everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 2
ห้อง 1303 (2)
ตั้งแต่ได้เห็นคนกระโดดลงจากหน้าต่างกับตาตัวเอง สภาพจิตใจของจี้เล่อสุ่ยก็ไม่ค่อยดีนัก
หลินปั้นซย่าเองก็มองออกว่าอีกฝ่ายมีอาการผวา วันต่อๆ มาเขาจึงเลิกงานกะดึกก่อนเวลาเพื่อมาปลอบเพื่อนของตน แล้วยังตั้งใจทำอาหารที่จี้เล่อสุ่ยชอบทานมากที่สุดอีกหลายมื้อด้วย
เพื่อนบ้านย้ายเข้ามาอยู่หลายวันแล้ว ตอนแรกหลินปั้นซย่าอยากเข้าไปทักทาย แต่หลายวันมานี้เพื่อนบ้านกลับทำตัวลึกลับเป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง หลินปั้นซย่าจึงจำต้องล้มเลิกความคิด
วันนี้หลินปั้นซย่าต้องเข้างานกะดึกอีกแล้ว แม้จะกังวลเล็กน้อยแต่ก็จำต้องทิ้งให้จี้เล่อสุ่ยอยู่ที่บ้านตามลำพังอยู่ดี
พอหลินปั้นซย่าไป จี้เล่อสุ่ยก็รีบเปิดเสียงโทรทัศน์จนสุดทันที และขดตัวอยู่บนโซฟาไม่กล้าขยับเขยื้อน
นอกหน้าต่างถูกปกคลุมด้วยแสงยามโพล้เพล้ ชั้นเมฆหนาบดบังแสงจันทร์และดวงดาว เหลือเพียงความมืดครึ้มที่ราวกับจะกลืนกินคนเข้าไป ลมหนาวหวีดหวิวพัดกระทบกระจกหน้าต่าง เมื่อฟังดีๆ จะได้ยินเสียงกรีดร้องของลม เหมือนเสียงโหยหวนของมนุษย์ที่ใกล้จะสิ้นชีพ
จี้เล่อสุ่ยเริ่มรู้สึกหนาวกายอีกครั้ง ความหนาวชนิดนี้มีมาตั้งแต่วันแรกที่เขาย้ายเข้ามาในห้อง มันเป็นเหมือนหนอนแมลงชอนไชที่หลังเท้า ราวกับเงาตามตัว ตอนแรกเขานึกว่าตนเพียงแค่ขี้ระแวง แต่เมื่ออยู่ที่นี่นานวันเข้า ความหนาวน่าขนลุกนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จี้เล่อสุ่ยกระชับผ้าห่มบนกาย ใช้แสงที่มีกวาดตามองห้องนั่งเล่นที่ไม่สว่างแห่งนี้เงียบๆ อาจเป็นเพราะเพิ่งเข้ามาอยู่ ของในห้องที่เป็นพวกเขาเองจึงมีไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของที่เจ้าของห้องคนเก่าทิ้งไว้ให้พวกเขา
ในห้องนั่งเล่นมีโทรทัศน์เพียงหนึ่งเครื่อง โต๊ะและโซฟาอีกอย่างละหนึ่งตัว เรียบง่ายอย่างมาก ถ้ามีเพียงเท่านี้ก็แล้วไป ทว่าสิ่งที่ทำให้จี้เล่อสุ่ยรู้สึกไม่สบายใจเลยกลับเป็นภาพวาดภาพหนึ่งที่แขวนอยู่ตรงมุมห้องนั่งเล่น
ภาพนั้นค่อนข้างพิเศษนิดหน่อย มันเป็นรูปผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีแดงครองพื้นที่เต็มทั้งกรอบรูปภาพ มองเผินๆ คล้ายกำลังจดจ้องตรงมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่หากเดินเข้าไปมองใกล้ๆ จะพบว่าใบหน้าของหญิงคนนั้นพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดราวกับสีน้ำฟุ้งๆ เบลอๆ
จี้เล่อสุ่ยไม่ค่อยชอบภาพนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อย่างไรนี่ก็เป็นบ้านของหลินปั้นซย่า เขาแค่มาอาศัยอยู่ด้วย ดังนั้นจึงค่อนข้างเกรงใจที่จะร้องขอออกไป แล้วทนสะกดความรู้สึกไม่สบายใจนั้นเอาไว้อย่างไม่เต็มใจ
กาลเวลาไหลผ่านไปทีละนิด จี้เล่อสุ่ยใช้ผ้าห่มห่อตัวไว้ ฟังเสียงลมนอกหน้าต่างที่กรีดเสียงแหลมขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลับไปบนโซฟาโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่การหลับฝันนี้ช่างไม่หอมหวานเอาเสียเลย ทั้งยังเต็มไปด้วยเสียงงึมงำคล้ายเสียงกระซิบกระซาบ ราวกับมีบางสิ่งเดินอยู่ข้างๆ ตัวเขา ร่างกายของจี้เล่อสุ่ยเย็นเฉียบขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งนอนอยู่ในห้องแช่แข็งใต้ดิน
ภายในห้องอันเงียบสงัด เสียง ‘ก๊อกๆ’ เบาๆ สองครั้งนั้นฟังดูชัดเจนแจ่มแจ้ง จี้เล่อสุ่ยตัวสั่นอย่างรุนแรงด้วยความหนาว เขาถูกปลุกให้ตื่นจากความหนาวเหน็บด้วยเสียงนี้ เขาหอบหายใจแรงๆ หลายที แล้วหันมองโทรทัศน์ตรงหน้า แต่กลับเห็นเพียงหน้าจอที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวส่งเสียงดังซ่าๆ
เสียง ‘ก๊อกๆ’ ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จี้เล่อสุ่ยได้ยินอย่างชัดเจน เสียงนี้ดังมาจากหน้าประตู จี้เล่อสุ่ยเอ่ยถามอย่างตื่นตัว “ใคร?!”
ไม่มีเสียงตอบรับ
“ใครอยู่ข้างนอก” แม้จะรู้สึกถึงความผิดปกติอยู่บ้างแต่จี้เล่อสุ่ยก็ยังคงลุกขึ้นมา เดินไปที่ประตูโดยแวะหยิบไม้ถูพื้นหลังประตูห้องน้ำติดมือมาด้วย
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
เสียงดังขึ้นเหมือนกับมีคนกำลังเคาะประตูเบาๆ จี้เล่อสุ่ยแนบหน้าไปกับประตู เมื่อส่องตาแมวมองทะลุกระจกเล็กแคบไป เขาเห็นเพียงโถงทางเดินที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
“ใครน่ะ ใครเล่นอะไรแผลงๆ” หากเป็นเมื่อก่อน สิ่งถัดไปที่จี้เล่อสุ่ยจะทำคือเปิดประตู แต่เรื่องที่เขาเจอมาหลายวันนี้ทำให้เขารอบคอบขึ้นมาก เขาไม่ได้เปิดประตูแต่ถอยหลังไปหลายก้าว ถีบไปที่ประตูหนักๆ หนึ่งทีก่อนตะคอก “ใครอยู่ข้างนอกนั่น!!!”
เสียงเคาะประตูหยุดลง
จี้เล่อสุ่ยก่นด่า “แม่แกสิ อย่าให้จับได้นะ ฉันจะต่อยแกให้!” เขาทั้งพูดทั้งด่า พลางหันกลับไปยังห้องนั่งเล่น ทว่าเพิ่งเดินไปได้สองก้าว ภายใต้แสงไฟอันน้อยนิดเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทั้งตัวเขาสั่นสะท้าน
ในห้องนั่งเล่นก็ยังคงเป็นห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ เพียงแต่มีบางสิ่งน้อยลงกว่าเดิม ภาพที่แขวนอยู่ตรงมุมนั้นเหลือเพียงความมืดอึมครึม ผู้หญิงในชุดกระโปรงสีแดงที่ดวงหน้าเลือนรางคนนั้นหายไปจากภาพวาดแล้ว
เธอหายไป หรือว่าออกไปแล้ว? ถ้างั้นตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนกัน จี้เล่อสุ่ยหันไปด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ แล้วก็ได้ยินเสียงก๊อกๆๆ ดังจากหน้าประตูอีกครั้ง ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคาะประตูอยู่
“ใคร ใครน่ะ” ด้วยความกลัวสุดขีดเสียงของจี้เล่อสุ่ยจึงแหบแห้งขึ้น เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเหมือนทำมาจากก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ง่ายที่สุดอย่างการเดินก็ยังยากยิ่ง จี้เล่อสุ่ยใช้แรงเฮือกสุดท้ายเดินไปยังประตูช้าๆ แล้วแนบตากับช่องตาแมวอีกครั้ง
“ฉันเอง” เสียงคุ้นเคยดังลอดมาจากข้างนอก จี้เล่อสุ่ยมองเห็นใบหน้าของหลินปั้นซย่าผ่านตาแมว หลินปั้นซย่ายิ้มเอ่ย “ฉันไม่ได้พกกุญแจ นายเปิดประตูให้ฉันหน่อยสิ”
จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “ปั้นซย่าเหรอ”
“ฉันเอง” หลินปั้นซย่าบอก “นายเป็นอะไรไป เคาะประตูตั้งนานแล้วแต่ทำไมไม่ตอบเลย”
จี้เล่อสุ่ยถาม “ปั้นซย่าจริงๆ เหรอ” เขากลืนน้ำลาย มือวางลงไปบนลูกบิดประตูแล้ว ทว่าเขาพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ละ…หลินปั้นซย่าไม่เคยลืมพกกุญแจ แกไม่ใช่หลินปั้นซย่า แกเป็นใคร”
รอยยิ้มของ ‘หลินปั้นซย่า’ จางหายไป ดวงตามืดครึ้มจ้องจี้เล่อสุ่ยนิ่ง แก้มของเขาเป็นเหมือนไขเทียนละลาย เริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่าง หลอมละลายไม่หยุด เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเสียดแหลมรุนแรง ราวกับเสียงโหยหวนของลมกลางคืน เขากรีดร้อง “ปล่อยฉันออกไป…”
จี้เล่อสุ่ยส่งเสียงร้องคร่ำครวญ เขาซวนเซถอยหลัง สะดุดไม้ถูพื้นในมือจนล้มลงกับพื้น เขาไม่สนใจจะลุกขึ้น รีบเกลือกกลิ้งไปตรงข้างโซฟา กดโทรออกไปยังเบอร์หนึ่งด้วยมือที่สั่นเทา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยยย…ปั้นซย่า ช่วยฉันด้วย!!!” จี้เล่อสุ่ยตะโกนร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็กที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และมีเพียงโทรศัพท์ในมือที่เป็นเส้นฟางยื้อชีวิต ของเขา “ห้องนี้มีผี…ช่วยฉันที…มีผี มีผี…”
พอหลินปั้นซย่าที่ยังทำงานอยู่รับสายของจี้เล่อสุ่ยแล้วก็ชะงักเล็กน้อย เมื่อตระหนักได้ว่าสถานการณ์ดูไม่ดีแล้วจึงหันไปบอกกับเพื่อนร่วมงานข้างๆ และวางแผนจะกลับบ้านทันที
เพื่อนร่วมงานเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนที่หาได้ยากของเขาก็ถามว่าเขาเป็นอะไรด้วยความประหลาดใจ
“เพื่อนที่อยู่ด้วยกันกับผมเกิดเรื่องน่ะ” หลินปั้นซย่าถอดถุงมือออกแล้วเอ่ยเสียงเบา
“เกิดเรื่อง?” เพื่อนร่วมงานหัวเราะพลางเอ่ย “ผีหลอกเหรอ”
หลินปั้นซย่าเหลือบมองเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนร่วมงานไหวไหล่ “ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง เขาเสียงดังเกินไปหน่อยน่ะ”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “ช่วงนี้เขาสภาพจิตใจไม่ค่อยโอเค”
“โธ่ โลกนี้มีผีที่ไหนกัน” เพื่อนร่วมงานกล่าว “ถ้ามีผี พวกเราคงไม่ต้องทำมันแล้วอาชีพนี้”
หลินปั้นซย่าหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร เดินเข้าห้องล็อกเกอร์เปลี่ยนเป็นชุดลำลองก่อนเดินออกทางประตูมาเรียกรถแล้วจากไป จากที่ทำงานของเขาถึงบ้าน ถ้ารถไม่ติดก็ใช้เวลาสิบกว่านาที เขาโทรหาจี้เล่อสุ่ยตลอดทาง ทว่าโทรศัพท์กลับแจ้งว่าสายไม่ว่าง
หลินปั้นซย่าค่อนข้างกังวล เพราะตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ จี้เล่อสุ่ยก็มีท่าทีที่ผิดปกติไป ไม่กี่วันก่อนยังเกิดภาพหลอนว่าเห็นคนกระโดดตึกด้วย เดิมทีวันนี้เขาดีขึ้นเล็กน้อย แต่ใครจะรู้ว่าหลินปั้นซย่าจะได้รับสายแบบนี้…
พอแท็กซี่มาส่งถึงจุดหมาย หลินปั้นซย่าก็รีบตรงขึ้นห้อง เมื่อถึงหน้าลิฟต์ถึงได้พักหอบหายใจเล็กน้อย หลังจากกดเลือกชั้นแล้ว กลับเห็นผู้ชายถือหีบสีดำใบใหญ่ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอก
ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีสุดๆ เขาสวมเสื้อโค้ตสีดำทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงไฟหรือไม่ที่ทำให้ผิวของเขาขาวจนเกือบโปร่งแสง มองไม่เห็นสีเลือดเลยแม้แต่น้อย ผมของเขาค่อนข้างยาวบดบังดวงตาเล็กน้อย มือขวาของเขาสวมถุงมือหนังสีดำกำลังถือหีบสีดำใบหนึ่งไว้อยู่
ชายคนนั้นเห็นหลินปั้นซย่าก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยา เพียงเดินตรงเข้าลิฟต์ ทว่าทันทีที่เขาเข้ามาลิฟต์ก็ส่งเสียงดังแสบหูแจ้งเตือนว่าน้ำหนักเกิน
แค่นี้ก็เกินแล้วเหรอ หลินปั้นซย่าชะงักเล็กน้อย อยู่กันแค่สองคนเองไม่ใช่หรือไง หรือว่าหีบในมือผู้ชายคนนั้นจะหนักเท่ากับน้ำหนักของคนหลายคน?
ไม่รอให้หลินปั้นซย่าได้ตั้งตัว ผู้ชายคนนั้นยกมือเสยผมบนหน้าผากอย่างเหลืออด หมุนตัวแล้วเดินออกไป
เมื่อชายคนนั้นออกไปแล้วเสียงแจ้งเตือนก็หยุดลงทันที เขายืนจ้องตาหลินปั้นซย่าอยู่ข้างนอกลิฟต์ ทันใดนั้นสถานการณ์ก็น่าอึดอัดขึ้นมา
“งั้น…ผมไปก่อนนะครับ?” หลินปั้นซย่าเอ่ยปากทำลายความเงียบ
ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า
หลินปั้นซย่ากดปุ่มปิดลิฟต์ จากนั้นลิฟต์ก็ค่อยๆ ปิดคั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง
ไม่นานก็ถึงชั้นที่สิบสาม หลินปั้นซย่ารีบออกจากลิฟต์แล้ววิ่งกลับห้อง ทันทีที่เขาล้วงกุญแจและเปิดประตูออก ก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้อย่างโศกเศร้าดังมาจากด้านใน
“เล่อสุ่ย เล่อสุ่ย?” หลินปั้นซย่าตามหาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงเจอตัวจี้เล่อสุ่ยที่ใกล้สติแตกหลบอยู่ในมุมหลังผ้าม่านในห้อง “นายโอเคมั้ย”
จี้เล่อสุ่ยสะอื้นตัวสั่นงันงก “มีผี มีผี…”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
จี้เล่อสุ่ยจึงเล่าว่า “มีคนมาเคาะประตู มีคนมาเคาะประตู ฉันไปเปิดประตูแต่ข้างนอกไม่มีคนเลย…” เขาพูดจาวกวนไปมา ดูท่าอีกนิดเดียวจะสติแตกแล้ว “หลังจากนั้นฉันก็กลับมา แล้วก็ไม่เห็นคนในรูปวาดนั่นแล้ว รูปนั้นไง ปั้นซย่า ปั้นซย่า พวกเราเอารูปนั้นไปทิ้งได้มั้ย มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!!!”
หลินปั้นซย่ายืนชะงักงันอยู่กับที่
จี้เล่อสุ่ยเห็นหลินปั้นซย่าไม่ตอบสนองก็นึกว่าอีกฝ่ายทิ้งรูปนั้นไม่ลง จึงเค้นคอตะคอก “ขอร้องล่ะ เอารูปในห้องนั่งเล่นนั่นไปทิ้งเถอะ ตั้งแต่มาถึงห้องนี้ฉันก็รู้สึกว่ารูปนั้นมันแปลกๆ ผู้หญิงในรูปนั้นหนีออกมาแล้ว…จนตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าไปอยู่ไหน…ทำไมนายต้องอาลัยอาวรณ์รูปนั้นนัก นายเองก็ถูกรูปนั้นสะกดจิตเหรอ”
“แต่ว่าเล่อสุ่ย” หลินปั้นซย่ามองเพื่อนสนิทที่คลุ้มคลั่งของตนเองอย่างลังเล ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างลำบากว่า “ในห้องนั่งเล่นเรา…ไม่มีรูปแขวนอยู่นะ”
จี้เล่อสุ่ยใจลอยไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “ตรงมุมห้องนั่งเล่นมีรูปวาดอยู่รูปหนึ่งไม่ใช่เหรอ” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นอย่างซวนเซ เดินมาชี้ไปยังผนังฝั่งหนึ่ง
หลินปั้นซย่าบอกว่า “นั่น…นั่นไม่ใช่รูป มันคือหน้าต่างต่างหาก”
จี้เล่อสุ่ยตะโกนร้องเสียงแหลม และสลบลงต่อหน้าหลินปั้นซย่าทั้งอย่างนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 มิ.ย. 65