดีๆ ให้เขาเห็นหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงอ่อน “ทำตัวดีมาก แถมต่อราคากับเธอตั้งนานกว่าจะซื้อแจกันกลับมาให้คุณได้”
หลี่ซู “อุ๊บ”
หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ”
“ฮ่าๆๆๆ!!!” หลี่ซูได้ยินคำนี้ก็ทนไม่ไหวจริงๆ ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยท่าทางเกินจริง แล้วยังตบต้นขาเสียแรงอีก
ขณะที่หลินปั้นซย่ากำลังคิดในใจว่าตบซะเสียงดังขนาดนี้ไม่กลัวเจ็บเลยหรือไง ก็ได้ยินหลี่เย่เอ่ยเสียงเย็นเยียบขึ้นมาก่อนว่า “จะตบก็ตบขาตัวเอง”
“ไม่” หลี่ซูหน้าหนาไม่รู้จักอาย “ฉันกลัวเจ็บ”
หางตาหลี่เย่กระตุกกึก
หลังจากถูกขัดจังหวะแบบนี้ บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่ก็จางหายไปมาก อารมณ์ที่ค่อนข้างเคร่งเครียดของหลี่ซูก็คลายลงด้วยเช่นกัน
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหรอ” หลินปั้นซย่าถามขึ้น “หรือว่าบ้านหลังนี้ยังมีวัตถุนอกรีตอยู่อีก?”
“ดูจากตอนนี้ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” หลี่ซูกล่าว “แค่ไม่รู้ว่าไอ้สิ่งนั้นมันคืออะไร” เขาตักโจ๊กหนึ่งคำ มันร้อนลวกจนเขาต้องนิ่วหน้า “คิดว่า…มันจะสามารถทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นปรากฏออกมาอีกรอบได้หรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “คงไม่ใช่มั้ง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมคนที่เห็นถึงไม่ใช่ซ่งชิงหลัวแต่เป็นผมล่ะ” เพราะอย่างไรก็เป็นซ่งชิงหลัวต่างหากที่พบเจอกับทุกอย่างนั้น ถ้าวัตถุนอกรีตชนิดนี้ต้องการแสดงภาพสิ่งที่เกิดในตอนนั้นก็ควรจะใช้ความทรงจำมาอ้างอิง แต่แม่ของซ่งชิงหลัวหน้าตาเป็นอย่างไรหลินปั้นซย่าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
หลี่ซูได้ยินก็รู้สึกว่าเขาพูดได้มีเหตุผล ขยุ้มหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด “งั้นทำยังไงดีล่ะ ฉันไม่อยากรายงานเรื่องนี้กับทางสถาบันแล้วให้พวกเขาส่งคนมาหรอกนะ” นี่เป็นคฤหาสน์ที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษของเขา แค่คิดว่าอาจถูกค้นจนชำรุดทรุดโทรมอีกครั้งหัวใจเขาก็ไม่เป็นสุขเอาเสียเลย
หลินปั้นซย่ากล่าว “จริงสิ ที่นี่มีคนเข้ามาอยู่หลายรุ่นเลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง”
หลี่ซูนึกไม่ถึงจุดนี้เลยหันไปมองหลี่เย่ “ใช่แล้ว พวกเขาไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใช่มั้ย”
หลี่เย่เอ่ยเสียงเรียบ “หลังจากที่ครอบครัวคุณขายคฤหาสน์นี้ออกไป ที่นี่ก็อยู่ในความดูแลของเจ้าบ้านทั้งหมดหกรุ่น โดยเฉลี่ยแต่ละรุ่นอยู่ได้ไม่เกินสามปี ส่วนเรื่องอื่นผมไม่รู้ แต่เจ้าบ้านคนล่าสุดก่อนที่ผมจะตกลงซื้อมาก็เกิดเรื่องขึ้นบ้างจริงๆ”
หลี่ซูพูดว่า “บัดซบ แล้วนายยังจะกล้าซื้ออีกเหรอ”
หลี่เย่เลิกคิ้ว “นี่ไม่ใช่บ้านคุณหรือไง”
หลี่ซูไร้เยื่อใย “ขายไปแล้วก็ไม่ใช่ของฉันแล้วนี่”
หลี่เย่ไม่สนใจหลี่ซู เล่าต่อว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นคือจู่ๆ เจ้าบ้านหญิงก็มีปัญหาทางจิต ถูกคุมตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช เจ้าบ้านชายคิดว่าที่นี่อัปมงคลก็เลยตัดสินใจขาย ผมติดตามอยู่ตลอดก็เลยถือโอกาสนี้ซื้อมาเลย”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของบ้านผู้หญิง นายได้ถามหรือเปล่า”
“ถามแล้ว” หลี่เย่เอ่ย “เขาบอกว่าเธอมักจะเห็นของแปลกๆ อยู่ในบ้าน จากนั้นสภาพจิตใจก็แย่ลงเรื่อยๆ จนมีครั้งหนึ่งเธอถึงกับกระโดดลงจากชั้นสอง…ยังไม่ตาย แต่ขาหัก”
หลี่ซูกล่าว “งั้นที่นี่ก็เป็นบ้านผีสิงไปแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้เล่า”
หลี่เย่เอ่ยด้วยความนิ่งเฉย “ถ้าที่นี่เป็นบ้านผีสิง งั้นคอนโดฯ ที่หลินปั้นซย่ากับซ่งชิงหลัวอยู่นับเป็นอะไรล่ะ”
หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวที่อยู่ๆ ก็ถูกพาดพิงทั้งที่ไร้ความผิดพากันนิ่งอึ้ง “…”
หลี่ซูคิดโดยละเอียดก่อนพบว่าที่หลี่เย่กล่าวมาก็ถูก หลินปั้นซย่ากับซ่งชิงหลัวอาศัยอยู่กับโถเก็บอัฐิพวกนั้นตั้งนานก็ไม่เห็นจะเกิดเรื่องอะไรเลย เขาก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องงี่เง่าขนาดนั้น หลี่ซูเกาหัวพลางหัวเราะโง่ๆ ออกมา “จริงด้วย”
ซ่งชิงหลัวเอ่ยเสียงแข็ง “อย่าเอาพวกเรามายกตัวอย่างได้มั้ย”
หลี่เย่แบมือ ทำทีว่าไม่ได้มีเจตนาจะจาบจ้วง
หลินปั้นซย่าลอบเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเงียบๆ คิดในใจว่าถ้าซื้อบ้านให้เสี่ยวฮวาต้องเอาใหญ่ๆ ไว้ก่อน จะให้พวกหลี่ซูมาดูถูกไม่ได้
กลับมาเข้าเรื่องต่อ หลี่เย่กล่าวว่าก่อนเขาจะซื้อคฤหาสน์นี้ก็ถามข้อมูลจากคนในหมู่บ้านมาแล้ว ก่อนที่เจ้าบ้านหญิงคนนี้จะเสียสติ มีช่วงหนึ่งที่เธอหลงใหลเครื่องกระเบื้องเคลือบของหมู่บ้านมากๆ จนถึงกับแยกห้องเอาไว้ห้องหนึ่งเพื่อเอาไว้เก็บเครื่องกระเบื้องเคลือบที่เธอซื้อมาโดยเฉพาะ จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็เสียสติ โยนเครื่องกระเบื้องเคลือบทั้งหมดออกนอกหน้าต่าง เธอโยนไปพลางตะโกนไปด้วยว่ามีผี ตอนนั้นเรื่องนี้โด่งดังในหมู่บ้านมาก แต่ทุกคนก็ไม่มีใครเก็บเอาคำพูดของเจ้าบ้านหญิงคนนั้นมาใส่ใจ นึกว่าเธอแค่มีปัญหาทางจิตเท่านั้น
หลังจากนั้นเจ้าบ้านหญิงคนนั้นก็เสียสติโดยสมบูรณ์ ไม่กล้าออกจากบ้านอีก วันๆ เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง จนคืนหนึ่งจู่ๆ เธอก็กระโดดลงมาจากชั้นสอง เจ้าบ้านชายถึงได้ส่งเธอไปอยู่โรงพยาบาล จากนั้นหลี่เย่ก็ถือจังหวะนี้รับช่วงคฤหาสน์นี้มาหมายจะเซอร์ไพรส์หลี่ซู
เรื่องราวเหล่านี้หลี่เย่ไม่เคยพูดถึงมาก่อนเลย หลี่ซูเอ่ยอย่างหดหู่ “พูดให้เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง ถ้าบ้านหลังนี้มีปัญหาจริงๆ จะทำยังไงเนี่ย”
หลี่เย่เอ่ยเสียงเรียบ “ก่อนหน้านี้ผมลองอยู่ที่นี่คนเดียวมาครึ่งเดือนแล้วแต่ก็ไม่เจออะไร ถึงได้เรียกคุณมา”
หลี่ซูสบถคำผรุสวาท “ถ้ามีอะไรขึ้นมาจริงๆ นายคงตายอยู่ที่นี่แล้วไม่มีใครรู้สักคน”
หลี่เย่บอกว่า “คุณจะรู้ แค่อาจจะรู้ช้าหน่อย”
“…” หลี่ซูโมโหจนหลุดหัวเราะ
ซ่งชิงหลัวคร้านจะสนใจพวกเขาสองคน การทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้สำหรับสองคนนี้ไม่ถือว่าเป็นความขัดแย้งเลยสักนิดเดียว นับได้แค่ว่าเป็นรสนิยมของพวกเขา เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องไปร่วมวงด้วย เลยเอ่ยต่อไปว่า “แล้วตอนนี้จะจัดการยังไง”
หลี่ซูกล่าว “หาสิ่งนั้นให้เจอก่อนได้หรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวตริตรองครู่หนึ่ง เขาใช้นิ้วเคาะโต๊ะระหว่างขบคิดอะไรบางอย่าง “ก็ได้อยู่หรอก แต่นายกล้าเหรอ”
หลี่ซูแค่นยิ้ม “ทำไมจะ…ไม่กล้าเล่า”
ถึงเขาจะบอกว่ากล้า แต่คนอื่นๆ ก็มองออกว่าเขาฝืนแสดงออกมามากแค่ไหน หลินปั้นซย่ามองหลี่เย่ เดิมทีเขานึกว่าหลี่เย่จะโน้มน้าวหลี่ซู ใครจะรู้ว่าหลี่เย่กลับเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “งั้นก็ลองดูสิ”
หลี่ซูรับคำว่าอืมเสียงหนึ่ง
“ต้องทำยังไง” หลี่เย่มองซ่งชิงหลัว
ซ่งชิงหลัวกล่าว “ง่ายมาก แค่ทำให้สภาพแวดล้อมในบ้านกลับไปเป็นเหมือนเมื่อคืนก็พอ หนึ่งคนต่อหนึ่งห้อง วางเครื่องกระเบื้องเคลือบที่มีรูปคนไว้ตรงหน้า ดูว่าสิ่งในเครื่องกระเบื้องเคลือบจะกลายมาเป็นคนจริงๆ หรือเปล่า”
พูดออกมาดูง่ายมาก แต่นี่เท่ากับว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หลี่ซูจะต้องเจอกับสิ่งนั้นอีกครั้ง สิ่งนั้นที่เรียกชื่อเขาว่า ‘ซูซู’ สิ่งที่หน้าตาเหมือนแม่ของเขาทุกกระเบียดนิ้ว
“คุณจะ…ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่มั้ย” หลินปั้นซย่าคิดว่าสีหน้าหลี่ซูดูไม่ดีนัก
“อืม” หลี่ซูกล่าว “ไม่มีปัญหา”
หลินปั้นซย่า “…”
“งั้นก็ลองคืนนี้เลย” หลี่เย่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “เริ่มตอนเที่ยงคืน ผมจะเฝ้าอยู่หน้าห้อง ถ้าไม่ไหวก็เรียกผม”
“ได้” หลี่ซูกล่าว
หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจเลยว่าสองคนนี้จะทำอะไรกันแน่ ด้วยความต้องการจะปกป้องอย่างแรงกล้าที่หลี่เย่มีต่อหลี่ซู หลินปั้นซย่านึกว่าเขาจะไปทำสิ่งนี้แทนหลี่ซูเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะตกลงอย่างง่ายดายขนาดนี้ และยังถึงกับออกตัววางแผนด้วยตัวเองด้วย
ตอนที่พวกเขาไปเล่นน้ำตกตอนบ่าย ความสงสัยนี้ถึงได้สิ้นสุดลง
น้ำตกที่อยู่ข้างๆ คฤหาสน์ไม่ใหญ่แต่ก็สวยงามมาก ธารน้ำสายเล็กๆ คดเคี้ยวและหายลับตาไปในชายป่า น้ำใสสะอาดจนสามารถมองเห็นก้อนกรวด กุ้ง และปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ
หลี่ซูตากแดดไม่ได้ คนที่มาเล่นน้ำจึงมีแค่หลินปั้นซย่ากับซ่งชิงหลัว หลินปั้นซย่าถอดรองเท้าถุงเท้าออก ย่ำลงไปในน้ำแล้วเอ่ยถามว่า “ชิงหลัว หลี่เย่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่เหรอ”
ซ่งชิงหลัวไม่ชอบน้ำจึงนั่งรับลมอยู่ริมฝั่ง “อะไรคือคิดอะไร”
หลินปั้นซย่าอธิบาย “เขารักหลี่ซูมากเลยไม่ใช่เหรอ แล้วจะทนมองหลี่ซูเจ็บปวดลงเหรอ” ตอนที่หลี่ซูหวาดผวา สีหน้าหลี่เย่ตอนนั้นราวกับว่าอยากจะกอดหลี่ซูให้จมอกอยู่แล้ว
ซ่งชิงหลัวเหลือบมองหลินปั้นซย่า “ผมพอจะเข้าใจเขา”
“หือ?”
“อย่างน้อยเขาก็อดกลั้นไว้ได้”
หลินปั้นซย่าได้ฟังก็ประหลาดใจ “อดกลั้นอะไร”
ซ่งชิงหลัวถอนหายใจ รู้สึกละเหี่ยใจเล็กน้อย “ตอนที่หลี่ซูเก็บหลี่เย่กลับมาที่จริงเขาก็เพิ่งจะอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ตอนนั้นเขาทำอะไรไม่คิด เกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง แล้วก็ไม่ฟังที่คนอื่นแนะนำ ร่างกายไม่แข็งแรงดีแต่กลับชอบดื่มแอลกอฮอล์…สภาพของเขาตอนนี้กับเมื่อก่อนต่างกันราวฟ้ากับดินก็ว่าได้”
หลินปั้นซย่าเอ่ยทวน “สภาพเมื่อก่อน?”
“อืม สภาพเมื่อก่อน”
ซ่งชิงหลัวเล่าถึงตอนที่หลี่ซูเพิ่งเข้ามาอยู่ในสถาบัน ตอนนั้นเขายังไม่บรรลุนิติภาวะ หน้าตาราวกับตุ๊กตา ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดีและยังว่านอนสอนง่ายมากๆ ด้วย เป็นคุณชายน้อยแสนดีที่ใครเห็นต่างก็ชื่นชอบ จากนั้นยิ่งหลี่ซูเริ่มเข้าใจวัตถุนอกรีตมากเท่าไหร่ นิสัยของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น สุดท้ายก็กลายเป็นอย่างที่หลินปั้นซย่าเห็นในตอนนี้
ซ่งชิงหลัวกล่าว “หลี่เย่เป็นคนที่เก่งกาจมาก จากผู้บันทึกก็กลายมาเป็นผู้สังเกตการณ์ได้ คนนอกไม่มีทางรู้ถึงความยากลำบากที่เขาผ่านมา เขาทำเรื่องที่สัตว์ประหลาดอย่างพวกเราเท่านั้นถึงจะทำได้ทั้งที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดา เขารู้ว่าหลี่ซูเคยเป็นนายน้อยที่แสนเชื่อฟัง แล้วก็รู้เรื่องที่หลี่ซูเคยพบเจอมา…”
หลินปั้นซย่าพอจะเข้าใจแล้ว “เขาคงไม่…”
“ถูกต้อง เขาอยากทำให้หลี่ซูกลับไปเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ต้องมีความกังวลใดๆ และกำลังยับยั้งชั่งใจอยู่ด้วยเช่นกัน”
หลินปั้นซย่า “…”
ซ่งชิงหลัวกล่าว “เขาอยากมอบทุกอย่างที่ดีที่สุดให้กับหลี่ซู”
หลี่เย่อยากให้หลี่ซูเป็นเจ้าชายน้อยที่ถูกทะนุถนอมมากที่สุดในโลก แต่ขณะเดียวกันก็หวาดกลัว กลัวว่าเมื่อหลี่ซูกลายเป็นเจ้าชายน้อยแสนเปราะบางขึ้นมาจริงๆ ตนจะไม่สามารถปกป้องเขาได้ ดังนั้นหลี่เย่ถึงได้จงใจทำเป็นเย็นชาไร้อารมณ์เมื่อหลี่ซูต้องเผชิญกับความยากลำบาก ย้อนแย้งในตัวเองจนเหมือนคนหลายบุคลิก
หลินปั้นซย่านิ่งเงียบ ซ่งชิงหลัวพูดแบบนี้เขาก็เข้าใจแล้ว หากสมมติว่าเขาอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เขาต้องเต็มใจใช้ทุกอย่างแลกกับการเยียวยาทุกบาดแผลที่ซ่งชิงหลัวเคยผ่านมา ทุกครั้งที่เห็นร่างกายของซ่งชิงหลัวถูกผ่าออก เขาก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนถูกผ่าเช่นกัน
บาดแผลนั้นทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายจริงๆ แต่ถ้าสะเก็ดที่เกิดขึ้นจากแผลเหล่านั้นคือเกราะของพวกเขาล่ะ
เมื่อแผลหายสนิท สะเก็ดก็จะหลุดร่วง จิตวิญญาณที่เปราะบางจะถูกเปิดเผยออกมาอีกครั้ง
หลินปั้นซย่าคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมหลี่เย่ถึงมองหลี่ซูด้วยสายตาแบบนั้น ตัวเลือกพวกนี้คงเป็นปัญหาที่ยากที่สุดซึ่งหลี่เย่ไม่มีทางหาคำตอบได้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 25 ม.ค. 66