everY
ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 7 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
ห้อง 1303 (7)
คงเป็นเพราะซ่งชิงหลัวให้ความหวังแก่จี้เล่อสุ่ยว่าจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ สภาพจิตใจของจี้เล่อสุ่ยจึงดีขึ้นมากในทันใด ตัวเขามีชีวิตชีวาขึ้นแล้ว และกำลังจ้องซ่งชิงหลัวตาเป็นประกายจนตัวอีกฝ่ายแทบจะเป็นรู
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาร้อนแรงของจี้เล่อสุ่ย ซ่งชิงหลัวก็ยังแสดงท่าทีเย็นชาตามเดิม เขาบอกว่าจี้เล่อสุ่ยสามารถมาอยู่ที่นี่ได้ แต่ห้องนี้ต้องให้จี้เล่อสุ่ยอยู่ได้คนเดียวเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างที่จี้เล่อสุ่ยพักฟื้นสภาพจิตใจ เขาก็ต้องไปอยู่ห้องข้างๆ ก่อน
จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “สรุปแล้ว ความหมายของคุณก็คือพวกเราสองคนต้องสลับที่อยู่กัน ผมมาอยู่นี่ คุณไปอยู่ข้างๆ เหรอ”
ซ่งชิงหลัวบอกว่า “ถูก”
“แต่ทำไมแค่ผมมาอยู่ที่นี่คนเดียวก็ได้ผลแล้วล่ะ” จี้เล่อสุ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ถ้าคุณไม่อยากบอก ผมก็ไม่ดึงดัน…”
ซ่งชิงหลัวเหลือบมองเขา พ่นออกมาสี่คำ “ต้านพิษด้วยพิษ”
จี้เล่อสุ่ย “…” ถึงจะฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะร้ายกาจมาก
หลินปั้นซย่าที่อยู่ข้างๆ ก็พอจะรู้สึกได้เช่นกัน เขามองดูรอบๆ หีบที่วางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนเอ่ยด้วยความรอบคอบ “คุณซ่ง…ถ้าจี้เล่อสุ่ยเผลอไปเปิดหีบเข้าล่ะ…?”
ซ่งชิงหลัวกล่าว “ให้เขากลับไปกินข้าวที่บ้าน หรือจะให้คนทั้งหมู่บ้านมากินข้าวบ้านเขา”
จี้เล่อสุ่ย “…”
หลินปั้นซย่า “…” คุณนี่ก็มีอารมณ์ขันอยู่หน่อยๆ นะเนี่ย
จี้เล่อสุ่ยประสบกับเรื่องที่เหนือกว่าความเข้าใจมาขนาดนี้ แม้ไม่รู้ว่าวิธีของซ่งชิงหลัวจะใช้ได้จริงหรือไม่ แต่ก็ทำได้แค่รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น เท่านั้น เขาไม่อยากเห็นภาพน่ากลัวพวกนั้นอีกแล้ว และไม่อยากเอาตัวเองไปขังไว้ในตู้เสื้อผ้ามืดสนิทนั่นอีกด้วย
ถึงจะพูดแบบนั้น หากให้เขาอยู่ในห้องนี้คนเดียวจริงๆ ก็น่าหวาดหวั่นนิดหน่อย ด้วยเหตุนี้จี้เล่อสุ่ยจึงทอดแววตาขอความช่วยเหลือไปหารูมเมต หลินปั้นซย่ากำลังจะเอ่ยปากถามซ่งชิงหลัวว่าสามารถอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ไหม ก็ได้ยินซ่งชิงหลัวพูด “มีคนอื่นอยู่ด้วยจะไม่ได้ผล”
“นั่นสินะ” หลินปั้นซย่าแสดงความเสียดายออกมา
เดิมจี้เล่อสุ่ยอยากลองดึงดันดูสักหน่อย แต่เห็นว่าซ่งชิงหลัวไม่เหมือนคนที่จะคุยต่อรองด้วยได้ง่ายๆ จึงได้แต่ยินยอมอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซ่งชิงหลัวเป็นคนตรงไปตรงมา หลังจากสรุปแน่นอนแล้วว่าจี้เล่อสุ่ยจะย้ายมา ก็แจ้งกติกาของห้องนี้ไปรอบหนึ่ง จริงๆ แล้วกติกานั้นง่ายมาก แค่ไม่เคลื่อนย้ายของที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมดในห้อง เข้านอนอย่างว่าง่าย ไปทำงานเลิกงานอย่างว่าง่ายทุกวันก็โอเคแล้ว แต่เขาก็ยังกำชับจี้เล่อสุ่ยอย่างเน้นย้ำอีกว่าห้ามเปิดประตูห้องครัว และอย่าเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องนั่งเล่น
จี้เล่อสุ่ยถามอย่างถ่อมตนว่าหากเผลอไปเปิดจะเป็นอย่างไร
ซ่งชิงหลัวตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ไปไม่กี่คำ “มีชีวิตอยู่มันไม่ดีหรือไง”
จี้เล่อสุ่ยหุบปากฉับทันที
หลินปั้นซย่ารู้ว่าเวลานี้จี้เล่อสุ่ยหวาดกลัวบ้านของตน จึงไปช่วยย้ายกระเป๋าสัมภาระมาให้อย่างเอาใจใส่ จี้เล่อสุ่ยที่นั่งอยู่ในห้องมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก เอ่ยถามซ่งชิงหลัวเสียงเบาว่ามีของอะไรที่ต้องเก็บไหม ซ่งชิงหลัวตอบเสียงราบเรียบว่าเขาไม่ได้กลัวที่จะต้องกลับบ้านตัวเองสักหน่อย จำเป็นต้องใช้อะไรเขาแค่เข้ามาหยิบก็ได้แล้ว พร้อมบอกให้จี้เล่อสุ่ยไม่ต้องกังวลใจ
จริงๆ แล้วเมื่อคืนจี้เล่อสุ่ยนอนหลับไม่ค่อยสนิท ตอนนี้จึงง่วงงุนเล็กน้อย นั่งหาวหวอดอยู่บนโซฟา ซ่งชิงหลัวเห็นก็ให้เขาไปนอนในห้องพักแขกได้เลย ทั้งยังกล่าวว่าลองไปอยู่จริงล่วงหน้าสักหน่อย จี้เล่อสุ่ยคิดแล้วก็เห็นด้วย ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ยังมีโอกาสให้เปลี่ยนใจ ถ้าหากค่ำแล้วยังเจอเรื่องอะไรอีก เช่นนั้นก็หนีไม่พ้นแล้วจริงๆ เขาไปที่ห้องพักแขก หลังจากปูฟูกกับผ้าห่มลวกๆ ก็ทิ้งตัวลงนอนหลับไป
หลังจากเขานอนแล้ว เพื่อเป็นการผูกมิตรกับเจ้าของบ้าน หลินปั้นซย่าจึงออกปากเชิญซ่งชิงหลัวไปที่บ้านของตน แล้วยังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนซึ่งเคยใช้งานไปก่อนหน้านี้แล้วให้อย่างกระตือรือร้น ด้วยกลัวว่าซ่งชิงหลัวจะรังเกียจ
โชคดีที่แม้ซ่งชิงหลัวคนนี้จะดูเย็นชา แต่อันที่จริงก็เข้าหาง่ายไม่น้อย
หลินปั้นซย่าชงกาแฟแก้วหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้าเขา นัยน์ตาของซ่งชิงหลัวที่หลุบอยู่เล็กน้อยช้อนขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือหลินปั้นซย่าก็ส่ายหน้า “ผมไม่ดื่มเจ้านี่”
“อ้อ งั้นดื่มอะไรเหรอ บ้านผมมีนม ชา” หลินปั้นซย่าลังเลครู่หนึ่ง “แล้วก็โคล่า”
ซ่งชิงหลัวไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “โคล่า”
หลินปั้นซย่าอึ้งไปและคิดในใจว่า ลูกพี่ น้ำแห่งความสุขของเด็กอ้วนติดบ้านนี่ดูไม่เข้ากันกับนิสัยลึกลับของคุณเลยนะ แต่เขาก็ยังไปรินโคล่าใส่แก้วให้อย่างว่าง่ายอยู่ดี แล้วยื่นไปตรงหน้าซ่งชิงหลัว
ซ่งชิงหลัวรับแก้วมาดื่มไปอึกหนึ่ง แต่กลับนิ่วหน้าเบาๆ
หลินปั้นซย่ารีบถาม “ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ”
ซ่งชิงหลัววางแก้วลง เอ่ยอย่างไม่แยแส “นี่มันโคล่าไม่มีน้ำตาล”
หลินปั้นซย่า “…” อ๋อ ที่แท้ก็ไม่ชอบที่หวานไม่พอนี่เอง เขาเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “อืม…ผมไม่ชอบของหวานเกินไป ในบ้านมีแต่โคล่าน้ำตาลศูนย์เปอร์เซ็นต์”
“งั้นช่างเถอะ” ซ่งชิงหลัวเหลือบมองแก้วอย่างไม่พอใจ อย่างกับว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นไม่ใช่โคล่า แต่เป็นเครื่องดื่มของสัตว์ประหลาด
หลินปั้นซย่าทำงานหนึ่งวันหยุดหนึ่งวัน เมื่อวานทำงานไปแล้ว วันนี้ก็ได้หยุดพัก เพียงแต่เมื่อคืนวุ่นวายมาทั้งคืน เขานอนหลับไม่สนิทนักตอนนี้ก็เลยเริ่มง่วงแล้ว เขาบอกซ่งชิงหลัว จากนั้นหลินปั้นซย่าก็ไปนอนในห้อง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พระอาทิตย์ก็ย้ายไปอยู่ทิศตะวันตกแล้ว
หลินปั้นซย่าเดินช้าๆ ออกมาก็เห็นซ่งชิงหลัวนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น เมื่อมองดูจากมุมของหลินปั้นซย่าแล้ว ก็เห็นใบหน้าด้านข้างของซ่งชิงหลัวอย่างพอดิบพอดี
ไม่พูดถึงคงไม่ได้ หน้าตาของซ่งชิงหลัวช่างไร้ที่ติจริงๆ เครื่องหน้าของเขามีมิติอย่างมาก สันจมูกตั้งโด่ง ริมฝีปากก็มีมุมหยักเด่นชัด และเพราะผิวที่ขาวเกินไปจึงทำให้สีปากดูแดงเป็นพิเศษ อีกทั้งขนตาที่ยาวและงอนนั่น ตอนนี้มันกำลังหลุบลงมาเล็กน้อยอย่างเกียจคร้าน ดูท่าเจ้าของขนตานี้กำลังพักผ่อนอยู่
หลินปั้นซย่าเบาฝีเท้าอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังทำให้ซ่งชิงหลัวที่กำลังพักผ่อนอยู่ตื่นขึ้นมาอยู่ดี เขาหันหน้ามองหลินปั้นซย่า ร่างกายค่อยๆ ขยับย้ายไปสุดฝั่งโซฟา หลินปั้นซย่าเห็นท่าทีดังกล่าวก็เดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่งหนึ่ง เอ่ยปากพูดคุยกับซ่งชิงหลัวไปเรื่อยเปื่อย บางครั้งซ่งชิงหลัวก็ตอบบ้างประโยคสองประโยค บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ยังนับว่าเข้ากันได้ดี จนกระทั่งหลินปั้นซย่าถามขึ้นมาว่าหีบที่เขาอยากให้จี้เล่อสุ่ยเปิดมีอะไรอยู่ข้างใน
“ในหีบพวกนั้นไม่ได้ใส่อะไรอันตรายไว้ใช่มั้ย ผมกลัวว่าหากเล่อสุ่ยเกิดมือบอนขึ้นมา…” หลินปั้นซย่ากล่าว ความช่างสงสัยของคนเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมหันต์ ยิ่งห้ามไม่ให้คนคนหนึ่งทำอะไร เขาก็อาจจะยิ่งห้ามใจไม่ได้
“ไม่เป็นไร เขาเปิดไม่ออกหรอก” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “อันไหนเปิดออกก็เป็นอันที่เปิดได้หมด” เขาเท้าคาง ทำท่าทางเกียจคร้านเอ่ยเสียงเบา “ผมไม่สะเพร่าถึงขนาดทำคนตายโดยไม่ได้ตั้งใจหรอก”
“จริงสิ หุ่นที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ล่ะ?” จู่ๆ หลินปั้นซย่าก็นึกขึ้นได้ เมื่อกลับมาฉุกใจนึกขึ้นได้แล้ว หุ่นนั่นก็น่าตกใจไม่น้อย แค่นี้จี้เล่อสุ่ยก็ตกใจกลัวจนหัวหดอยู่แล้ว ถ้าถูกทำให้ตกใจอีกไม่กี่ครั้ง เขาก็กลัวจริงๆ ว่าจี้เล่อสุ่ยจะตรงเข้าโรงพยาบาลจิตเวชไปทั้งอย่างนั้นเลย
ซ่งชิงหลัวลังเลไปครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงเอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
หลินปั้นซย่าเหลือบมองเขาด้วยความสงสัยปนระแวง
ซ่งชิงหลัวรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อยเพราะสายตาที่หลินปั้นซย่ามองมา เสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเดิมจนเกือบจะไม่ได้ยิน แต่หลินปั้นซย่าก็ยังจับใจความได้ ซ่งชิงหลัวเอ่ยเบาแสนเบาหนึ่งประโยค “ไม่ตายหรอก”
หลินปั้นซย่า “…” แค่ ‘ไม่ตายหรอก’ เหรอ?!!
ท่ามกลางสายตาประณามจากหลินปั้นซย่า ในที่สุดซ่งชิงหลัวก็เกิดมโนธรรมขึ้นมาในใจ “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าไปดูสักหน่อยดีกว่า”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วไปยังห้องข้างๆ
หลินปั้นซย่ารีบตามหลังเขาไปพลางถามว่าเขาเก็บหุ่นผู้หญิงนั่นไว้ที่ไหน ตอนแรกซ่งชิงหลัวไม่อยากตอบ จนกระทั่งหลินปั้นซย่าถามอีกหลายครั้งหลายครา เขาถึงเอ่ยตอบ “ใต้เตียง”
“…ใต้เตียงที่คุณนอน”
ซ่งชิงหลัวตีหน้าซื่อ “คุณล้อเล่นหรือเปล่า ผมไม่ใช่โรคจิตสักหน่อย จะเอาไปเก็บไว้ใต้เตียงที่ตัวเองนอนได้ยังไง ก็ต้องเป็นห้องพักแขกอยู่แล้วสิ”
อ๋อ ที่แท้ก็ห้องพักแขก ถ้าอย่างนั้นก็ดีจริงๆ…ดีกับผีสิ!!! ห้องที่เจ้าดวงซวยจี้เล่อสุ่ยนอนอยู่นั่นมันห้องพักแขกไม่ใช่เหรอ!!! ขอล่ะ อย่าตื่นมาเห็นหัวของหุ่นผู้หญิงนั่นกลิ้งไปข้างเตียง แล้วตกใจจนวิญญาณหลุดจากร่างเลยนะ!!!
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสยอง หลินปั้นซย่ารีบเร่งฝีเท้าทันที
ก๊อกๆๆ
เคาะประตูไปหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากจี้เล่อสุ่ย หลินปั้นซย่าบอกให้ซ่งชิงหลัวล้วงกุญแจออกมาอย่างร้อนรน
ซ่งชิงหลัวเปิดประตูพลางเอ่ยกับหลินปั้นซย่า “เขาคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก”
หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างสิ้นหวัง “ถ้าไม่ซวย เขาก็คงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก”
“…ก็จริง”
ทันทีที่ประตูเปิดออก หลินปั้นซย่าก็กระวีกระวาดผลักประตูเข้าไปในห้อง เดิมเขาอยากพุ่งตรงไปห้องนอนเลย แต่ทันทีที่มาถึงห้องนั่งเล่นก็เห็นว่าบนโซฟามีคนคนหนึ่งนั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่ บนร่างของคนนั้นสวมชุดแต่งงานแบบที่หลินปั้นซย่าเห็นก่อนหน้านี้ ผมยาวแผ่สยายอยู่บนโซฟา น่าจะเป็นหุ่นพลาสติกที่หลินปั้นซย่าเห็นในวันนั้น
เจ้าดวงซวยเห็นหุ่นพลาสติกนี่แล้วจริงๆ ด้วย! หัวใจหลินปั้นซย่าบีบรัด พุ่งเข้าไปในห้องนอนทันที ซ้ำปากยังพร่ำเรียกชื่อของจี้เล่อสุ่ยไม่หยุด
แต่เมื่อเขาเข้าไปในห้องนอนกลับไม่เจอตัวจี้เล่อสุ่ยเลย เห็นเพียงฟูกนอนยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ หลินปั้นซย่าตกใจมากจนตะโกนลั่น “แย่แล้ว!! จี้เล่อสุ่ยหายไป!!!”
ซ่งชิงหลัวที่ยืนอยู่ด้านนอกสบตากับหลินปั้นซย่าพอดี นัยน์ตาของเขาสับสนมาก หลินปั้นซย่ายังไม่ทันได้ทำความเข้าใจก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบา “ไม่ได้หาย”
“หา? แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ”
ซ่งชิงหลัวบอกว่า “ก็อยู่ตรงหน้าคุณไม่ใช่เหรอ”
หลินปั้นซย่าหันมองโดยรอบกลับไม่เห็นแม้แต่คนเดียว นอกจากหุ่นพลาสติกที่สวมชุดแต่งงานนั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่บนโซฟา…เดี๋ยว หุ่นพลาสติก? หลินปั้นซย่าตระหนักขึ้นมาทันที ก้าวฉับๆ ไปตรงหน้าหุ่นผู้หญิงและก้มหน้ามอง! เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าของหุ่นผู้หญิงกลายเป็นใบหน้าของจี้เล่อสุ่ยไปแล้ว
จี้เล่อสุ่ยในตอนนี้เป็นเหมือนหุ่นพลาสติกก็มิปาน มองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายของเขาแข็งทื่อ คล้ายสูญเสียความอ่อนนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของร่างกายมนุษย์แล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลาสติกแข็งกระด้าง
หลินปั้นซย่าเห็นภาพนี้ก็ตกใจ เรียกชื่อจี้เล่อสุ่ยไม่หยุด แต่เจ้าตัวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เลย เขาเอื้อมมือไปหิ้วคอจี้เล่อสุ่ยขึ้น เขย่าโคลงไปมาแรงๆ เพื่อปลุกให้ตื่นจากสภาพแข็งทื่อนี้ แต่จี้เล่อสุ่ยก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนเช่นเคย ดวงตาเบิกค้าง ไม่มีแม้แต่การกะพริบตา หลินปั้นซย่ายื่นมือไปหยิกหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ใบหน้าของจี้เล่อสุ่ยไร้ซึ่งอุณหภูมิใดๆ เย็บเฉียบจนน่ากลัว แต่ดีที่ยังเป็นผิวหนังของมนุษย์อยู่ ไม่ใช่ผิวพลาสติก
“คุณซ่ง เขาเป็นอะไรไปน่ะ” หลินปั้นซย่าเห็นว่าตนปลุกจี้เล่อสุ่ยไม่ตื่น จึงรีบเงยหน้าขอความช่วยเหลือจากซ่งชิงหลัว
“อย่าร้อนใจไป” ซ่งชิงหลัวเอ่ยอย่างใจเย็น “คุณหาดูก่อนว่าหุ่นพลาสติกนั่นอยู่ที่ไหน เธอออกไปจากห้องนี้ไม่ได้หรอก”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงเสาะหาตามห้องนอน
หลินปั้นซย่ากระสับกระส่าย ไปหาในห้องนอนก่อนรอบหนึ่ง ค้นตู้เสื้อผ้าจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหุ่นพลาสติกนั่น เขากำลังก้มหมอบโก่งก้นกับพื้นเพื่อหาว่าใต้เตียงซ่อนอะไรไว้หรือไม่ ทว่ากลับรู้สึกเย็นๆ ที่หลังคอเพราะมีบางสิ่งที่เย็นเยียบหล่นลงมาบนช่วงบ่าเขา
หลินปั้นซย่าเอื้อมมือไปลูบ แต่กลับสัมผัสโดนเส้นผมสีดำหลายเส้น เขาเริ่มตระหนักถึงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วก็ได้เห็นหุ่นผู้หญิงนั่นเกาะอยู่บนเพดานด้วยท่าทางพิสดาร ลำตัวของเธอหันหลังให้หลินปั้นซย่า แต่ศีรษะกลับหมุนร้อยแปดสิบองศาแบบที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ นัยน์ตาดำขลับจดจ้องมาที่เขาอย่างบูดบึ้ง
หลินปั้นซย่าลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
หุ่นพลาสติกเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขาก็คิดว่าเขากลัว ริมฝีปากแต้มสีแดงแต่งหน้าจัดเต็มยกโค้งเป็นรัศมีที่แปลกประหลาด ทว่ารัศมีนี้คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเธอเห็นหลินปั้นซย่ากลับมา คราวนี้ในมือเขามีไม้สอยผ้าหนาๆ แท่งหนึ่งเพิ่มมาด้วย
ซ่งชิงหลัวตามหลังหลินปั้นซย่าเข้ามา ถามว่าเขาเอาไม้สอยผ้ามาทำอะไร
หลินปั้นซย่ายกไม้สอยผ้าขึ้น ชี้เหนือศีรษะของตนเอง “หุ่นผู้หญิงนั่นอยู่บนหัวน่ะ ผมจะกระทุ้งเธอลงมา”
“…” ซ่งชิงหลัวเงยหน้าขึ้นช้าๆ และได้เห็นเช่นกันว่าหุ่นพลาสติกของตนเกาะหนึบอยู่บนเพดานอย่างกับแมงมุม ถ้าคนทั่วไปมาเห็นภาพนี้คงตกใจจนบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น แต่หลินปั้นซย่ากลับเมินเฉยต่อความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว แล้วยังคิดหาทางแก้ไขได้ด้วย นี่เขาเก็บสมบัติได้จริงๆ สินะ
ด้วยเหตุนี้ซ่งชิงหลัวจึงไม่เอ่ยอะไรมาก แล้วทำท่าผายมือเชิญหลินปั้นซย่า
หลินปั้นซย่าถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือใช้ไม้สอยผ้ากระทุ้งมั่วๆ ไปยกหนึ่ง สุดท้ายแล้วหุ่นผู้หญิงนั่นก็เป็นเพียงพลาสติก ไม่ได้เกาะเหนียวหนึบอย่างแมงมุม ไม่นานก็ถูกหลินปั้นซย่ากระทุ้งจนตกลงมา ร่างของเธอตกลงบนพื้นและส่งเสียงดังขึ้น เดิมทีหลินปั้นซย่ายังคิดจะอุ้มเธอไปห้องนั่งเล่น แต่ใครเลยจะรู้ว่าเอื้อมมือไปแล้วกลับยกตัวเธอไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาต้องประหลาดใจที่หุ่นพลาสติกที่เดิมทีควรจะตัวเบาหวิวกลับหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าก้อนหิน เขาออกแรงสุดตัว เธอดันไม่ขยับเขยื้อนเลยสักกระผีกเดียว
“ผมทำเอง” ซ่งชิงหลัวเอ่ยเสียงเบา
คุณจะทำได้เหรอ ตอนแรกหลินปั้นซย่าอยากเอ่ยถาม แม้ซ่งชิงหลัวคนนี้จะสูงกว่าเขา แต่รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่เลย ดูเผินๆ กลับค่อนข้างจะผอมแห้งด้วยซ้ำ อีกฝ่ายถกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นสีผิวที่ขาวราวกับกระเบื้องเซรามิกขาวก็มิปาน ท่อนแขนเรียวยาวเหยียดตรง ก้มตัวลง ไม่ต้องออกแรงมากมายก็อุ้มหุ่นผู้หญิงนั่นขึ้นมาได้ เพียงแต่เขาดูรังเกียจของในมือตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้อุ้มขึ้นท่าเจ้าหญิง แต่คว้าไหล่ของหุ่นผู้หญิงแล้วลากไปไว้บนโซฟาห้องนั่งเล่นราวกับลากกระสอบทรายอย่างไรอย่างนั้น
หลินปั้นซย่าเดินตามหลังอย่างว่าง่ายแล้วถามว่าต้องทำยังไงต่อ
“ไปที่ตู้เสื้อผ้าในห้องนั่งเล่นผม หาชุดกระโปรงมาให้เธอสักชุดหนึ่ง” ซ่งชิงหลัวเอ่ยเสียงราบเรียบ
ตอนนี้บนตัวของหุ่นสวมเพียงเสื้อตัวในง่ายๆ หลินปั้นซย่าไม่คิดอะไรมาก ไปที่ห้องนั่งเล่นตามคำของซ่งชิงหลัว แล้วเลือกชุดนอนมาตัวหนึ่งแบบส่งเดช
“เปลี่ยนให้เธอ” ซ่งชิงหลัวเอ่ยต่อ
หลินปั้นซย่ากล่าว “นะ…นี่ทำเพื่ออะไรเหรอ”
“คุณเปลี่ยนชุดให้เธอแล้วเดี๋ยวก็รู้”
หลินปั้นซย่าได้แต่ทำตาม
หลังเปลี่ยนชุดแล้ว ซ่งชิงหลัวก็นำหุ่นผู้หญิงวางไว้ตรงหน้า ให้หุ่นนี้เข้าสู่ครรลองสายตาของจี้เล่อสุ่ย
พอเห็นหุ่นผู้หญิงนี้แล้ว จี้เล่อสุ่ยที่เดิมทีไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยก็เริ่มกะพริบตาช้าๆ ทันที หลังจากนั้นส่วนอื่นๆ ของใบหน้าก็ฟื้นฟูกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่ท่าทางการขยับมือของเขากลับทำให้หลินปั้นซย่าชะงักงันอยู่กับที่ เขาที่กลับมามีชีวิตชีวาแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอิ่มสุข ยื่นมือออกมาจับกระโปรงของหุ่นผู้หญิง แล้วใช้มือสัมผัสเนื้อผ้าของกระโปรงอย่างระวังมือพลางเอ่ยแบบใส่อารมณ์ “ผ้าไหมเหรอเนี่ย อยากลองดูบ้างจัง”
หลินปั้นซย่า “…”
ซ่งชิงหลัว “…”
บรรยากาศเงียบงันไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ซ่งชิงหลัวก็เอ่ยกับหลินปั้นซย่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “คุณจะเป็นคนทำหรือจะให้ผมทำ”
หลินปั้นซย่าเอ่ยตะกุกตะกัก “ทะ…ทำอะไร”
ซ่งชิงหลัวกล่าว “ตบหน้าเขาสักสองที”
“ผมทำ! ผมทำเอง!”
ซ่งชิงหลัว “…”
ก่อนหลินปั้นซย่าจะลงมือก็พลันเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยถามไปอีกประโยค “ตบเสร็จเขาก็ตื่นเลยเหรอ”
ซ่งชิงหลัวเอ่ยไร้เยื่อใย “ตบเถอะ ตบสองฉาดแล้วยังไม่ตื่น ก็ตบอีกสองฉาด”
หลินปั้นซย่ามองสีหน้ามัวเมาของจี้เล่อสุ่ย เอ่ยในใจว่า เพื่อนเอ๋ย ฉันทำเพื่อนายนะ ให้ฉันตบยังไงก็ดีกว่าให้เพื่อนบ้านที่ไม่สนิทกันมาทำให้ร่างแข็งแกร่งของนายด่างพร้อยนะ อย่าโทษฉันล่ะ! คิดจบก็เพียะๆ ไปสองที แต่ใครจะรู้ว่าจี้เล่อสุ่ยกลับไม่แม้แต่จะหันมองเขา ยังคงจดจ้องเครื่องแต่งกายบนตัวหุ่นอย่างลุ่มหลงไม่ยอมละสายตา หลินปั้นซย่าเห็นท่าทีเช่นนี้ก็รีบตบไปอีกหลายฝ่ามือ จนกระทั่งลงฝ่ามือที่เจ็ดไปแล้ว ความลุ่มหลงในดวงตาของจี้เล่อสุ่ยถึงค่อยๆ จางลงไป สตินึกคิดค่อยๆ ฟื้นคืนช้าๆ
จี้เล่อสุ่ยมองหุ่นผู้หญิงตรงหน้าตนอย่างเหลอหลาแล้วหันไปมองหลินปั้นซย่า เอ่ยเสียงสะอื้นขึ้นจมูก “หลินปั้นซย่า นายตบฉันทำไม” เขาพูดพลางจะลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่าร่างตัวเองอยู่ในชุดแต่งงาน บนหัวยังสวมมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งด้วย เขาผงะทันใด “ไอ้เฮงซวย นายตบฉันไม่พอ ยังเอาฉันไปแต่งตัวเล่นอีกเหรอ นายมันโรคจิตจริงๆ”
หลินปั้นซย่าพูดว่า “นายยังมียางอายอยู่หรือเปล่า ตัวนายเองท่าทางเป็นยังไงรู้บ้างมั้ย”
จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “งั้นนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน”
ทั้งสองหันไปมองซ่งชิงหลัวอย่างพร้อมเพรียง
ซ่งชิงหลัวแบมือ บอกเป็นเชิงว่าตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง จากนั้นชี้ไปทางหุ่นผู้หญิง “เธอเป็นคนทำ”
จี้เล่อสุ่ยกล่าว “เหอะ อย่ามาหลอกผมเลย เธอก็แค่ก้อนพลาสติก จะช่วยผมเปลี่ยนชุดได้งั้นเหรอ”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ตอนนี้คุณเห็นกระโปรงที่เธอใส่แล้วรู้สึกยังไง”
จี้เล่อสุ่ยได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองหุ่น จ้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างลังเล “อยากถอดชุดเธอออกมา”
หลินปั้นซย่าฟังคำก็คิด เจ้าสุนัขเดียวดาย จี้เล่อสุ่ย กับหุ่นผู้หญิงยังไม่เว้น แล้วยังจะโกหกฉันว่ามีแฟนแล้วอีก ขณะกำลังจะเอ่ยด่าสักสองสามประโยค ก็ได้ยินเพื่อนสนิทของตนเองเสริมอีกประโยคด้วยความกระดากอาย
“ฉันสวมแล้วก็ดูเหมือนจะเหมาะอยู่นะ”
หลินปั้นซย่า “…”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “เห็นมั้ยล่ะ”
“หา? หมายความว่าไง หมายถึงเห็นเสื้อบนตัวหุ่นผู้หญิงนี่แล้ว ผมก็อยากสวมมันงั้นเหรอ” ในที่สุดจี้เล่อสุ่ยก็เข้าใจ
ซ่งชิงหลัวบอกว่า “ก็คงหมายความราวๆ นั้น”
จี้เล่อสุ่ยชะงักงัน จากนั้นปรบมือทีหนึ่ง เอ่ยอย่างยินดี “งั้นถ้าเอาหุ่นนี่ไปวางในห้างก็คงได้กำไรมากเลยไม่ใช่เหรอ”
หลินปั้นซย่า “…” นายนี่มันอัจฉริยะด้านการค้าจริงๆ
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ใช่ พวกเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” เขาตบศีรษะของหุ่นนั้นเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ผมก็เอาเธอมาจากในห้างนั่นแหละ”
เขานั่งลงบนโซฟาก่อนเล่าประวัติความเป็นมาของหุ่นผู้หญิงนี้
หุ่นผู้หญิงปรากฏขึ้นครั้งแรกที่ห้างใหม่ซึ่งเพิ่งเปิดทำการ ร้านเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเปลี่ยวเหงาแห่งหนึ่งซื้อหุ่นตัวนี้มา ตอนแรกร้านเสื้อผ้านั้นก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่นานวันเข้าก็พบว่าตราบใดที่มีลูกค้าเข้ามา ก็จะต้องรู้สึกชอบพอเสื้อผ้าที่หุ่นผู้หญิงตัวนี้สวมใส่ ซ้ำหากมีลูกค้าอยู่ในร้านเวลาเดียวกันหลายคน ก็มักจะมีปากเสียงกันเพราะต้องการซื้อชุดชุดนี้
พอเกิดการทะเลาะกันแบบนี้หลายครั้ง เจ้าของร้านก็เห็นโอกาสทำธุรกิจ เริ่มนำชุดที่ราคาแพงลิ่วเป็นพิเศษมาสวมให้หุ่นตัวนี้ หากจะบอกว่าเสื้อผ้าแบบไหนที่ราคาแพง คำตอบก็ต้องเป็นชุดเจ้าสาวแน่นอน ราคาของชุดหนึ่งก็มีตั้งแต่หลายแสนไปจนถึงหลายล้าน แล้วก็ขายเช่นนี้ไปทุกชุดๆ เจ้าของร้านก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
หุบเขาแห่งความโลภเติมอย่างไรก็ไม่เต็ม เจ้าของร้านที่ได้กำไรจนมือไม้อ่อน ไม่เคยรู้จักพอ เขาเริ่มเก็บรวบรวมชุดเจ้าสาวเก่าๆ อย่างมีไหวพริบ ไม่ว่าจะเป็นชุดแบบไหน เพียงแค่สวมมันไว้บนหุ่นผู้หญิงนี้ก็ต้องขายออกได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ไม่มีข้อยกเว้น
หากเรื่องราวดำเนินตามครรลองนี้ต่อไปเรื่อยๆ บางทีก็อาจไม่นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากอะไร
ทว่าช่วงบ่ายในวันที่ฟ้ามืดครึ้มวันหนึ่ง ขณะอยู่ในร้านขายเสื้อผ้ามือสอง เจ้าของร้านพึงพอใจชุดแต่งงานแบบจีนโบราณมีลายปักแสนสวยชุดหนึ่ง
แม้ชุดแต่งงานนั้นจะปรากฏอยู่ในร้านมือสอง แต่ภายนอกยังดูใหม่เอี่ยม ลายปักอันงดงามตระการตาบนนั้นสะดุดตาอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ ต่อให้เจ้าของร้านเป็นผู้ชายก็ยั้งใจไม่ให้สั่นไหวตั้งแต่แรกเห็นไม่ได้ เขาตัดสินใจซื้อมันทันที แล้วยังถือโอกาสถามเถ้าแก่ร้านมือสองถึงความเป็นมาของชุดนี้
เถ้าแก่ร้านมือสองเล่าว่า ‘ชุดนี้น่ะนะ ฉันเอามาจากบ้านนอก เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าเป็นชุดที่ภรรยาเจ้าของที่ดินเคยสวม คุณดูผ้านี้ ฝีมือการปักล้วนเป็นระดับสุดยอดทั้งนั้นเลย’
เจ้าของร้านกล่าว ‘อ๋อ งั้นทำไมถึงร่อนเร่ไปอยู่ในชนบทได้ล่ะ’
‘ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ได้ยินว่าหลังจากเจ้าของที่ดินเจ็บไข้ได้ป่วย เจ้าสาวก็ขายชุดแต่งงานนี้ทิ้ง’
เจ้าของร้านเอ่ยว่า ‘งั้นเหรอ’ เขาตรวจสอบชุดแต่งงานอย่างละเอียดอีกครั้ง ทว่ากลับพบรอยสีดำเล็กน้อยอยู่ตรงแขนเสื้อด้านใน เขาใช้มือลูบๆ ใช้จมูกดมอีกเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมาทันที ‘เถ้าแก่ คุณไม่ซื่อสัตย์เลย คุณบอกว่าเจ้าสาวเป็นคนขายชุดแต่งงานนี้หรือ’
เถ้าแก่ตอบ ‘ก็ใช่น่ะสิ’
‘งั้นข้างในแขนเสื้อนี้มีเลือดได้ยังไง’
เถ้าแก่ชะงักงัน ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ‘คุณอย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ มันจะไปมีเลือดได้ยังไง! คุณไม่อยากซื้อก็ไม่ต้องซื้อ! มีคนอยากได้เยอะแยะไป!’
‘คนอยากได้เยอะแยะ?’ เจ้าของร้านกล่าว ‘มีคนอื่นที่อยากซื้อด้วยเหรอ’
เถ้าแก่อึกอักพูดไม่ออก เจ้าของร้านขยับประชิดทีละก้าวๆ และถึงกับข่มขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ สุดท้ายเถ้าแก่ก็ทนไม่ไหว บอกความจริงแก่เจ้าของร้านอย่างตรงไปตรงมาว่าจริงๆ แล้วชุดนี้เคยขายออกไปหลายครั้ง เพียงแต่คนที่ซื้อจะกลับมาคืนของทุกครั้ง หากไม่บอกว่างานแต่งถูกยกเลิก ก็บอกว่าร้านชุดของตนเจ๊งไปแล้ว แปลกประหลาดยิ่ง
เจ้าของร้านได้ยินเรื่องราวนี้ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขย่าแขนเสื้อของชุดแต่งงาน ยิ้มตาหยีพลางเอ่ย ‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ เถ้าแก่ก็ต้องขายราคาจริงๆ ของมันให้ฉันนะ’
‘คุณรู้แล้วยังจะซื้ออีกเหรอ’ เถ้าแก่อึ้งเล็กน้อย
‘ทำไมจะไม่ซื้อล่ะ ฉันไม่ได้เป็นคนใส่สักหน่อย’ เจ้าของร้านเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ คิดในใจว่ายังไงก็มีลู่ทางขายมันได้อยู่แล้ว อีกทั้งชุดแต่งงานนี้ยังงามวิจิตรเสียขนาดนี้อีก ต้องขายได้ราคางามแน่นอน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 04 ก.ค. 65