everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
ห้อง 1303 (3)
จี้เล่อสุ่ยได้รับความสะเทือนใจรุนแรงเกินไปจริงๆ เขาล้มพับลงไปทันที การตอบสนองนี้ทำเอาหลินปั้นซย่าตกใจอย่างมาก รีบคุกเข่าลงทั้งหยิกตัวเองทั้งตบหน้าผาก และตอนที่กำลังคิดว่าจะโทรสายด่วน 120 ในที่สุดจี้เล่อสุ่ยก็ตื่นขึ้นมาพอดี
เพียงแต่หลังจากจี้เล่อสุ่ยตื่นขึ้นมาแล้วสภาพก็ยังดูไม่ค่อยดีนัก เขาขดอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าขาวซีด จ้องมองไปที่หน้าต่างตรงมุมห้องอย่างหวาดผวา
หลินปั้นซย่าเรียกชื่อเขาเบาๆ หลายรอบ จี้เล่อสุ่ยถึงค่อยได้สติ จ้องหลินปั้นซย่าด้วยสายตาวิงวอนและเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ปั้นซย่า ยังไงฉันก็กลัวหน้าต่างนั่นอยู่ดี นั่นเป็นหน้าต่างจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใช่แล้ว” หลินปั้นซย่าปลอบเพื่อนของตน “มันคือหน้าต่าง…” เขากังวลเล็กน้อยว่าจี้เล่อสุ่ยจะไม่เชื่อ จึงลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่างบานดังกล่าว จากนั้นก็ปลดล็อกกลอนหน้าต่างแล้วผลักเปิดออก เมื่อกระจกหน้าต่างถูกเปิด เสียงลมด้านนอกก็เสียดหูยิ่งกว่าเดิม สายลมหนาวเหน็บร้องโหยหวน หมุนพัดมาปะทะแก้มหลินปั้นซย่า
นอกหน้าต่างมืดทึบมองไม่เห็นอะไรเลย ไร้ซึ่งดวงดาวและแสงจันทร์ เหลือให้เห็นเพียงท้องฟ้าสีมืดราวกับปากกว้างๆ ที่กำลังอ้ากลืนกินมนุษย์
หลินปั้นซย่าเปิดหน้าต่างแล้วจึงหันไปหาอีกฝ่าย
จี้เล่อสุ่ยเห็นหลินปั้นซย่าเปิดหน้าต่างก็ตกใจจนตัวโยน บอกให้เขาปิดหน้าต่างลงด้วยเสียงสั่นเครือในลำคอ แล้วยังบอกว่าสิ่งนั้นจะเข้ามาข้างในได้
หลินปั้นซย่าเห็นแววตาและท่าทางตระหนกของเขาก็ไม่กล้าเอ่ยแย้ง ได้แต่พยักหน้า จับบานกระจกแล้วปิดมันลง ทว่าตอนที่เขากำลังจะปิดก็รู้สึกเหมือนมือไปแตะโดนบางอย่างเหนียวๆ แต่ไม่ทันได้มีเวลาให้ขบคิดอะไร เขาก็ปิดหน้าต่างแน่นแล้ว
“นายดูสิ ไม่มีอะไรทั้งนั้น” หลินปั้นซย่าปิดหน้าต่างแล้วเดินไปข้างๆ จี้เล่อสุ่ยเพื่อปลอบขวัญเพื่อนของตนต่อ “นายอาจจะตาฝาดหรือเปล่า แต่ฉันไม่ไปไหนแล้ว จะอยู่ในบ้านนี่แหละ พรุ่งนี้นายยังต้องไปทำงานนะ ไปนอนก่อนเถอะ”
จี้เล่อสุ่ยยิ้มขื่นเอ่ยว่า “จะตาฝาดได้ยังไง ห้องนี้มันผิดปกติเกินไป…ปั้นซย่า ตอนนั้นนายคิดอะไร ทำไมถึงซื้อที่นี่ล่ะ”
“ก็เพราะราคาถูกนี่ ใกล้ที่ทำงานฉันด้วย” หลินปั้นซย่าเอ่ย “แล้วที่อื่นฉันก็ซื้อไม่ไหวหรอก”
จี้เล่อสุ่ยรีบบอก “โทษที ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…”
หลินปั้นซย่าจึงเอ่ย “ฉันรู้ นายไปพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันจะอยู่ในห้องนั่งเล่นนี่แหละ มีอะไรก็เรียกฉันนะ” เขากอดอก น้ำเสียงสงบทำให้จี้เล่อสุ่ยรู้สึกว่าเชื่อถือเขาได้ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย จี้เล่อสุ่ยคิดว่าเขาใจกล้ามาก แทบไม่มีอะไรทำให้หลินปั้นซย่าตกใจได้เลย ไม่ว่าจะมด แมลง หนู งู หรือว่าจะเป็นภูตผีปีศาจ หลินปั้นซย่าเห็นแล้วก็ล้วนมีท่าทีเฉยเมยประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนี้ใกล้จะตีสองแล้ว จี้เล่อสุ่ยที่อกสั่นขวัญแขวนมาทั้งคืนเหนื่อยมากแล้วจริงๆ เขาเดินลากร่างกายที่อ่อนเพลียไปยังห้องนอน หลังจากนอนลงบนเตียงแล้วฟังเสียงโทรทัศน์ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่น ก็ปิดดวงตาที่เหนื่อยล้าลง
หลังจากจี้เล่อสุ่ยเข้าห้องไปแล้ว หลินปั้นซย่าถึงย่องไปเข้าห้องน้ำเบาๆ รอบหนึ่ง เมื่อครู่เขาไม่กล้าพูด ว่าหลังจากที่ปิดหน้าต่างแล้ว เขาก็รู้สึกเหนียวเหนอะที่มือมาตลอด เมื่อก้มหน้าดูถึงพบว่านิ้วของตนมีคราบสีแดงเปรอะเปื้อนอยู่เยอะมาก
ในตอนแรกหลินปั้นซย่ายังนึกว่านี่คือสีน้ำมันหรืออะไรทำนองนั้น พอเข้าห้องน้ำแล้วเขาก็ยกมือขึ้นใช้ปลายจมูกดมกลิ่นมัน คิดไม่ถึงว่าตนจะได้กลิ่นคาวเลือด
เป็นกลิ่นเลือดเหรอ หรือจี้เล่อสุ่ยไม่ระวังไปกระแทกหน้าต่างเข้า? หลินปั้นซย่าเปิดก๊อกน้ำ ล้างคราบบนมือออก จากนั้นก็ก้าวเท้าตรงไปยังหน้าต่าง
ครั้งนี้เขาไม่ได้เปิดบานกระจกแต่มองสำรวจมันอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ามืดครึ้มเกินไปเขาจึงไม่ทันได้สังเกต เมื่อมองดูดีๆ อีกครั้งแล้วถึงพบว่ามีบางสิ่งอยู่บนกระจกหน้าต่างจริงๆ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเส้นริ้วแปลกๆ หลังจากพินิจโดยละเอียดหลินปั้นซย่าถึงดูออกว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
ทั้งหมดนี้มันคือลายนิ้วมือสีแดงเลือดที่ประทับอยู่บนกระจกหน้าต่างอย่างเด่นชัด หากมองเผินๆ คงคิดว่ามันเป็นลวดลายบนกระจก
หลินปั้นซย่ามองลายนิ้วมือเหล่านี้พลางขมวดคิ้ว หมุนกายเดินเข้าห้องครัวรอบหนึ่ง เมื่อออกมาอีกครั้งในมือก็มีผ้าขี้ริ้วเพิ่มขึ้นมาหนึ่งผืน
เขาเปิดหน้าต่างออกอย่างระมัดระวัง หลินปั้นซย่าก้มลงยื่นตัวออกไป ตั้งใจจะเช็ดรอยบนหน้าต่างด้านนอก ทว่าพอใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดวนไปมาบนกระจกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ชะงักการกระทำก่อนดึงมือกลับมา มองผ้าขี้ริ้วที่สะอาดสะอ้านแล้วพลันตระหนักได้เรื่องหนึ่ง
รอยนิ้วมือเลือดนั่นไม่ได้เปื้อนหน้าต่างด้านนอก แต่อยู่ที่หน้าต่างด้านใน
หลินปั้นซย่าหันไปมองห้องด้านหลังตัวเอง
ไฟในห้องเปิดอยู่ ไม่ถึงกับมืด ภายในห้องไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก ดังนั้นเมื่อกวาดตามองไปก็จะสามารถเห็นได้ทั่วทั้งห้อง ตามหลักแล้วเมื่อคนทั่วไปเห็นของแบบนี้ก็คงผวาทันที แต่หลินปั้นซย่ามีท่าทีนิ่งสงบ ทำเพียงไปห้องน้ำแล้วล้างผ้าขี้ริ้วให้สะอาด
ตอนแรกที่ตัดสินใจซื้อห้องนี้หลินปั้นซย่าก็นึกสงสัยอยู่บ้าง เพราะมันราคาถูกจนน่าประหลาดใจ ที่ดินล็อกเดียวกันแต่คนละย่านคอนโดฯ กลับแพงกว่าสองถึงสามแสนหยวน หลินปั้นซย่าเคยถามนายหน้าว่าทำไมราคาห้องที่นี่ถึงได้ถูกขนาดนี้ คำตอบของนายหน้าคือเจ้าของบ้านคนก่อนรีบไปต่างประเทศ จึงขายราคาถูกๆ เพื่อจะได้รีบออกจากประเทศ
จนกระทั่งวันที่โอนกรรมสิทธิ์ หลินปั้นซย่าถึงได้เจอหน้าเจ้าของบ้านสักครั้งหนึ่ง ชายวัยกลางคนที่ดูเพี้ยนเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด ร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ปากขมุบขมิบท่องอะไรบางอย่างไม่หยุด ดูสภาพจิตใจไม่ค่อยดีนัก
หลังจากโอนกรรมสิทธิ์แล้ว เจ้าของห้องก็หายสาบสูญไปโดยสมบูรณ์ แม้แต่ของในห้องยังไม่เอาไปด้วย ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็มีจุดที่ค่อนข้างผิดปกติจริงๆ
หลินปั้นซย่าปิดหน้าต่างลงแล้วกลับไปที่โซฟาอีกครั้ง นั่งลงเงียบๆ ปรับเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้นหลายส่วน
ในห้องนอน จี้เล่อสุ่ยลืมตาอยู่ท่ามกลางความมืด จ้องมองเพดานห้องเหนือศีรษะตนเอง จดจ้องอยู่นานก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะแปลกๆ ขึ้นมาชอบกล ร่างกายราวกับอยู่กลางน้ำวน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงบิดเบี้ยวไปมาไม่หยุด เขาหลับตาลง เสียงลมข้างหูหวีดแหลมขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงลมมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ แทรกอยู่ด้วย…จากนั้นตู้เสื้อผ้าข้างเตียงก็แง้มออกมาเล็กน้อย
ตู้เสื้อผ้านี้เป็นของที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้เช่นกัน แม้มันจะค่อนข้างเก่าแล้ว แต่พวกเขาทิ้งไม่ลงจึงใช้งานมันต่อไป เพียงแต่ตู้นี้คล้ายจะมีปัญหาตรงประตูเล็กน้อย มันมักจะเปิดเองบ่อยๆ
หากเป็นหลายวันก่อนจี้เล่อสุ่ยคงไม่คิดมากกับตู้นี้ แต่วันนี้เขาเจอเรื่องมามาก สภาพจิตใจที่อ่อนไหวรับแรงกระทบกระเทือนใดๆ ไม่ไหวอีกต่อไป
เมื่อประตูตู้เปิดออกเขาก็ขนลุกขนพองไปทั่วทั้งกาย ไม่กล้านอนหลับอีกต่อไป จึงลุกขึ้นนั่งตัวเหยียดตรงทั้งอย่างนั้น
“ปั้นซย่า…” จี้เล่อสุ่ยเรียกชื่อเพื่อนสนิทของตน เขาอยากเรียกหลินปั้นซย่าเข้ามาในห้อง ให้มาช่วยตนปิดประตูตู้เสื้อผ้า
แต่เขาเรียกชื่อหลินปั้นซย่าแล้ว คนข้างนอกกลับไร้ซึ่งการตอบกลับ ในตอนนั้นเองจี้เล่อสุ่ยก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น คล้ายว่าจะดังมาจากตู้เสื้อผ้า
มันคือเสียงเคี้ยวของที่เหนียวหนึบ ด้านในตู้เหมือนมีบางสิ่งกำลังเคี้ยวกินอะไรอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
“หลินปั้นซย่า” เสียงของจี้เล่อสุ่ยติดสะอื้นไห้ ในฐานะที่เป็นผู้ชายโตเต็มวัยเขาอยากลุกขึ้นยืนมาก แต่เรี่ยวแรงทั้งร่างกายเหมือนถูกสูบออกไปแล้วก็มิปาน ไม่ว่าอย่างไรก็ขยับตัวไม่ได้
เสียงเคี้ยวดังขึ้นเรื่อยๆ หางตาจี้เล่อสุ่ยเหลือบไปเห็นว่าในช่องประตูตู้มืดมิดที่แง้มออก มีดวงตาสีแดงฉานปรากฏขึ้น คอยสอดส่องออกมาด้านนอกด้วยความละโมบ มันคล้ายจะสังเกตเห็นจี้เล่อสุ่ยที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงแล้ว เสียงหัวเราะเย็นเยียบเข้ากระดูกดังออกมา…
จี้เล่อสุ่ยอ้าปากกว้าง คอหอยของเขาราวกับถูกบีบแน่น ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีถึงจะพ่นคำสองคำออกมาได้อย่างยากลำบาก “ช่วยด้วย…”
แกร๊ก!
ไฟในห้องนอนสว่างขึ้น
ความหนาวเหน็บ แข็งทื่อ และความสยดสยองจางหายไปดั่งกระแสน้ำไหล จี้เล่อสุ่ยเงยหน้าขึ้น มองเห็นหลินปั้นซย่าที่อยู่ข้างเตียง หลินปั้นซย่ามองเขาด้วยความเป็นห่วง ปากขยับเหมือนกำลังพูดอะไรอยู่แต่จี้เล่อสุ่ยกลับไม่ได้ยินอะไรเลย เขาเหมือนเป็นรูปปั้นหินตัวหนึ่งซึ่งนิ่งค้างแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่อาจแสดงสีหน้าใดๆ ออกไปได้ และไม่อาจปริปากพูดอะไรออกไปได้สักคำ
“เล่อสุ่ย?” หลินปั้นซย่าเรียกเพื่อนสนิทซึ่งมีสีหน้าซีดเผือดของตนอย่างกังวลใจ
“ปั้นซย่า…” ในที่สุดจี้เล่อสุ่ยก็พูดออกมา เพียงแต่เสียงของเขาเบาราวกับเสียงริ้นไร ติดความสั่นเครือที่ไม่อาจควบคุมได้ “ปั้นซย่า…ฉันจะย้ายออก”
หลินปั้นซย่าตอบ “โอเค เมื่อไหร่เหรอ”
“เร็วที่สุด” จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “นายเองก็ย้ายออกไปกับฉันเถอะนะ ที่นี่ ห้องนี้มันผิดปกติจริงๆ”
หลินปั้นซย่าไม่ได้ตอบรับ เขาถอนหายใจ นั่งลงข้างจี้เล่อสุ่ย กดไหล่อีกฝ่ายไว้ให้เขาไม่ตัวสั่นอีก จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ฉันจะลองอยู่อีกสักสองสามวันดู”
“นายได้ยินเสียงนั้นหรือยัง”
“เสียงอะไร” หลินปั้นซย่าถาม
“มีคนกินอะไรบางอย่างอยู่ในตู้” จี้เล่อสุ่ยเอ่ยตัวแข็งเป็นท่อนไม้ “เหมือนกำลังกินเนื้ออยู่ เนื้อเยอะมากๆๆ”
หลินปั้นซย่าลุกขึ้นไปดูที่ตู้เสื้อผ้า แน่นอนว่าด้านในไม่มีอะไร เขาเห็นท่าทางไร้วิญญาณของจี้เล่อสุ่ย ตอนนี้เขาไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจี้เล่อสุ่ยได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจริงๆ หรือเป็นผลพวงจากสภาพจิตใจที่ย่ำแย่
“ถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันต้องเป็นบ้าแน่ๆ” จี้เล่อสุ่ยคว้าแขนหลินปั้นซย่าเอาไว้พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “นายไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว ที่นี่มันอยู่ไม่ได้จริงๆ นะ…”
“เดี๋ยวฉันจะช่วยหาห้องให้นายก่อนนะ”
“ได้” จี้เล่อสุ่ยพูด “พรุ่งนี้ฉันไม่ไปทำงานแล้ว รีบหาห้องเลย…”
หลินปั้นซย่าเห็นด้วย
แม้จี้เล่อสุ่ยจะดูอ่อนล้าจนถึงขีดสุด แต่ในไม่กี่ชั่วโมงนี้เขาก็ไม่กล้านอนต่ออีกแล้ว มานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนหลินปั้นซย่า
เช้าตรู่เวลาหกโมงกว่า ในที่สุดฟ้าก็ส่องแสงอรุณอ่อนๆ
ดวงตาไร้แววทั้งสองข้างของจี้เล่อสุ่ยจดจ้องโทรศัพท์มือถือ บนหน้าจอล้วนแสดงรายชื่อบ้านให้เช่าหรือขาย จนราวแปดโมงกว่า เขาก็เริ่มต่อสายนัดนายหน้าเพื่อไปดูบ้านอย่างอดรนทนไม่ไหว
ตอนที่จี้เล่อสุ่ยทำเรื่องเหล่านี้ หลินปั้นซย่าล้วนอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนตลอดเวลา เขาไม่ได้พูดคุยอะไรนัก เพียงมองท่าทีไม่ค่อยปกติของจี้เล่อสุ่ย หว่างคิ้วก็ปรากฏแววกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 30 มิ.ย. 65