everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 5 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
ห้อง 1303 (5)
หลินปั้นซย่าผ่านคืนหนึ่งในห้องนอนมาได้อย่างมั่นคงปลอดภัย มันเป็นคืนที่เงียบสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
วันถัดมา เขาตื่นนอนด้วยกำลังวังชาเต็มเปี่ยม เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยและเตรียมจะไปทำงานก็โทรหาจี้เล่อสุ่ย
สัญญาณรอสายดังอยู่นานแต่ก็ไม่มีคนรับ ขณะที่ความกังวลในใจหลินปั้นซย่ากำลังผุดขึ้นมา ก็ได้ยินเสียง [ฮัลโหล] จากปลายสายดังขึ้นแผ่วเบา เป็นเสียงของจี้เล่อสุ่ย
ได้ยินจี้เล่อสุ่ยรับสายแล้ว หลินปั้นซย่าก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนนอนเป็นไงบ้าง”
[ไม่เลว] ไม่รู้ว่าสัญญาณไม่ดีหรืออย่างไร เสียงของจี้เล่อสุ่ยเลยฟังดูคลุมเครือไม่ชัดเจน
หลินปั้นซย่าเอ่ย “งั้นวันนี้ฉันไปทำงานก่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยส่งกระเป๋าสัมภาระไปให้นายนะ”
[อืม] จี้เล่อสุ่ยเอ่ย
“ทำไมเสียงถึงฟังดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเลยล่ะ”
[ไม่มีอะไร] จี้เล่อสุ่ยเอ่ยเสียงคลุมเครือ [ฉันโอเคดี นายไปเถอะ ยังไม่ต้องส่งกระเป๋ามาให้ฉันหรอก]
หลินปั้นซย่ายังอยากคุยต่อ แต่สายกลับถูกตัดไปแล้ว
ความเศร้าโศกของผู้ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเจอเรื่องหมดอาลัยตายอยากขนาดไหนก็ยังต้องไปทำงานอยู่ดี ลักษณะงานของหลินปั้นซย่าพิเศษนิดหน่อย มันเป็นงานที่ต้องไปมาหาสู่กับฌาปนสถาน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น ส่วนใหญ่เขาจะต้องจัดการกับศพที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุอย่างรุนแรง อย่างศพประเภทกระโดดตึกจนร่างแหลกก็เป็นสิ่งที่เห็นบ่อยจนชินตาแล้ว ที่น่าสงสารที่สุดคือศพที่ได้รับความเสียหายอย่างสาหัสจากอุบัติเหตุทางถนน ที่หากโชคไม่ดีหน่อยก็แทบจะต้องใช้พลั่วตักขึ้นมาทีละก้อนๆ การจะเก็บได้ครบทุกชิ้นอะไรนั่นอย่าได้หวังเลย
ด้วยลักษณะงานที่พิเศษเช่นนี้งานของหลินปั้นซย่าจึงไม่ยุ่งนัก หากมีงานเข้ามาก็จะมีอะไรให้ทำ เมื่อไม่มีงานก็ว่างมากๆ แต่คนที่ทำงานนี้ได้มีอยู่ไม่เยอะจริงๆ คนส่วนใหญ่ทำได้สองสามเดือนก็ทนไม่ไหวแล้ว ในบรรดาคนเหล่านั้นหลินปั้นซย่ากลับแตกต่างออกไป เพราะเขาทำงานนี้มาสองปีแล้ว ตั้งแต่เรียนจบมาก็ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ถึงอาชีพนี้จะน่ากลัวไปหน่อย แต่เงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ก็ดีไม่น้อย
วันนี้หลินปั้นซย่าดวงค่อนข้างดี ตั้งแต่เริ่มงานก็ไม่เจอเรื่องอะไรเลย แต่ในใจเขายังเป็นห่วงจี้เล่อสุ่ยจึงไม่อาจผ่อนคลายอารมณ์ลงได้
หลังจากรับสายเขาเมื่อตอนเช้า จี้เล่อสุ่ยก็ราวกับหายสาบสูญไป ไม่ตอบวีแชต ไม่รับโทรศัพท์ และหลังจากนั้นก็โทรไม่ติดอีกเลย
หลินปั้นซย่านั่งกระวนกระวายอยู่ในออฟฟิศ คิดในใจว่าเลิกงานแล้วต้องไปดูสักหน่อย
หลิวซี เพื่อนร่วมงานของหลินปั้นซย่าเป็นคนอัธยาศัยดี เมื่อเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างหาดูได้ยากก็เอ่ยอย่างสนใจใคร่รู้ “หืม? ปั้นซย่า วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมกระวนกระวายขนาดนี้”
หลินปั้นซย่าตอบว่า “ไม่มีอะไร”
“ดูไม่เหมือนคนไม่มีอะไรเลยนะ” หลิวซีกล่าว “ดูคิ้วนายสิ ขมวดจนเป็นก้อนแล้ว” เขาขยับเข้ามา หัวเราะคิกคักพลางเอ่ย “แล้ววันนี้ก็ว่าง ไม่มีอะไรให้ทำด้วย~”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเพื่อนร่วมงานด้านหลังตบไปหนึ่งฝ่ามือ คนคนนั้นเอ่ยด้วยความโมโห “หลิวซี นายรีบหุบปากเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เหรอว่าไม่ควรพูดคำแบบไหนออกมา”
หลิวซีบ่นอุบอิบ “มันจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ในสายอาชีพของพวกเขามีข้อห้ามอย่างหนึ่งคือห้ามบอกว่าตัวเองว่าง เพราะพอบอกว่าว่างก็จะมีอันต้องเกิดเรื่องขึ้น ทดลองกี่ครั้งก็ไม่เคยผิดไปจากโผ เจ้าหลิวซีนี่เพิ่งเข้ามาใหม่ เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงสามเดือน ไม่ค่อยใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไร
หลิวซีพูดออกมายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โทรศัพท์ในออฟฟิศก็ดังขึ้น
เพื่อนร่วมงานอีกคนรับสายเสร็จก็ถลึงตาใส่หลิวซีทีหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ดูเอาเถอะ มีงานเข้าแล้ว”
หลิวซีร้องอ๊า เกาหัวด้วยความกลุ้มใจเล็กน้อย “ศักดิ์สิทธิ์เกินไปแล้ว!!!”
หลินปั้นซย่าจึงตบไหล่เขาเป็นเชิงปลอบใจ
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เกิดอุบัติเหตุใหญ่บนทางด่วนรอบนอกเมืองของพวกเขา จู่ๆ รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่บรรทุกเหล็กเต็มรถคันหนึ่งก็เบรกจนเสียการควบคุม เสียหลักพุ่งชนรถคันอื่นไปทั่วทางด่วน สถานการณ์รุนแรงน่าสลดอย่างยิ่ง รถบรรทุกคันเล็กหลายคันที่อยู่ใกล้ๆ ก็โดนไปด้วย ที่ร้ายแรงที่สุดคือรถคันหนึ่งซึ่งถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่พลิกคว่ำทับไว้ด้านล่าง
รถคันเล็กถูกทับจนแบน เดาได้เลยว่าคนด้านในน่าจะโชคร้าย กลุ่มของหลินปั้นซย่าถูกเรียกตัวเพื่อให้ไปจัดการสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยความรวดเร็ว ป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่บนทางด่วน
หลินปั้นซย่าและพรรคพวกเปลี่ยนชุดทำงาน แล้วจึงขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ
บรรยากาศในรถเงียบสงัด อารมณ์ของทุกคนไม่ค่อยดีนัก พูดตามตรงแล้ว แม้จะทำงานสายนี้แต่เมื่อเจออุบัติเหตุแบบนี้และได้เห็นคนที่เสียชีวิตจากเหตุไม่คาดฝัน ย่อมไม่มีใครอารมณ์ดีได้หรอก
หลินปั้นซย่ามองโทรศัพท์เป็นครั้งสุดท้าย ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว แต่จี้เล่อสุ่ยก็ยังไม่ตอบข้อความกลับมา เขาถอนหายใจยาวเหยียดก่อนยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อที่ลึกที่สุด
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง หลินปั้นซย่าและเพื่อนร่วมงานทั้งหลายก็มาถึงสถานที่เกิดเหตุ
ตอนนี้ตำรวจมาถึงแล้ว เริ่มจัดแจงให้รถเครนมายกรถบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็เริ่มผ่ารถเก๋งคันเล็กที่ถูกทับแบน
หน่วยของหลินปั้นซย่าถืออุปกรณ์รออยู่ข้างๆ เมื่อครู่รถพยาบาลจำนวนหนึ่งนำตัวผู้บาดเจ็บที่ยังหายใจอยู่ไปแล้ว รถพยาบาลไม่ได้รอผู้บาดเจ็บในรถเก๋งคันนี้เพราะต่างรู้ดีแก่ใจว่าพวกเขาไม่มีโอกาสรอดจากอุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ได้เลย
รถเก๋งตรงหน้าถูกทับจนเกือบแบนราบ เมื่อเพดานรถถูกตัดออกไปแล้ว ก็เผยให้เห็นผู้โดยสารด้านในรางๆ
มองไม่ชัดว่ามีกี่รายแต่พยายามจำแนกจากเสื้อผ้าได้ว่ามีอย่างน้อยสามถึงสี่ราย
ปากของหลิวซีท่องอมิตาภพุทธแล้วเริ่มจัดการศพอย่างระมัดระวัง หลินปั้นซย่าสวมผ้าปิดปาก หลุบตาลงแล้วเริ่มทำงานเช่นกัน
กลิ่นคาวเลือดทะลุลอดผ้าปิดปากเข้าสู่โพรงจมูกของพวกเขา หลินปั้นซย่าได้ยินเสียงร้องไห้น่าสลดดังขึ้นข้างหู เมื่อเขาหันไปก็พบหญิงคนหนึ่งขาอ่อนล้มพับอยู่ด้านหลังตน คล้ายว่าจะเป็นคนในครอบครัวของผู้ตายในรถเก๋งคันเล็กนี่เอง ตอนนี้กำลังถูกคนหลายคนประคองอย่างยากลำบาก เธอร้องไห้น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า
“น่าสงสารจัง” หลิวซีพูดพึมพำเสียงเบา “สภาพขนาดนี้แล้ว คงจะแยกศพไม่ได้แล้ว…”
หลินปั้นซย่าปราม “ไม่ต้องพูดแล้ว”
หลิวซีเอ่ยอีกว่า “เฮ้อ เห็นแล้วทุกข์ใจจริงๆ”
หลินปั้นซย่าจึงส่งเสียง ‘ชู่ว’ อีกครั้ง หลิวซีถอนหายใจแล้วหุบปากฉับด้วยความคับอกคับใจ
เวลาแบบนี้ ดีที่สุดคือไม่ต้องพูดอะไร เพราะไม่ว่าจะเอ่ยคำใดออกไป คนในครอบครัวที่เศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งล้วนไม่อาจฟังเข้าสมอง กลับกันมันจะทำให้พวกเขาสลดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
หลินปั้นซย่านำศพใส่ถุงคลุมศพไปพลางฟังเสียงตำรวจข้างๆ ถกเรื่องคดีกันเสียงเบาไปพลาง
ที่แท้ก็เป็นครอบครัวที่มีกันหลายคน ครอบครัวนี้ออกมาเที่ยว พวกเขาขับรถแยกเป็นสองคัน ภรรยาอยู่คันข้างหน้าหลบพ้นอุบัติเหตุไปได้ แต่ฝ่ายชาย เด็ก และคนแก่ที่อยู่ด้านหลังโชคร้าย ไม่สามารถหลบหนีภัยอันตรายนี้พ้น หลังจากเกิดอุบัติเหตุภรรยารีบหยุดรถและวนกลับมา แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อมาถึงก็เห็นรถคันเล็กถูกทับแบนแล้ว
การที่ได้แต่เบิกตาจ้องมองครอบครัวหายไปทั้งอย่างนี้ เป็นใครก็รับไม่ไหว
เนื่องด้วยสภาพของศพ พวกหลินปั้นซย่าจึงไม่กล้าให้เหยื่อได้มองเห็นมากนัก รีบจัดเก็บขึ้นรถด้วยความรวดเร็วและตั้งใจส่งไปจัดการที่ฌาปนสถาน
ทันทีที่นำศพขึ้นรถมาก็ถูกผู้หญิงที่ร้องไห้จนแทบหมดสภาพมาขวางไว้ เธอเกาะรถอยู่อย่างนั้นไม่ยอมให้รถเคลื่อนตัว ร้องไห้โฮอย่างสิ้นหวังพลางกล่าวว่าอยากเจอพวกเขาอีกครั้ง
เดิมตำรวจยังอยากโน้มน้าว แต่เห็นเธอยืนกรานจึงได้แต่จำยอม
หลินปั้นซย่าและหลิวซีนั่งอยู่ในรถ ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ต่างก็คิดว่ามันไม่ดีเท่าไหร่ที่จะให้เธอเห็นศพ แต่ให้ตายอย่างไรผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ พวกเขาจึงได้แต่เปิดประตูรถ
ผู้หญิงร้องห่มร้องไห้ แขนขาแทบจะเกาะไปกับร่างไร้วิญญาณ มือเธอสั่นเทา ดึงถุงคลุมศพออกทีละอันๆ จนได้เห็นศพที่แหลกเละไม่เหลือเค้าร่างมนุษย์ด้านในนั้น เป็นเพราะถูกกดทับหนักเกินไปจึงมองเค้าเดิมของศพไม่ออก หากเป็นคนทั่วไป เห็นแล้วคงอาเจียนออกมาตรงนั้น แต่คงเป็นเพราะความโศกเศร้าเหลือคณานับ ผู้หญิงคนนั้นถึงยื่นมือกอดศพหนึ่งขึ้นมา ปากร่ำไห้ตะโกนอะไรบางอย่าง
หลินปั้นซย่ายืนอยู่ค่อนข้างใกล้ ฟังสิ่งที่ผู้หญิงตะโกนออกมาได้รางๆ “เป็นเพราะฉัน ฉันผิดเอง เป็นความผิดของฉัน…ฉันเป็นคนทำให้พวกคุณต้องตาย…” เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงร้องออกมาแบบนี้ หรือเป็นฝ่ายหญิงที่รั้นจะออกมาเที่ยวให้ได้ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ?
“เหลือเธอแค่คนเดียวแล้ว น่าสงสารมากเลย” หลิวซีเริ่มทอดถอนใจอีกครั้ง
หลินปั้นซย่ามองไปทางผู้หญิง รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย “เหลือเธอแค่คนเดียว? แล้วคนนั้นใครเหรอ”
หลิวซีเอ่ย “อะไรนะ ใคร”
หลินปั้นซย่ามองสิ่งที่อยู่ใกล้กับด้านหลังของหญิงสาวอย่างละเอียดแล้วก็เม้มริมฝีปากแน่น เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ไม่มีอะไร เหมือนฉันจะดูผิดไปเอง”
เขาไหนเลยจะมองผิดไปได้ ห่างจากด้านหลังหญิงคนนั้นไปราวหนึ่งเมตร มีคนในชุดกระโปรงสีดำทั้งตัวคนหนึ่งยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่ คนคนนั้นมีส่วนสูงและรูปร่างผอมพอๆ กับหญิงสาว กำลังยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังเธอราวกับเงาก็มิปาน ตอนนี้ทางด่วนถูกปิดแล้ว มีเพียงตำรวจและเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่ขึ้นมาได้ ตัวตนของผู้หญิงชุดดำคนนี้จึงดูประหลาดขึ้นมาทันที ทว่าคนรอบๆ ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของคนคนนี้เลย ทุกคนต่างก็ทำงานในส่วนของตัวเอง
หญิงสาวร้องไห้เสร็จ ตำรวจก็ประคองเธอที่เดินโซซัดโซเซไปขึ้นรถตำรวจ หญิงชุดดำซึ่งอยู่ด้านหลังก็ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาและขึ้นรถตำรวจไปเช่นกัน พอขึ้นไปนั่งบนรถแล้วหลินปั้นซย่าได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็ตกตะลึงอยู่ในใจเล็กน้อย
ไม่คาดคิดเลยว่าผู้หญิงชุดดำคนนี้จะหน้าเหมือนกับผู้หญิงที่คนในครอบครัวประสบอุบัติเหตุทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่ใบหน้าเธอขาวซีดราวกระดาษ ลูกตาก็ขาวทึมๆ ดูน่าสะพรึง เธอเหมือนกับหุ่นกระบอก เมื่อผู้หญิงเดินหนึ่งก้าว เธอก็เดินหนึ่งก้าว ไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่าตาฝาดไปหรือเปล่า เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างสองคนนี้เหมือนจะใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ…
“ปั้นซย่า นายมองอะไรอยู่น่ะ” หลิวซีมองหลินปั้นซย่าอย่างฉงน
“ไม่มีอะไร” หลินปั้นซย่าดึงสายตากลับมามองโทรศัพท์ ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พวกเราไปกันก่อนเถอะ” เพื่อนร่วมงานที่เหลือต้องอยู่สะสางสถานที่เกิดเหตุ เพื่อช่วยตำรวจฟื้นฟูสภาพการจราจรให้เร็วที่สุด
“ไปได้” หลิวซีสตาร์ตรถ
ทั้งสองนำศพมุ่งไปยังฌาปนสถาน
ขณะนั่งอยู่ในรถ หลินปั้นซย่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
หลิวซีที่อยู่ข้างๆ ก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งยื่นมาให้ หลินปั้นซย่าส่ายหน้าปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ หลิวซีจึงจุดหนึ่งมวนให้ตัวเองและสูดเข้าปอดลึกๆ ทีหนึ่ง “คิดอะไรอยู่เหรอ”
“คิดเรื่องที่บ้าน” หลินปั้นซย่าเอ่ย “รูมเมตของฉันเหมือนจะโดนของ”
“โดนของ?”
หลินปั้นซย่าครุ่นคิด แล้วอธิบายเรื่องย่านคอนโดฯ ของพวกเขาให้หลิวซีฟัง
หลิวซีฟังจบก็เบิกตากว้าง พูดต่อว่า “นายจริงจังเหรอ” งานที่ทำปกติก็สะเทือนขวัญขนาดนี้แล้ว แล้วนี่ยังอยู่ในที่ที่สะเทือนขวัญยิ่งกว่าอีก คนปกติไม่มีใครรับไหวหรอก พูดจบเขาก็เห็นหลินปั้นซย่าหลุบตาลงจึงเอ่ยลองเชิง “แต่เหมือนนายจะไม่กลัวของพวกนี้นะ”
หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงเนิบ “จริงๆ แล้ว…ไม่ใช่ว่าฉันไม่กลัวหรอก”
“งั้นทำไมนายไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ” หลิวซีกล่าว “เพื่อนร่วมงานทีมก่อนของฉันบอกว่าครั้งแรกที่ไปสถานที่เกิดเหตุพวกเขาอ้วกไปครึ่งค่อนวัน มีแค่นายที่ไม่เป็นอะไรเลย”
หลินปั้นซย่าอยากเอ่ยแต่ก็ไม่เอ่ยออกมา
หลิวซีพูดต่อ “ทำไมล่ะ พี่ชาย ทำไมไม่พูดล่ะ”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “พวกเขาไม่ได้บอกนายเหรอ ว่าฉันไม่กินเนื้อไปกว่าครึ่งปี?”
หลิวซีเกาหัว
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่กลัว แค่ความรู้สึกช้า” หลินปั้นซย่าถอนหายใจ “ก็เหมือนนายเดินอยู่บนถนนแล้วมีอะไรมาตีไหล่ หันไปมองก็ไม่เห็นใครเลย คนปกติต้องตกใจไปแล้ว แต่ฉันน่ะ…อาจจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเพิ่งรู้สึกตกใจขึ้นมา”
หลิวซีมองหลินปั้นซย่าอย่างหมดคำจะกล่าว เหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาด
หลินปั้นซย่าเอ่ย “เรื่องนี้ก็นานมากแล้ว” เขาเท้าแขนกับหน้าต่างรถ ซึมซับลมหนาวยามค่ำคืน ตอนนี้ด้านนอกมีฝนตกปรอยๆ โปรยปรายเข้ามาตามหน้าต่างรถ กระทบลงบนผิวแก้มของหลินปั้นซย่า
หลิวซีพลันตัวหนาวสั่น “หนาวมากอะ หลินเกอ ปิดหน้าต่างเถอะ”
หลินปั้นซย่าอืมรับคำ แล้วเลื่อนกระจกรถขึ้น
“นายรู้ตัวว่าตัวเองเป็นแบบนี้ตอนไหนเหรอ” หลิวซีคุยหัวข้อนี้ต่อ
หลินปั้นซย่ากล่าว “ตอนอยู่มหาวิทยาลัย มีผู้หญิงคนหนึ่ง…เธอบอกว่า ‘หลินปั้นซย่า ฉันไม่อยากฉลองเทศกาลคนโสดแล้ว’…”
“จากนั้นล่ะๆ” หลิวซีถาม
“จากนั้นฉันก็พูดว่าไม่ฉลองวันสิบเอ็ดสิบเอ็ด จะขาดทุนยับเลยนะ”
หลิวซี “…”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “แล้วเธอก็ย้ำอีกรอบ ฉันก็บอกว่าไม่ได้ๆ จะไม่ฉลองเทศกาลไหนก็ได้ แต่ต้องฉลองสิบเอ็ดสิบเอ็ด”
หลิวซี “จากนั้น?”
“ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว” หลินปั้นซย่าชะงักไปครู่ ก่อนเอ่ยเสริมด้วยความปลง “ตอนฉลองสิบเอ็ดสิบเอ็ดปีที่แล้วจู่ๆ ก็เพิ่งจะมาเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร…”
หลิวซีถอนหายใจยาวเหยียด พร่ำพูดว่า “หลินเกอนะหลินเกอ ในที่สุดตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงไม่มีแฟน ดูสิ ขนาดฉันเป็นคนแบบนี้ยังมีแฟนเลย!! ขอบคุณที่นายเกิดมาหน้าตาดี บุคลิกดี แต่สุดท้ายก็มีแค่ยุงตัวเมียที่มาวนเวียนรอบๆ ตัวนะ”
หลินปั้นซย่าเหลือบมองเขา “นายมีแฟนแล้ว? ฉันไม่เชื่อหรอก”
หลิวซีบอกว่า “เหอะ เดี๋ยวฉันพามาให้นายรู้จัก!”
เขากำลังคุยโวอย่างฮึกเหิม ทว่ากลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขึ้นมา เลยหันไปมองหลินปั้นซย่าด้วยความงงงัน “หลินเกอ ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง “ตู้ท้ายรถ?”
ทั้งสองสบตากัน ขนที่หลังของหลิวซีลุกชันเล็กน้อย ในตู้รถไม่มีคนอยู่เลย มีแต่ศพที่ถูกทับละเอียดหลายศพ เสียงนี้เหมือนกับมีบางสิ่งกำลังกระทบกับถุงคลุมศพดังกรอบแกรบๆ จนคนฟังขนลุกขนพองไปทั้งกายในชั่วพริบตา
“บัดซบ จอดรถดีมั้ย นั่นมันอะไรน่ะ” เสียงที่ว่าดังขึ้นเรื่อยๆ หลิวซีรับมือไม่ถูกเล็กน้อย เท้าที่เหยียบคันเร่งสั่นรุนแรง
หลินปั้นซย่าเห็นท่าทีเขาก็รู้ว่าขับต่อไม่ได้แล้ว จึงให้เขาชิดข้างทางเพื่อจอดรถ อยากจะไปดูตู้ท้ายรถด้วยตัวเอง
หลิวซีถามเสียงสั่นระริก “หลินเกอ อยากให้ฉันไปด้วยหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก”
เห็นสภาพหลิวซีแล้ว เขากลัวจริงๆ ว่าถ้าอีกฝ่ายลงรถไปแล้วจะปัสสาวะราด
หลินปั้นซย่ากระโดดลงจากรถ เดินคล่องแคล่วว่องไวไปยังตู้รถ ยกมือขึ้นดึงประตูรถออก เผยให้เห็นถุงคลุมศพหลายใบด้านใน ก่อนหน้านี้ตอนที่ย้ายศพขึ้นรถก็จัดวางศพไว้อย่างเรียบร้อยโดยให้ความสำคัญกับผู้ตายเป็นหลัก แต่ศพตรงหน้าเวลานี้กลับซ้อนอยู่ด้วยกัน ราวกับมีใครมาเคลื่อนย้ายพวกเขา อีกทั้งเสียงแปลกๆ นั่นก็คือเสียงที่ดังออกมาจากถุงคลุมศพเหล่านี้
หลินปั้นซย่าปีนขึ้นรถ จัดวางถุงคลุมศพใหม่อย่างเบาไม้เบามือ ในสถานการณ์ปกติ ถุงคลุมศพล้วนสามารถกันน้ำซึมรั่วออกมาได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศพแหลกละเอียดเกินไปหรือเปล่า จึงได้มีของเหลวไหลซึมออกมาจากถุงพวกนี้ไม่หยุด หยดติ๋งๆ อยู่ในตู้รถ
หลินปั้นซย่าจัดวางถุงคลุมศพอย่างดีทีละอันๆ แต่กลับพบว่าเสียงกรอบแกรบนั่นก็หยุดไปด้วย หลินปั้นซย่าก้มหน้าลง มองหาโดยละเอียดรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เจออะไรเลย ทว่าหางตาของเขาสังเกตเห็นจุดสังเกตอย่างหนึ่ง ซิปของถุงคลุมศพอันล่างสุดถูกเปิดออกนิดหนึ่ง
เขาไม่มีทางผิดพลาดในเรื่องแบบนี้แน่ หลิวซีก็ทำงานมาหลายเดือนแล้ว ไม่ค่อยเป็นไปได้นักที่จะลืมรูดซิปถุง หลินปั้นซย่าจดจ้องซิปนั้นครู่หนึ่งก่อนยกมือรูดขึ้นโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นยืดตัวลุกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วปิดประตูตู้ท้ายรถอย่างแน่นหนา
“เป็นไงบ้าง เสียงอะไรเหรอ” หลิวซีเห็นหลินปั้นซย่ากลับมาก็ถามอย่างตึงเครียด
หลินปั้นซย่าเอ่ย “มีหนูตัวหนึ่งเข้ามาในตู้ ฉันเห็นแค่เงาแวบๆ แล้วก็มุดหายไป ช่างเถอะ อย่าไปสนเลย เอาพวกเขาไปส่งก่อนแล้วค่อยๆ หา”
หลิวซีโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เอ่ย “อ๋อ หนูนี่เอง ตกใจแทบแย่…” เขาบ่นพึมพำ เอ่ยว่ารู้อยู่แล้วว่าที่หน่วยมีหนู ยากำจัดหนูที่ฝ่ายธุรการซื้อมาก่อนหน้านี้ไร้ประโยชน์จริงๆ ขนาดหนูยังไต่เข้ามาในรถได้
หลินปั้นซย่าเลื่อนกระจกรถลงอีกครั้ง แขนขวาเท้าหน้าต่างนั่งนิ่งเงียบ
หลิวซีพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “หลินเกอ เป็นอะไรไป”
หลินปั้นซย่าส่ายหน้า “ไม่มีอะไร อยากบุหรี่ขึ้นมานิดหน่อยน่ะ ขอสักมวนได้มั้ย”
หลิวซีหัวเราะแหะๆ ส่งให้เขาหนึ่งมวน
ที่จริงแล้วหลินปั้นซย่าไม่ได้ติดบุหรี่ นานๆ ทีถึงจะสูบสักมวน ระหว่างเดินทางในช่วงหลัง เขานั่งหรี่ตานอนสัปหงก ในตู้รถมีเสียงสวบสาบดังขึ้นตลอด หลิวซีเหลือบมองหลินปั้นซย่าด้วยความไม่สบายใจหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทำเพียงเหยียบคันเร่งจนแทบมิด อยากจะบินไปให้ถึงจุดหมายเสียเดี๋ยวนั้น
เมื่อถึงฌาปนสถาน คนที่มาต้อนรับก็มารออยู่ด้านในแล้ว
นี่ก็เป็นคนคุ้นเคยเช่นกัน เขามีชื่อว่าหวังจินเฉียว ร่วมงานกับทีมของหลินปั้นซย่าเป็นประจำ เดาว่าต้องทำงานตอนกลางดึกคงจะไม่สบอารมณ์นัก ปากจึงเอาแต่บ่นด่าพึมพำ หลิวซียิ้มตาหยียื่นบุหรี่ให้ สนทนากับคนคนนั้นสองสามประโยค แล้วถึงเดินนวยนาดเข้ามาเตรียมจะเปิดประตูตู้ท้ายรถเพื่อที่จะนำศพลงมา
หากมีอุบัติเหตุทางจราจรก็จำเป็นต้องทำการชันสูตรศพ แต่เพราะความรับผิดชอบจากอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นที่ชัดเจน กอปรกับไม่มีส่วนใดที่น่าสงสัย ดังนั้นจึงละเว้นขั้นตอนการชันสูตรศพไป ฌาปนสถานเพียงรอให้คนในครอบครัวผู้ตายมาดำเนินการตามขั้นตอนก็สามารถเผาศพได้
หวังจินเฉียวถามสถานการณ์วันนี้กับพวกเขาพลางเดินไปยังหลังตู้ท้ายรถ ยื่นมือเปิดประตูตู้ เอียงศีรษะเอ่ยกับพวกเขา “ได้ยินว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน?”
เขาถามจบก็เหลือบมองเข้าไปในตู้ท้ายรถ แต่แล้วสีหน้าก็เขียวคล้ำในชั่วขณะ พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
หลิวซีเห็นสีหน้าเขาผิดแปลกไป กำลังอยากถามว่าเป็นอะไรก็ได้ยินหวังจินเฉียวตวาดเกรี้ยว “พวกนายเป็นอะไรกัน ทำไมบรรจุศพแบบนี้ นี่แม่ง…”
หลิวซีและหลินปั้นซย่าถูกดุด่าจนมึนงง ทั้งสองเดินเข้าไปแล้วเหลือบมองด้านในตู้ท้ายรถ
แต่สภาพภายในรถนั้นเกินความคาดหมายของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาเห็นถุงคลุมศพทั้งหมดล้วนถูกรูดซิปเปิดหมด ศพกองทับซ้อนอยู่ด้วยกันจนเกินกว่าจะจินตนาการได้ ด้วยความที่สภาพศพแหลกเละมากเกินไปจึงแทบกลายเป็นกองภูเขาเนื้อ เลือดแข็งตัวจนเป็นคราบแดงคล้ำอยู่ในตู้
“อุแหวะ!!!” หลิวซีเพียงแค่มองแวบเดียว ก็หันตัวไปอาเจียนอย่างเกินเหตุ
สีหน้าของหลินปั้นซย่าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แบบนี้จะให้แยกศพยังไง” หวังจินเฉียวเอ่ยด้วยโทสะ “จะให้เผาทั้งหมดพร้อมกันเลยหรือไง อย่างนี้ญาติมาแล้วจะไม่มาหาเรื่องพวกฉันเหรอ”
“ตะ…แต่ว่าก่อนจะมาพวกเราจัดการไว้อย่างดีแล้วนะครับ” หลิวซีอาเจียนเสร็จก็เช็ดปากแล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้…หลินเกอ หลินเกอ?”
หลินปั้นซย่าหันไปมองในตู้รถอีกครั้ง นิ่งเงียบไม่พูดจา
หลิวซีกำลังจะเอ่ยอะไร หวังจินเฉียวกลับมองออกแล้ว เขาชี้นิ้วสั่งให้หลิวซีหุบปาก “เอาเถอะๆ ฉันรู้แล้ว รอให้ญาติมาก่อน พวกนายค่อยไปอธิบายกับเขาแล้วกัน”
พูดไปก็ทำหน้าบูดบึ้งไป เขาสั่งให้คนมาจัดการกองภูเขาเนื้อนี้เสีย
หลินปั้นซย่าและหลิวซีเป็นฝ่ายผิด พวกเขาจึงยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าปริปาก
หลิวซีสูบบุหรี่หมดมวนก็สูบต่ออีกมวน มือที่สูบบุหรี่สั่นอย่างรุนแรง เขาอยากซักถามหลินปั้นซย่ามาก ว่าเสียงที่ได้ยินในตู้ท้ายรถเมื่อกี้เป็นเสียงหนูจริงๆ หรือเปล่า แต่เมื่อเห็นเสี้ยวหน้าสงบนิ่งของหลินปั้นซย่า คำพูดที่ติดอยู่บนปลายลิ้นก็ถูกกลืนกลับไป
ทางนี้กำลังสะสางในตู้ท้ายรถด้วยความยากลำบาก ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวที่เหลือรอดทางนั้นกลับนั่งรถตำรวจมาถึงแล้ว
อุบัติเหตุครั้งหนึ่งช่วงชิงชีวิตครอบครัวของเธอไปทั้งหมด สำหรับคนทั่วไปแล้ว นี่แทบจะเป็นแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ร้ายแรงถึงชีวิต
ตำรวจคงคิดถึงสภาพอารมณ์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ ตอนที่ขับรถมาส่งเธอจึงมีท่าทีระมัดระวัง เพียงแต่เวลาที่มาถึงช่างไม่เหมาะเอาเสียเลยจริงๆ ตอนนี้คนของฌาปนสถานยังแยกศพที่ปะปนกันอย่างยากลำบากอยู่เลย
หญิงสาวลงมาจากรถตำรวจ ทันทีที่เหลือบตามองก็เห็นตู้รถที่เละเทะเรี่ยราดไปหมด
หลิวซีกลัวญาติผู้เสียชีวิตจะเกิดปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงถอยครึ่งก้าวไปอยู่ข้างหลังหลินปั้นซย่า เขาเอ่ยเสียงเบา “หลินเกอ พวกเราจะโดนตบหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่ากระซิบ “เขาเป็นผู้หญิง โดนตบทีสองทีคงไม่เป็นไรหรอก”
“ก็ถูก” หลิวซียิ้มขื่น “ถ้าผมเห็นครอบครัวของตัวเองกลายเป็นแบบนี้ก็ต้องอยากต่อยคนแน่ๆ”
แต่ความจริงกลับเหนือกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นสภาพการณ์ในตู้รถแล้วก็ไม่ได้โมโหร้าย ทว่าใบหน้าขาวซีดของเธอกลับปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ ขึ้น ริมฝีปากที่ทาสีแดงสดทำให้มุมปากดูยกสูงเกินจริงไปมาก เหมือนกำลังร้องไห้แต่ก็เหมือนกำลังยิ้ม เธอเดินช้าๆ มายังข้างตู้ท้ายรถ จดจ้องศพแหลกเละทั้งคันรถด้วยสีหน้ามืดมนหนาวเหน็บ แล้วปริปากเอ่ยว่า “พวกคุณไม่ได้มองฉันเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ด้วย”
“…”
“ฉันมันน่าสมเพชจริงๆ” หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะเยาะ และหมุนกายเดินจากไป กระโปรงสีดำลอยพลิ้วยกเป็นองศาสวยงาม
ด้านหลังเธอ ยังคงมีคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดราวกับเงาสะท้อนที่หลินปั้นซย่าเห็นในที่เกิดเหตุตามมา และระยะห่างของทั้งสองยังใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 02 ก.ค. 65