ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 6 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 6 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 6

ห้อง 1303 (6)

หลังจากผู้หญิงคนนั้นปรากฏกาย หลิวซีและหลินปั้นซย่าก็ร้อนรนเหมือนคนมีความผิดติดตัว ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ดีที่หญิงสาวไม่ได้ต้องการให้พวกเขาลำบากใจ หลังพูดคำเหล่านั้นแล้วเธอก็หมุนกายเดินจากไป ทำเอาหวังจินเฉียวยืนตะลึงแน่นิ่งอยู่กับที่ ครู่ใหญ่กว่าจะกล่าวกับพวกเขาเสียงเบา “สถานการณ์แบบไหนกันล่ะเนี่ย หรือผู้หญิงคนนี้จะมีปัญหาทางจิตใจหรือเปล่า”

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง” หลิวซีจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เขาลูบหน้าถึงพบว่าบนปลายจมูกตัวเองมีแต่เหงื่อเย็นๆ “เรื่องนี้มันจะพิลึกเกินไปแล้ว”

หลินปั้นซย่าพยักหน้าเงียบๆ อยู่ข้างๆ

“แล้วก็นะหลินเกอ นายเห็นหนูที่ตู้ท้ายรถจริงๆ เหรอ” หลังจากใจเย็นลงแล้ว หลิวซีก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ เขาหันไปมองหลินปั้นซย่า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ

หลินปั้นซย่าหน้าไม่แดง หัวใจก็ไม่ได้เต้นแรง “เห็น”

“จริงนะ?” หลิวซียังคงไม่เชื่อ

“จริงๆ” หลินปั้นซย่าเอ่ยยืนยัน

หลิวซีเห็นหลินปั้นซย่ายืนกรานจึงได้แต่ยอมแพ้ แต่ระหว่างทางกลับ หลิวซีสูบบุหรี่หน้านิ่วคิ้วขมวดไปตลอดทาง หลินปั้นซย่านั่งพักอยู่ข้างๆ เขา จนกระทั่งใกล้ถึงหน่วยแล้ว หลิวซีถึงเอ่ยอีกประโยค “หลินเกอ เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันจะไปขอเครื่องรางคุ้มครองที่วัด อยากให้ฉันเอามาเผื่อนายสักอันมั้ย”

“ไม่ต้อง” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น”

“นายยังไม่เชื่ออีกเหรอ” หลิวซีกล่าว “เรื่องคืนนี้มันพิลึกพิลั่นเกินไปแล้วนะ…โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น หัวเราะจนฉันขนลุกไปทั้งตัวเลย”

“เธอ…ก็ดูแปลกๆ นิดหน่อย”

ใช่น่ะสิ ตอนแรกร้องไห้เสียเศร้าโศกขนาดนั้น แต่ใครจะรู้ว่าเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอเห็นศพของครอบครัวก็เริ่มยิ้มขึ้นมาเฉย หรือภายใต้ความเสียใจนั้นเธอรู้สึกปลงตกขึ้นมาแล้ว?

ทั้งสองสนทนากันพลางเดินเข้าหน่วย ตั้งใจจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้าน อาชีพแบบพวกเขา นอกจากสถานการณ์พิเศษ ปกติแล้วในหนึ่งคืนทุกคนจะได้รับงานเพียงหนึ่งครั้ง พวกเขาทำงานเสร็จกลับมาก็สามารถเลิกงานได้เลย

หลินปั้นซย่าก็ไปอาบน้ำด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชุด เป่าผมไปพลางโทรหาจี้เล่อสุ่ยไปพลาง

แต่ถึงจะโทรติดแล้วกลับไม่มีคนรับสายอยู่ดี ในใจเขาเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเลิกงาน หลินปั้นซย่าคิดไว้ว่าพอเก็บสัมภาระให้จี้เล่อสุ่ยเรียบร้อยแล้วก็จะเอาไปส่งให้เขาเลย แล้วแวะดูด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับจี้เล่อสุ่ยกันแน่

หลินปั้นซย่านั่งรถบัสที่เพิ่งมีตอนเช้ามืดไปลงรถที่ป้ายรถเมล์ใกล้ย่านคอนโดฯ ของตน เดินราวห้าถึงหกนาที ในที่สุดก็มาถึงหน้าตึกอันเป็นบ้านตนเอง

ก่อนหน้านี้ถ้าจี้เล่อสุ่ยไม่พูดเขาก็ไม่ได้สังเกต ช่วงไม่กี่วันนี้ได้มาสำรวจดูแล้วก็พบว่าในย่านคอนโดฯ ของพวกเขาไม่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ นอกจากไฟข้างทางแล้วก็แทบไม่มีดวงไฟอะไรส่องแสงอยู่เลย เขาเดินอยู่บนทางเดินคนเดียว เสียงที่ก้องอยู่ข้างหูก็ล้วนเป็นเสียงฝีเท้าของเขาทั้งนั้น

แต่ตอนนี้หลินปั้นซย่าไม่กลัวไม่มีเสียง กลับกลัวจะได้ยินเสียงอย่างอื่นมากกว่าด้วยซ้ำ เขาเข้าลิฟต์มาก็บึ่งตรงไปหน้าประตูห้อง ขณะกำลังจะล้วงกุญแจมาเปิดประตู ก็พลันสังเกตเห็นว่าป้ายเลขห้องที่แขวนอยู่บนประตูห้องตัวเองเอียงอยู่

ป้ายเลขห้องเป็นป้ายสีดำ ใช้ตัวอักษรเคลือบฟอยล์สีทองเขียนตัวเลข 1303 สี่ตัว มันแขวนเบี้ยวๆ อยู่บนประตูดูขัดตานัก หลินปั้นซย่ายื่นมือออกไปจะจัดป้ายให้ตรง แต่ทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสขอบป้ายเลขห้อง ก็ตระหนักได้ว่าสัมผัสของป้ายนี้ดูไม่ปกติ เขาดึงมือกลับทันที

ป้ายเลขห้องที่เดิมทีควรจะมีสัมผัสเย็นเยียบของโลหะ ไม่นึกเลยว่าจะมีอุณหภูมิแบบผิวหนังมนุษย์อยู่ มิหนำซ้ำสัมผัสที่ได้รับกลับทำให้หลินปั้นซย่านึกถึงหีบสีดำของเพื่อนข้างบ้านขึ้นมา…

หลินปั้นซย่ามองป้ายเลขห้องอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะไม่ให้ความสนใจมันอีก ล้วงกุญแจออกมาเปิดประตูทันที

หลังจากเปิดประตู หลินปั้นซย่าเดินเข้าห้องจากนั้นจึงปิดประตู แล้วไปหยิบกระเป๋าสัมภาระที่จี้เล่อสุ่ยเก็บไว้ในห้องนอน เริ่มจัดเก็บเสื้อผ้าในตู้ ตู้เสื้อผ้าของจี้เล่อสุ่ยแบ่งชั้นบนและล่าง ชั้นด้านบนค่อนข้างเล็ก ใช้สำหรับเก็บฟูกเก็บผ้าห่ม ในขณะที่ชั้นล่างก็เป็นเสื้อผ้าทั่วไปที่เห็นได้ส่วนใหญ่ กระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ไม่พอ หลินปั้นซย่าเก็บได้แค่เสื้อผ้าส่วนใหญ่เท่านั้น เห็นเสื้อผ้าที่เหลือแล้วก็ละเหี่ยใจ เขาครุ่นคิดแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาจี้เล่อสุ่ย อยากถามสถานการณ์ของอีกฝ่ายอีกที

กริ๊ง กริ๊งงง~ กริ๊ง กริ๊งงง~

ชั่วพริบตาที่หลินปั้นซย่าโทรติด ข้างหูของเขาก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังลอยมา ตอนแรกเขานึกว่าตนฟังผิด แต่เมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ต้องเงยหน้าอย่างสุดจะนึกได้

เสียงเรียกเข้าดังมาจากบนตู้เหนือศีรษะเขา

และโทรศัพท์ที่หลินปั้นซย่าโทรไม่ติดมาโดยตลอด ณ เวลานี้กลับมีคนรับแล้ว ทว่าในสายเงียบกริบไร้เสียงลมหายใจ หลินปั้นซย่าเอ่ย “ฮัลโหล” ทักทายไปเบาๆ หนึ่งคำ ต่อจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของตัวเอง…ดังมาจากด้านในตู้เสื้อผ้า

หลินปั้นซย่าเงียบไปชั่วขณะ ลูกกระเดือกเขาขยับขึ้นลงราวกำลังทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ประมาณครึ่งนาทีหลังจากนั้นเขาก็มีความเคลื่อนไหว ค่อยๆ ปีนขึ้นบนเตียงด้านข้าง สูดหายใจเข้าเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าชั้นบนสุด

เสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูตู้เปิดออก แล้วหลินปั้นซย่าก็เห็นจี้เล่อสุ่ยขดเป็นก้อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า

จี้เล่อสุ่ยเป็นชายเต็มวัยสูง 173 เซนติเมตร ตามหลักแล้วเขาไม่สามารถขดตัวเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าได้ แต่สถานการณ์ตรงหน้าอยู่นอกเหนือความเข้าใจปกติ ดวงตาของจี้เล่อสุ่ยเบิกกว้าง รูม่านตาเหมือนจะขยายออกนิดหน่อย เขาจ้องหลินปั้นซย่าเขม็งอย่างไร้วิญญาณ ทั้งร่างยังคงสั่นระริก

“เล่อสุ่ย! เล่อสุ่ย!” คราวนี้หลินปั้นซย่าร้อนใจขึ้นมาจริงๆ ยื่นมือไปดึงจี้เล่อสุ่ยออกมาจากตู้อย่างยากลำบาก

แต่จี้เล่อสุ่ยไม่ขยับเขยื้อนเลย ราวกับหุ่นกระบอกแข็งทื่อที่เคลื่อนไหวไปตามการควบคุมของหลินปั้นซย่า กระทั่งถูกดึงออกมาได้เขาถึงเริ่มสะอื้นฮักเสียงเบาราวกับเด็กที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หลินปั้นซย่าพยุงไหล่เขา สำรวจทั่วทั้งตัวอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่

เคราะห์ดีที่นอกจากความตื่นตกใจแล้ว ร่างกายของเขาสมบูรณ์ดีทุกประการ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไปอยู่ในนั้น” หลินปั้นซย่าประคองจี้เล่อสุ่ยไปยังห้องนั่งเล่น เดิมทีอยากจะรินน้ำร้อนให้เขาดื่มปลอบขวัญ แต่ใครจะรู้ว่าจี้เล่อสุ่ยจะตื่นกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ดึงหลินปั้นซย่าแน่นไม่ยอมปล่อย หลินปั้นซย่าเองก็ได้แต่ยอมแพ้

“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้” จี้เล่อสุ่ยเอ่ยอย่างสิ้นหวัง “ฉันไม่รู้ว่ากลับมาตอนไหน…รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในตู้นี้แล้ว ฉันขยับไม่ได้ ขยับไม่ได้…”

หลินปั้นซย่าจึงบอกว่า “อย่าลน ค่อยๆ พูดนะ ค่อยๆ พูด”

จี้เล่อสุ่ยเล่าเรื่องที่ตนประสบอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบด้วยเสียงสั่นเครือ

ที่แท้หลังจากเขาฝันร้ายก็ได้แต่ออกไปทำงานด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ทำให้เขาทำงานพลาดติดต่อกัน ถูกหัวหน้าด่าไปหนึ่งรอบ แล้วก็ตรงกลับบ้านเลย จี้เล่อสุ่ยกลับถึงห้องเช่าของตัวเองด้วยความขวัญเสีย แต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องเช่าที่ใหม่ สิ่งที่เห็นกลับเป็นห้องนั่งเล่นบ้านหลินปั้นซย่า

ตอนนั้นจี้เล่อสุ่ยตกใจจนมึนงง หมุนตัววิ่งห้อตะบึง ขณะที่วิ่งก็เหมือนกับเข้าไปยังอุโมงค์คดเคี้ยวแห่งหนึ่ง ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้โหยหวนของผู้หญิง เขาวิ่งแล้ววิ่งอีกโดยไม่กล้าหยุดแม้แต่วินาทีเดียว ในตอนที่เขาคิดว่าตนเองจะตายเพราะหมดแรง ในที่สุดก็เห็นประตูบานหนึ่งที่เป็นของห้องเช่าใหม่ ครั้งนี้เขาเปิดประตูออก ท้ายที่สุดเขาก็หาบ้านใหม่ของตัวเองเจอ

จี้เล่อสุ่ยร้องไห้ด้วยความดีใจสุดขีด พุ่งเข้าบ้านแล้วปิดประตูแรงๆ แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก จี้เล่อสุ่ยไม่กล้าไปดู จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องอยู่ตรงประตู

ในเวลานั้นเขาตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน ล้มลุกคลุกคลานไปยังห้องนอน เรื่องต่อจากนี้เขาก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เพียงรู้สึกได้เลือนรางว่าตนเข้าไปในที่มืดแคบจนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

เสียงแสบหูของแตรสั่วน่า* ดังขึ้นข้างหู พื้นโดยรอบโคลงเคลง มีคนกำลังพูดกระซิบกระซาบ มีคนกำลังร้องไห้โหยหวน จนกระทั่งเสียงตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ‘ฝังโลง…’

จี้เล่อสุ่ยพลันหายใจลำบากขึ้นมาในชั่วพริบตา เขาอยากร้องขอความช่วยเหลือแต่ตะโกนออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว เหนือศีรษะมีเสียงสวบสาบดังขึ้น เหมือนกับมีคนใช้พลั่วถมดินอยู่เหนือศีรษะของเขา ถมลงมาพลั่วแล้วพลั่วเล่า กะฝังเขาโดยสมบูรณ์อยู่ในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดนี้

เล่าถึงตรงนี้ จี้เล่อสุ่ยก็ร้องไห้โฮราวกับจะแหลกสลาย เขาคว้าเสื้อของหลินปั้นซย่าเหมือนกับเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งจนสุดจะกลั้น “ทำยังไงดี ทำไงดีล่ะปั้นซย่า ฉันย้ายออกไปไม่พ้น หนีออกไปไม่พ้นเลย!!!”

หลินปั้นซย่าพูดปลอบอีกฝ่ายไม่หยุด แต่เขาเองก็รู้ว่าสำหรับจี้เล่อสุ่ยแล้วการปลอบแบบนี้ก็เป็นแค่การดับไฟที่กำลังไหม้ฟืนทั้งคันเกวียนด้วยน้ำแก้วเดียว** เท่านั้น สภาพจิตใจเพื่อนสนิทของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดอยู่แล้ว หากได้รับการกระทบกระเทือนอีกเพียงนิดก็อาจจะตกสู่สภาวะบ้าคลั่งได้ หากจะพูดกันตรงๆ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะหลินปั้นซย่า ถ้าไม่ใช่เพราะเขาชวนให้จี้เล่อสุ่ยมาอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็คงไม่ตื่นกลัวรุนแรงขนาดนี้

หลินปั้นซย่านึกถึงประโยคแนะนำอย่างจริงใจของเพื่อนบ้านข้างๆ ขึ้นได้ คิดในใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ เขาปลอบประโลมสติอารมณ์ของจี้เล่อสุ่ย ตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะไปพบคนคนนั้นอีกครั้ง

จี้เล่อสุ่ยหวาดกลัวจนพลังงานหดหายไปกว่าครึ่งตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขายังร่ำร้องตะโกนอยู่นานสองนานอีก ในไม่ช้าก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ถึงแม้จะง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น เขาก็ไม่ยอมคลายมือที่จับชายเสื้อหลินปั้นซย่าไว้เลย เขากลัวอย่างสุดซึ้งว่าตนจะกลับไปอยู่ใน ‘โลง’ อันน่าหวาดผวานั่นอีก

หลินปั้นซย่าจนปัญญาจึงได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเขา มองสีหน้าเขียวซีดและคิ้วที่ขมวดแน่นแม้ว่าจะผล็อยหลับไปแล้วของอีกฝ่าย

ท้องฟ้ามืดครึ้ม เสียงลมนอกหน้าต่างดังหวีดหวิวอยู่ตลอด ดวงไฟในห้องมืดสลัว มีเพียงเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากโทรทัศน์

หลินปั้นซย่าพิงโซฟา จี้เล่อสุ่ยนอนอยู่ข้างกาย เขาทำงานมาทั้งคืนจึงรู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว ในตอนที่ฟ้าใกล้สว่างก็สะลึมสะลือหลับฝันไปด้วยเช่นกัน

เขาฝันถึงตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย มีเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งมักจะแกล้งให้เขาตกใจแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จเลยสักครั้ง กระทั่งเย็นวันหนึ่ง จู่ๆ เพื่อนคนนั้นก็ตบไหล่เขาจากด้านหลัง อยากทำให้เขาสะดุ้งตกใจ แน่นอนว่าเขาไม่มีการตอบสนองใดๆ ใครจะรู้ว่าเพื่อนคนนั้นเหลือบมองมาที่เขาด้วยความอ้างว้างแล้วถอนหายใจก่อนเอ่ย ครั้งนี้ก็ทำให้นายตกใจไม่ได้สินะ ตอนนั้นหลินปั้นซย่ายังหัวเราะด้วย แต่ใครจะรู้ว่าวันถัดมา จู่ๆ หัวหน้าห้องก็มาบอกกับเขาว่าเช้าตรู่ของเมื่อวานเพื่อนคนนั้นถูกรถชนเสียชีวิตไปแล้ว…

เสียชีวิตแล้ว? แต่ว่าเมื่อวานตอนเย็น เขายังมาหยอกล้อกันอยู่ชัดๆ เลยนี่…

หลินปั้นซย่าฝันไปฝันมาแล้วจู่ๆ ก็ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากลืมตาคือมองหาจี้เล่อสุ่ยที่อยู่ข้างกายตน เมื่อเห็นจี้เล่อสุ่ยยังหลับอยู่ข้างๆ ถึงได้ผ่อนลมหายใจ เขาครุ่นคิดจากนั้นก็ตัดสินใจปลุกจี้เล่อสุ่ยขึ้นมา และบอกว่าตนตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านข้างๆ สักหน่อย

จี้เล่อสุ่ยได้ยินคำของหลินปั้นซย่าก็ถามด้วยความข้องใจ “นายไปหาเพื่อนบ้านทำไม”

“เพื่อนบ้านอาจจะพอรู้เรื่องอะไรบ้าง”

“พอรู้เรื่องอะไรบ้าง” จี้เล่อสุ่ยไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหลินปั้นซย่าสักเท่าไหร่

“รู้เกี่ยวกับเรื่องของห้องนี้” หลินปั้นซย่าเอ่ย “เขาดูแปลกๆ ไม่เหมือนคนปกติ”

“แปลกขนาดไหน”

“แปลกกว่าฉัน”

จี้เล่อสุ่ยดิ้นรนคิดหาคำโต้แย้งหลายวินาทีแต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ไป “งั้นก็คงแปลกจริงๆ”

หลินปั้นซย่าถอนหายใจพลางตบไหล่เพื่อนสนิทของตน

พักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ในที่สุดจี้เล่อสุ่ยก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ยังมีแรงเหลือไว้หยอกล้อหลินปั้นซย่าได้ เดิมหลินปั้นซย่าอยากไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านคนเดียว แต่ให้ตายยังไงจี้เล่อสุ่ยก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ในห้อง ด้วยความเหลืออด ทั้งสองจึงไปด้วยกันเสียเลย

หลินปั้นซย่ามาถึงหน้าประตูเพื่อนบ้านแล้ว เขาเคาะประตูอย่างรอบคอบ

ทั้งสองรออยู่ครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออกดังแอ๊ด ใบหน้าของซ่งชิงหลัวเผยออกมาให้เห็นจากช่องประตูที่แง้มเปิด เขาดูเหมือนจะเพิ่งตื่น ผมสีดำยาวเล็กน้อยของเขาค่อนข้างยุ่งเหยิง สีหน้ายังคงขาวดุจเซรามิกที่ไร้สีเลือดเช่นเคย

“คุณซ่งครับ…” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ผมมีเรื่องบางอย่างอยากขอความกรุณาจากคุณ”

ซ่งชิงหลัวย้ายสายตาไปมองจี้เล่อสุ่ยที่อยู่ข้างๆ หลินปั้นซย่า แล้วเอ่ยว่า “นี่น่ะเหรอรูมเมตของคุณ”

หลินปั้นซย่าพยักหน้า เขากลัวเล็กน้อยว่าซ่งชิงหลัวจะปฏิเสธ จึงอยากจะพูดขอร้องอีกสักสองประโยค ใครจะรู้ว่าหลังจากซ่งชิงหลัวใช้สายตาจับผิดมองพินิจพิเคราะห์จี้เล่อสุ่ยไปหนึ่งหน ก็ยกมือเสยผมที่ยุ่งเหยิงแล้วเอ่ยเสียงเบา “เข้ามาเถอะ”

จากนั้นทั้งสองถึงเดินเข้าห้องไปทีละคนอย่างระมัดระวัง

จี้เล่อสุ่ยเป็นเหมือนหลินปั้นซย่าตอนมาที่นี่ครั้งแรก เมื่อเข้าห้องมาก็ต้องตะลึงเพราะหีบขนาดเล็กใหญ่ในห้อง แม้ไม่รู้ว่าหีบพวกนี้บรรจุอะไรไว้กันแน่ แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาชอบกล ฝีเท้าหยุดในจุดที่ไกลจากหีบมากที่สุด

“นั่งสิ” ซ่งชิงหลัวชี้ไปที่โซฟา

หลินปั้นซย่านั่งลง ส่งสายตาบอกให้จี้เล่อสุ่ยเข้ามาด้วย จี้เล่อสุ่ยละล้าละลัง นั่งลงข้างหลินปั้นซย่าอย่างฝืนใจ เอ่ยพึมพำว่า “คุณซ่ง ข้างในหีบพวกนี้…คืออะไรเหรอ”

ซ่งชิงหลัวเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้ให้คำตอบใด

จี้เล่อสุ่ยเก้อกระดากขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน เพียงแค่รู้สึกว่า…” รู้สึกว่าเห็นหีบพวกนี้แล้วไม่สบายใจเลย เดิมเขาอยากเอ่ยประโยคนี้ แต่ยังไม่ทันบอกออกไปก็ตระหนักได้ทันทีว่าคำพูดนี้ดูล่วงเกินยิ่งกว่าไม่พูดออกไปเสียอีก จึงได้แต่หักเลี้ยวเปลี่ยนความคิดเสียดื้อๆ “เพียงแค่รู้สึกว่ามะ…มันกินพื้นที่ไปหน่อยน่ะครับ”

ซ่งชิงหลัวลุกขึ้นยืน เดินไปข้างโซฟาและสุ่มหยิบหีบมาใบหนึ่ง หีบนั้นใหญ่ราวหนึ่งศีรษะคน หลังจากซ่งชิงหลัวหยิบมันมาแล้วก็วางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าพวกเขา พยักพเยิดหน้าให้จี้เล่อสุ่ยเบาๆ “คุณอยากรู้ว่าด้านในมีอะไรไม่ใช่เหรอ ลองเปิดดูมั้ยล่ะ”

จี้เล่อสุ่ยหน้าแข็งทื่อ

หลินปั้นซย่าอยากช่วยกู้หน้าให้จี้เล่อสุ่ย แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ซ่งชิงหลัวก็ทำมือบอกไม่ให้เขาพูด

หีบนี้ใบไม่ใหญ่และไม่ได้ล็อกกุญแจไว้ มีสลักล็อกที่ดึงออกง่ายมากตัวหนึ่งติดอยู่เท่านั้น เพียงยื่นมือสะกิดก็สามารถเปิดหีบนี้ได้ทันที จี้เล่อสุ่ยสงสัยจริงๆ ว่าด้านในนี้เก็บอะไรไว้อยู่ แต่ไม่รู้ทำไม ตอนที่มือเขาสัมผัสโดนหีบ ก็รู้สึกถึงความหนาวที่ซึมซาบเข้าไขกระดูก ราวกับถูกจับจ้องจากสัตว์ป่าน่ากลัวบางชนิด

จี้เล่อสุ่ยลองหลายครั้งแต่ท้ายสุดก็ไม่อาจเปิดหีบออก สัญชาตญาณบางอย่างของมนุษย์สั่งให้เขาหยุดการกระทำลง ปลายนิ้วของเขาไล้ผ่านและสัมผัสโดนผิวด้านนอกของหีบที่อ่อนนุ่ม แต่เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องสลักล็อกให้แปดเปื้อนแม้แต่วินาทีเดียว เสมือนว่าหีบตรงหน้านี้ไม่ใช่หีบแต่เป็นกล่องแพนโดร่า ที่เพียงแค่เปิดออกตนก็จะตกสู่พรมแดนที่ไม่อาจหวนคืน

หยาดเหงื่อเย็นเยียบปกคลุมไปทั่วใบหน้าของจี้เล่อสุ่ยโดยไม่รู้สึกตัว ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ หันไปหาหลินปั้นซย่า ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ

หลินปั้นซย่าเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ “เล่อสุ่ย? นายโอเคหรือเปล่า”

จี้เล่อสุ่ยฝืนยิ้ม “คือ…ฉันไม่เปิดมันดีกว่า ยังไงก็เป็นของส่วนตัวของคุณซ่ง ให้เปิดแบบนี้มันก็…”

ซ่งชิงหลัวเอ่ยขึ้น “คุณชื่อหลินปั้นซย่าใช่มั้ย คุณกล้าเปิดหรือเปล่า”

“เปิด? หีบนี้น่ะเหรอ” ระหว่างที่พูดหลินปั้นซย่าก็ยื่นมือไปทางหีบนั้น ทว่าทันทีที่มือสัมผัสสลักล็อก เสียงร้องอย่างหวาดกลัวของจี้เล่อสุ่ยก็ดังขึ้นข้างๆ จากนั้นจี้เล่อสุ่ยก็ยื่นมือไปดึงมือที่กำลังจะดึงสลักของหลินปั้นซย่าไว้ทันที

“ไม่ได้ๆ เปิดไม่ได้นะ ปั้นซย่า เปิดไม่ได้นะ…”

หลินปั้นซย่าสะดุ้งตกใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของจี้เล่อสุ่ย

ทว่าสีหน้าของซ่งชิงหลัวกลับไม่เปลี่ยนเลย ราวกับว่าการตอบสนองนี้ของจี้เล่อสุ่ยอยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว เขาล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้จี้เล่อสุ่ย “ทอยสักตา?”

จิตใจจี้เล่อสุ่ยสับสนยุ่งเหยิงเล็กน้อย หลังจากรับของในมือซ่งชิงหลัวมา ถึงพบว่ามันเป็นลูกเต๋าสองลูกที่มีลักษณะพิเศษต่างจากลูกเต๋าหกหน้าทั่วๆ ไป ลูกเต๋านี้มีทั้งหมดสิบหน้า ลูกหนึ่งดำ ลูกหนึ่งขาว เหมือนกับลูกตาสองลูกนอนสงบแน่นิ่งอยู่กลางฝ่ามือจี้เล่อสุ่ย

จี้เล่อสุ่ยเอ่ยถาม “ทอย…ทอยยังไง”

ซ่งชิงหลัวบอกว่า “โยนลงบนโต๊ะ”

จี้เล่อสุ่ยกลืนน้ำลาย จากนั้นก็โยนลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ลูกเต๋ากลิ้งขลุกๆ หมุนวนอยู่บนโต๊ะหลายรอบ สุดท้ายก็หยุดแน่นิ่งที่กลางโต๊ะ หน้าลูกเต๋าสีดำคือหก ลูกเต๋าสีขาวคือเก้า

“ทอยอีกที” ซ่งชิงหลัวเอ่ยจบก็ยื่นลูกเต๋าให้จี้เล่อสุ่ยอีกครั้ง

จี้เล่อสุ่ยงงเล็กน้อยแต่ก็ยังทำตามคำของซ่งชิงหลัวอยู่ดี เขาทอยเต๋าใหม่อีกครั้ง แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือเมื่อลูกเต๋าทั้งสองลูกหยุดหมุนอยู่บนโต๊ะ ตัวเลขกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงเป็นลูกเต๋าสีดำที่ได้หกแต้ม ลูกเต๋าสีขาวเก้าแต้ม

จี้เล่อสุ่ยมองอึ้ง เอ่ยตะกุกตะกัก “คุณซ่ง ลูกเต๋าของคุณมีปัญหาหรือเปล่า”

ซ่งชิงหลัวไม่ตอบ ชี้หลินปั้นซย่า บอกให้เขามาลองทอยด้วยเช่นกัน

หลินปั้นซย่า “อ้อ” รับคำ ทอยลูกเต๋าเหมือนกับจี้เล่อสุ่ย แต่ใครเลยจะรู้ว่าเมื่อลูกเต๋ามาอยู่ในมือเขาแล้วกลับผิดปกติขึ้นมา มันราวกับหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลก หมุนวนไม่หยุด ตั้งแต่เริ่มก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด

จี้เล่อสุ่ยมองดูแล้วก็ขนลุกขนชันทั้งตัว แม้แต่สายตาที่มองไปยังซ่งชิงหลัวยังมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

แล้วซ่งชิงหลัวก็เก็บลูกเต๋ากลับมา เอ่ยกับจี้เล่อสุ่ยว่า “ยังดีที่ไม่ใช่หนึ่งร้อย”

“หนึ่งร้อย? หมายความว่าไง” จี้เล่อสุ่ยไม่เข้าใจแน่นอน

“ลูกเต๋าสีดำคือเลขหลักหน่วย ลูกเต๋าสีขาวคือเลขหลักสิบ เลขพวกนี้ก็คือระดับที่จิตใจได้รับการปนเปื้อนของคุณ” ซ่งชิงหลัวโยนลูกเต๋าใส่กระเป๋าตัวเองและเอ่ยต่อ “คนธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากเห็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจเข้าใจได้แล้ว จิตใจจะเกิดความยุ่งเหยิง ยิ่งค่าตัวเลขสูง ความยุ่งเหยิงก็จะยิ่งร้ายแรง ของคุณคือเก้าสิบหก อีกสี่แต้มก็จะเต็มแล้ว”

จี้เล่อสุ่ยจึงถามว่า “แล้วเขาล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับเขา” เขาชี้ไปที่หลินปั้นซย่า เพื่อนสนิทของตน

หลินปั้นซย่านั่งเป็นเด็กดีอยู่ข้างๆ สองมือวางบนเข่า พอถูกจี้เล่อสุ่ยชี้ก็เผยสีหน้าไร้เดียงสาออกมา

ซ่งชิงหลัวเหลือบมองหลินปั้นซย่า “เขาเป็นคนกลุ่มพิเศษ เห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ อันที่จริงคนประเภทนี้มีไม่น้อย ปกติเราเรียกพวกเขาว่า…”

จี้เล่อสุ่ยถามต่อทันที “อะไร เรียกว่าอะไร”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “ผู้บกพร่องทางสติปัญญา”

จี้เล่อสุ่ย “…”

ซ่งชิงหลัวเอ่ยอีก “หรือที่รู้จักกันว่าปัญญาอ่อน”

จี้เล่อสุ่ย “…”

หลินปั้นซย่า “…” นี่ก็แรงไปหน่อยไหม ฉันก็แค่ตอบสนองช้าไปหน่อย ไหงกลายเป็นผู้บกพร่องทางสติปัญญาไปได้ล่ะเนี่ย

“ยิ่งคนที่มีจิตสัมผัสวิญญาณสูงก็ยิ่งมองเห็นปรากฏการณ์ประหลาดได้ ยิ่งมองเห็นได้มากกว่าก็จะยิ่งคลุ้มคลั่งได้ง่ายขึ้นไปอีก” ลูกเต๋าสองลูกนั้นหมุนอยู่กลางหว่างนิ้วของซ่งชิงหลัว ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย “โดยปกติแล้วจิตสัมผัสวิญญาณมีความเกี่ยวข้องกับสติปัญญา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า…”

เขาเหลือบมองหลินปั้นซย่า ไม่รู้ทำไมหลินปั้นซย่ากลับเห็นรอยยิ้มที่มีทั้งความเห็นอกเห็นใจและความแล้งน้ำใจจากสายตาของเขา

จี้เล่อสุ่ยหันไปทางเพื่อนสนิทอย่างให้ความร่วมมือทันที กล่าวด้วยความรวดร้าว “หลินปั้นซย่า นายปิดบังกันแบบนี้ฉันเจ็บปวดใจนะ ฉันอยู่กับนายมาตั้งหลายปี ไม่นึกว่านายจะแอบปัญญาอ่อนลับหลังฉัน”

หลินปั้นซย่าแสร้งยิ้ม “พอได้แล้วมั้ง”

จี้เล่อสุ่ยไอแห้งๆ สองสามทีและข่มกลั้นรอยยิ้มไว้

หลินปั้นซย่าเอ่ยต่อว่า “คุณซ่งครับ โอเค ตอนนี้พวกเราก็รู้แล้วว่าเพื่อนของผมได้รับการปนเปื้อนอย่างรุนแรง เรื่องที่ว่าผมมันปัญญาอ่อนก็ความแตกออกมาแล้ว งั้นคุณช่วยบอกวิธีแก้ไขกับพวกเราหน่อยได้มั้ย”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “จริงๆ ก็มีวิธีอยู่”

“อย่างเช่น?”

“อย่างเช่นการย้ายบ้าน”

“แต่คุณบอกเองว่าถึงย้ายไปก็หนีไม่พ้นไม่ใช่เหรอครับ” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างประหลาดใจ เขาจำคำแนะนำที่ซ่งชิงหลัวเคยให้ไว้ตอนเขามาเยี่ยมเยือนบ้านนี้ครั้งแรกได้อย่างแจ่มชัด

ซ่งชิงหลัวกล่าว “ถ้าย้ายตามใจชอบก็ไม่ได้ผลแน่นอน”

หลินปั้นซย่าถามต่อ “งั้นต้องย้ายไปที่ไหน”

ซ่งชิงหลัวชี้ห้องของตัวเอง

จี้เล่อสุ่ยเอ่ยเสียงหลงทันที “อะไรนะ ต้องมาอยู่กับคุณเหรอ แต่ผมมีแฟนแล้วนะ”

หลินปั้นซย่าพูดขึ้น “ว่าไงนะ นายมีแฟนแล้ว? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“นายยอมให้คนบอกว่าตัวเองปัญญาอ่อนได้ แต่ไม่ยอมให้ฉันมีแฟนอะนะ?”

หลินปั้นซย่าโมโหจนแค่นหัวเราะ เขาถลกแขนเสื้อขึ้น “จี้เล่อสุ่ย ไอ้คนเหยียบจมูกขึ้นหน้า วันนี้เหล่าจื่อ จะทุบนายให้หัวแบะเลย…”

จี้เล่อสุ่ยรีบขอโทษอย่างจริงใจทันใด อ้างว่าไม่ใช่เขาไม่อยากบอก แต่เป็นเพราะเรื่องมันกะทันหันเกินไป ยังหาโอกาสบอกไม่ได้ จากนั้นก็หันไปหาซ่งชิงหลัวอย่างกระดากอาย กล่าวต่อว่า “คุณซ่ง อยู่ๆ ก็ต้องอาศัยที่เดียวกัน มันจะฉุกละหุกเกินไปหน่อยหรือเปล่า”

ซ่งชิงหลัวตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครบอกว่าจะอยู่กับคุณ ผมแค่บอกว่าย้ายมาอยู่แล้วจะมีวิธี แต่ผมอนุญาตให้คุณย้ายเข้ามาแล้วเหรอ”

“หา? ทำไมอย่างนั้นล่ะ” แต่จี้เล่อสุ่ยตอบสนองได้ไวมาก คิดสิ่งอื่นได้ทันที ก่อนจะเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา “คุณซ่งครับ คุณซ่ง ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนบุญสูงกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดองค์เสียอีก คุณดูสิ สองสามวันมานี้ผมถูกหลอกจนแทบเป็นบ้าแล้ว คุณก็เมตตากันเถอะนะ ช่วยผมหน่อย คุณขออะไรมาผมจะยอมรับข้อเสนอหมดเลย ตกลงมั้ย คุณดูเพื่อนสนิทผมสิ กว่าจะเรียนจบใช้เงินเก็บทั้งหมดซื้อห้องนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย สุดท้ายกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นคนปกติขยันขันแข็งหน่อยก็ผ่านไปได้แล้ว แต่กับเขาน่ะถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็ไม่เอานี่นา”

หลินปั้นซย่า “…” จี้เล่อสุ่ย ทำไมไอ้สารเลวนี่ถึงได้ขายเพื่อนเก่งนักนะ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 03 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com