ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 44 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Additional Heritage มรดกลวงรัก

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 44 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย และการกระทำชำเรา

การล่อลวง การลักพาตัว การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 44

 

หลังจากผ่านไปหลายวันหลีซั่วก็ชวนเวินเสี่ยวฮุยไปกินข้าว น่าจะเป็นเพราะเขาเจอเรื่องดีๆ ถึงได้อารมณ์ดี หลีซั่วดูอิ่มเอม หล่อเหลา และเปล่งประกายกว่าเดิมมาก

เวินเสี่ยวฮุยแซว “แหม ประธานหลี ช่วงนี้เจอเรื่องอะไรดีๆ เหรอ มองหน้าก็ดูออกแล้ว”

หลีซั่วยิ้มขณะเอ่ย “เพิ่งเสร็จโปรเจ็กต์น่ะ รู้สึกตัวเบามาก นายต่างหากที่เป็นคนดังของวงการอาจารย์เวิน”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะฮี่ๆ ออกมา เขาเล่าให้หลีซั่วฟังด้วยความตื่นเต้นว่าช่วงนี้ตัวเองได้เข้าร่วมกิจกรรมและได้รับโอกาสอะไรมาบ้าง ซึ่งหลีซั่วก็รู้สึกยินดีกับเขามากๆ

พวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันขณะที่กินไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกและสนิทสนม

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วพวกเขาก็เดินเล่นรอบๆ ย่านธุรกิจ หลีซั่วดูเคาน์เตอร์เครื่องสำอางเป็นเพื่อนเวินเสี่ยวฮุย ทั้งยังดูเขาลองสีและออกความเห็นอย่างอดทน พนักงานร้านมองพวกเขาทั้งสองคนด้วยดวงตาเป็นประกาย

เมื่อเดินผ่านพื้นที่สีเขียวทั้งสองก็นั่งลงบนม้านั่ง เวินเสี่ยวฮุยมองกระเป๋าในมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองรวยมาก” อันที่จริงเขารวยมากจริงๆ แต่แค่ตอนนี้เท่านั้น

หลีซั่วยิ้ม “ทำไมล่ะ”

“เพิ่งได้ขึ้นเงินเดือนนี่นา เมื่อก่อนยังไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามือไม้อ่อนหน่อยๆ”

หลีซั่วหลุดขำ

“เอ๊ะ ขำผมอยู่ใช่ไหม ตอนที่ผมเป็นเด็กฝึกงานเงินเดือนแค่หนึ่งพันห้าร้อยหยวนเองนะ แป๊บเดียวก็เพิ่มเป็นสองพันแปดร้อยหยวนแล้ว จากนั้นก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับมาก็ได้เป็นหมื่น เลยมีความรู้สึกเหมือนเศรษฐีใหม่นิดหน่อยน่ะ”

“ไม่ได้หัวเราะนาย แค่รู้สึกว่านายน่ารักดี ที่นายมีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะความขยันของนายเอง ควรค่าแก่ความภูมิใจแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความภูมิใจ “ประเด็นสำคัญก็ยังเป็นเพราะผมน่ารัก”

หลีซั่วหันหน้ามาด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยการหยอกเย้า “ไหนให้ฉันดูหน่อย”

เวินเสี่ยวฮุยไม่กล้ามองดวงตาล้ำลึกของหลีซั่วตรงๆ แต่จะไม่มองก็ไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะขี้ขลาดเกินไป

หลีซั่วบีบคางของเขาแล้วจูบที่แก้มเบาๆ “น่ารักมาก”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มๆ ทันใดนั้นก็พบว่าจุมพิตของหลีซั่วไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นขนาดนั้นแล้ว

หลีซั่วใช้นิ้วเกี่ยวผมที่อ่อนนุ่มของเวินเสี่ยวฮุย “นายรู้ไหม ตั้งแต่ฉันกลับมาจากอเมริกา ฉันก็เสียใจไปพักใหญ่เลย”

“ทำไมล่ะ”

หลีซั่วโน้มตัวเข้ามาใกล้หูของเขา หัวเราะเบาๆ แล้วพูด “คืนนั้น…ฉันควรจะทำต่อจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยจดจำความเร่าร้อนที่ถูกขัดจังหวะนั้นได้ อารมณ์ซับซ้อนเจือปนความเสียใจเล็กน้อย ทั้งยังค่อนข้างรู้สึกโชคดี เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว ทว่าเมื่อได้ยินการหยอกเย้าที่คลุมเครือของหลีซั่วในเวลานี้ก็อดไม่ได้ที่แก้มจะร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย

หลีซั่วมองเขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เสี่ยวฮุย ในเมื่อนายก็กลับมาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ฉันคิดว่าฉันควรพูดประโยคนี้ได้แล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยตื่นเต้นจนนั่งตัวตรงทันที

หลีซั่วพูดอย่างจริงจัง “เป็นแฟนฉันนะ”

เวินเสี่ยวฮุยกลับสูดลมหายใจ สมองสับสนไปชั่วขณะ ถ้าหลีซั่วพูดประโยคนี้กับเขาในคืนนั้นก่อนที่เขาจะจากไป…ในคืนนั้นที่จูบเขาเป็นครั้งแรก เขาจะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลเลย

แต่ตอนนี้เขาลังเลเสียแล้ว เขาเคยรอคอยให้หลีซั่วเอ่ยประโยคนี้ออกมาจากปาก ทว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น เพราะเขานึกถึงลั่วอี้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้

เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถตอบรับหลีซั่วได้ เพราะเขาคิดถึงลั่วอี้…

หลีซั่วมองอาการงุนงงของเขา พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสี่ยวฮุย?”

เวินเสี่ยวฮุยอ้าปาก เขารู้สึกอึดอัดอย่างถึงที่สุด “พี่ใหญ่หลี ผม…”

“มันเป็นความต้องการของฉันเพียงฝ่ายเดียวเหรอ” หลีซั่วพูดเรียบๆ

เวินเสี่ยวฮุยส่ายศีรษะแล้วลูบหน้าทีหนึ่ง “พี่ใหญ่หลี บอกตามตรง ถ้าพี่พูดประโยคนี้กับผมเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ผมจะดีใจมาก”

“ฉะนั้นตอนนี้…”

“ตอนนั้นพี่เป็นแฟนในอุดมคติของผม พี่ไม่มีที่ติ ตอนนี้ก็เหมือนกัน พี่ยังคงสมบูรณ์แบบอย่างนั้น แต่ว่าผม…” จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องแสดงอาการอย่างไร เขาพูดได้ว่าถ้าผมตอบรับพี่ ลั่วอี้จะเสียใจหรือเปล่า เขาไม่กล้าจินตนาการว่าถ้าลั่วอี้รู้ว่าเขาคบกับหลีซั่วแล้วจะเป็นอย่างไร ลั่วอี้ทั้งพึ่งพาเขาและชอบเขามากเหลือเกิน

หลีซั่วมองเขาเงียบๆ “นายมีคนที่ชอบแล้วเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยกัดริมฝีปาก คำถามนี้ตอบยากกว่าทุกคำถาม

เขาชอบลั่วอี้หรือเปล่า เขาเคยถามตัวเองอยู่หลายรอบ เริ่มแรกสุดคือไม่ ต่อมาคือไม่ได้ จากนั้นก็คือไม่อยาก และถัดไปคือ…ถ้าเขาพูดว่า ‘ไม่ชอบลั่วอี้’ ประโยคนี้คงยากที่จะหลอกแม้กระทั่งตัวเขาเอง

บางครั้งเขาก็พูดไม่ถูกว่าชอบคืออะไร ยกตัวอย่างเช่นแฟนคนแรก เขาแค่รู้สึกว่าผู้ชายคนที่ตามจีบเขาหล่อดี อยากคบด้วยจังเลย ถ้าอย่างนั้นก็ตอบรับเถอะ แต่เขารู้ว่านั่นไม่ใช่ความชอบ ตอนที่ถูกสวมเขาก็เพียงโมโหจนรู้สึกว่าอยากฆ่าไอ้สารเลวคนนี้ให้ตายไปซะ อย่างหลีซั่วเขารู้สึกว่าคนคนนี้ช่างสมบูรณ์แบบและมีสไตล์สุดๆ ถ้าได้คบกับคนแบบนี้ก็คงไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะมั้ง หลีซั่วเป็นจินตนาการของความรักที่สมบูรณ์แบบของเขา แต่ถ้าหลีซั่วไม่ชอบเขา เขาก็คงจะเศร้าอยู่สักพัก จากนั้นมันก็จะผ่านไป แล้วกับลั่วอี้ล่ะ ลั่วอี้ทำให้เขาใจเต้นไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ดูแลเอาใจใส่เขาด้วยความอบอุ่นมาเป็นเวลานาน คำสารภาพที่หนักแน่น รวมถึงความรู้สึกลึกซึ้งถึงขั้นที่กลัวว่าจะเสียเขาไป เขาไม่สามารถจินตนาการว่าขาดลั่วอี้ไปได้เลย ก็เหมือนกับที่ลั่วอี้ไม่อาจขาดเขา เกรงว่านี่ต่างหากคือความชอบที่แท้จริง

หลีซั่วมองดูการแสดงออกของเวินเสี่ยวฮุยที่เปลี่ยนไปมาก็มีคำตอบในใจแล้ว เขาถอนหายใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลง

เวินเสี่ยวฮุยกระซิบ “พี่ใหญ่หลี ผมขอโทษ”

หลีซั่วยิ้มอย่างอบอุ่น “นายไม่ต้องขอโทษ แต่ว่าฉันรู้สึกเสียดายมากจริงๆ”

เสียดาย เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกโล่งอก หลีซั่วใช้เพียงคำว่า ‘เสียดาย’ ในการเผชิญหน้ากับคำปฏิเสธของเขา เป็นคำว่า ‘เสียดาย’ ที่ดูรักษามาดและสง่างาม ถ้าเป็นลั่วอี้…

คนอย่างหลีซั่วเป็นหยกงามไร้ตำหนิและเป็นที่หมายปองของทุกคนอย่างแท้จริง แต่ถึงแม้จะถือมันไว้ในมือก็ไม่สามารถสัมผัสหัวใจของเขาผ่านวัสดุที่ทั้งอ่อนโยนและแข็งกร้าวนี้ได้ บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป แต่เพราะหลีซั่วไม่ได้ชอบเขามากพอ คนที่สามารถทำลายเปลือกที่สมบูรณ์แบบของหลีซั่วได้นั้นไม่ใช่เขา

เวินเสี่ยวฮุยจึงพูดอย่างจริงใจ “พี่ใหญ่หลี ชาตินี้ผมอาจจะไม่เจอผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปกว่าพี่อีกแล้ว แต่พวกเรายังขาดวาสนาที่มีต่อกัน”

หลีซั่วยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ขอบคุณ ฉันยังชอบนายมาก ความมั่นใจในตัวเองและความมีชีวิตชีวาของนายดึงดูดฉัน ฉันหวังว่าต่อไปเราจะเป็นเพื่อนกันได้”

“แน่นอน มีเพื่อนแบบพี่ได้ก็นับเป็นการยกระดับสถานะทางสังคมของผมหลายขั้นเลย”

หลีซั่วหัวเราะพรืดออกมา

เมื่อกลับขึ้นรถ หลีซั่วก็ต้องการที่จะไปส่งเขากลับห้อง

เวินเสี่ยวฮุยโทรหาลั่วอี้ “ฮัลโหล ลั่วอี้ นายอยากกินมื้อดึกไหม ฉันกำลังจะเข้าไป”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่เสี่ยวฮุย วันนี้พี่ไม่ต้องแวะมาหรอก ผมยังทำธุระข้างนอกไม่เสร็จเลย อาจจะกลับไปดึกๆ” น้ำเสียงของลั่วอี้ฟังดูกระวนกระวายเล็กน้อย

“อ่อ ก็ได้” เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างผิดหวัง นับตั้งแต่เซ็นสัญญาคราวก่อน เขาก็ไม่ได้เจอลั่วอี้เกือบสองอาทิตย์แล้ว ทุกครั้งที่อยากจะเข้าไปหา ลั่วอี้ก็จะบอกว่ายุ่งมาก เขาไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อคิดว่าลั่วอี้อาจจะใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับภาษีมรดกและบริษัท เขาก็พูดอะไรไม่ได้

 

หลีซั่วพาเขามาส่งที่ห้อง

หลังจากอาบน้ำก็ขึ้นเตียงนอน เวินเสี่ยวฮุยเหม่อมองโทรศัพท์มือถือสักพักหนึ่ง เมื่อก่อนลั่วอี้จะโทรและส่งข้อความมาหาเขาทุกวันไม่มีขาด แต่ช่วงนี้จำนวนครั้งกลับน้อยลงเหมือนน้ำตก บางครั้งวันหนึ่งก็ไม่มีแม้แต่สักข้อความเดียว แม้เขาไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไร แต่เขารู้สึกว่าท่าทางของลั่วอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยนับตั้งแต่เซ็นสัญญา เขาคงคิดมากไปเองล่ะมั้ง…

เขานอนลงแล้วถ่ายเซลฟี่หน้าทะเล้นสองสามรูป จากนั้นก็ส่งให้ลั่วอี้

ผ่านไปเนิ่นนานลั่วอี้จึงตอบกลับมาเพียงว่า ‘นอนเร็วหน่อย’

เขารู้สึกผิดหวังในใจเป็นอย่างมาก แล้วเขาก็กดโทรหาหลัวรุ่ย

“ไงเบบี๋ ฉันแช่น้ำอยู่น่ะ”

“ฮึ กำลังอวดอ่างจากุซซี่ของนายอยู่ล่ะสิ”

“จิ๊ ฉันคิดว่านายมันเป็นพวกเกลียดความรวย”

“ถ้านายไม่เคยพาฉันไปแช่น้ำด้วยกันก็เท่ากับอวด”

“คราวหน้านายมาอยู่บ้านฉันไหมล่ะ เป็นอะไรไป หาเพื่อนคุยเหรอ”

“อืม หาเพื่อนคุย”

“คุยอะไร จะคุยว่านายพัวพันอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างประธานรูปหล่อที่เป็นผู้ใหญ่กับไอ้ต้าวที่ทั้งอัจฉริยะและอ่อนโยนอีกใช่ไหม”

“ใช่”

“นายต่างหากที่เป็นพวกเฮงซวยขี้อวด!”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจพลางเอ่ย “วันนี้หลีซั่วพูดประโยคนั้นกับฉันแล้ว”

“สารภาพรัก?”

“ไม่ใช่ ประโยคที่บอกให้ฉันเป็นแฟนของเขา”

“ว้าว” เสียงซู่ซ่าของน้ำดังมาจากในโทรศัพท์ “เป็นยังไงบ้างๆ นายตอบตกลงแล้วหรือยัง”

“นายเดาสิ”

“ถ้านายตอบตกลง คืนนี้ก็คงไม่โทรมาหาฉันเหมือนภรรยาที่ถูกสามีทิ้งให้อยู่คนเดียวแบบนี้หรอก”

“ให้ตายเถอะ…ที่นายพูดก็ถูก…”

“นายปฏิเสธทำไมล่ะ นายชอบเขาไม่ใช่เหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความสับสน “ฉันชอบเขาเหรอ”

หลัวรุ่ยอึ้งไป “อ่อ ฉันเข้าใจแล้ว”

“นายเข้าใจอีกแล้ว”

“เข้าใจสิ นายเป็นผู้ชายของฉันนะ ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ”

“นายเข้าใจอะไรล่ะ”

“หลีซั่วเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบขนาดนั้น นายนึกว่าเขาเติมเต็มความฝันทั้งหมดของนาย นายก็ควรจะและจะต้องชอบเขาอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้วนายก็แค่ไม่ได้ชอบเขา”

“แม่เล็ก ทำไมนายไม่ลองสร้างคอลัมน์ด้านความรักในบล็อกของนายดูล่ะ ไม่แน่ว่าอาจทำเงินได้ดีกว่าขายเค้กอีกนะ”

“ไปให้พ้น จริงจังหน่อยสิ”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจอีกครั้ง “วันนี้ตอนที่เขาพูดประโยคนี้กับฉัน ฉันอึ้งไปเลย เพราะสิ่งแรกที่ฉันคิดคือฉันจะตอบตกลงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลั่วอี้จะรับไม่ได้”

หลัวรุ่ยกรี๊ดเสียงแหลม

เวินเสี่ยวฮุยขยับมือถือออกห่างจากหูพลางด่าเสียงดัง “บ้าเอ๊ย นายอยากให้ฉันตกใจตายหรือไง”

“นายแย่แล้วๆ เวินเสี่ยวฮุย นายชอบลั่วอี้เข้าแล้ว!”

เวินเสี่ยวฮุยเอาศีรษะกระแทกหมอนอยู่หลายที แล้วพูดเศร้าๆ “จริงเหรอ”

“อันที่จริงฉันรู้ตั้งนานแล้ว บอกตามตรงความสัมพันธ์ระหว่างพวกนายสองคนมันต่างจากคู่รักตรงไหนล่ะ ฉันรู้สึกว่านายชอบเขานานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเผชิญหน้าและไม่อยากยอมรับมันด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ตอนนี้เขาสารภาพกับนายแล้ว ข้อตกลงระหว่างพวกนายสองคนก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วด้วย ความกังวลของนายจะต้องน้อยลงแน่ๆ ฉะนั้นความรู้สึกที่นายเก็บงำเอาไว้ก็เลยระเบิดออกมา ใช่ไหมๆๆ รีบพูดมาว่าฉันวิเคราะห์ถูกต้องหรือเปล่า ให้คะแนนการวิเคราะห์ห้าดาวด้วยนะที่รัก!”

“ไปให้พ้น!”

หลัวรุ่ยหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดอีก “นายจะไล่ฉันทำไมเล่า ฉันยังไม่ได้ใส่เสื้อเลย น่าอายออก”

“ให้ตายเถอะ ฉันกำลังกลุ้มอยู่นะ อย่ามาตลก”

“เบบี๋ นายชอบคนคนหนึ่งก็กล้าๆ รับสิ การชอบใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายสักหน่อย นายเป็นคนสอนฉันเรื่องนี้เองไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนนายไม่ได้เป็นแบบนี้นี่ เมื่อก่อนไม่ว่าจะอะไรนายก็กล้าพูดกล้าทำ เป็นไอดอลของฉันมาตลอด ทำไมยิ่งโตยิ่งใจปลาซิวล่ะ”

“นี่เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วต่างหาก เข้าใจไหม เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะมีเรื่องให้กังวลเยอะ”

“อยู่มาทั้งชีวิต แต่เวลาชอบใครก็ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับ ผู้ใหญ่แบบนี้จะเป็นไปเพื่ออะไร”

“นายถูกไลฟ์โค้ชเข้าสิงหรือไง”

“เรื่องพวกนี้นายเป็นคนบอกฉันเองทั้งนั้น!”

เวินเสี่ยวฮุยจับๆ ผม “นายพูดถูก ไม่สิ ฉันพูดถูก” เขาไม่เพียงไม่กล้ายอมรับว่าชอบลั่วอี้ หรือแม้แต่หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งหลีซั่วพูดประโยคนั้นออกมาในวันนี้ เขาถึงได้ตระหนักว่าตัวเองไม่สามารถโกหกหรือหลบซ่อนได้อีกต่อไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้ตรงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วอี้นั้นพิเศษเกินไปแล้ว บางทีหลังจากผ่านช่วงนี้ไป หลังจากที่สัญญาฉบับนั้นเป็นโมฆะโดยสมบูรณ์ และพวกเขาทั้งคู่ได้สิ้นสุดสถานะแบบนั้นแล้ว เขาถึงจะสามารถปลดปล่อยตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีโซ่ตรวนอยู่ในใจเสมอซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

หลัวรุ่ยยิ้มขณะเอ่ย “แบบนี้ก็ถูกแล้วนี่ อันที่จริงฉันเข้าใจความกังวลของนาย แต่อีกไม่นานความกังวลนี้ก็จะหายไปแล้ว เบบี๋ นายกำลังจะมีความรักจริงๆ แล้ว!”

เมื่อเวินเสี่ยวฮุยนึกถึงลั่วอี้ จู่ๆ ก็รู้สึกหวานชื่นในหัวใจ ครั้งนี้เขาได้เจอคนที่ชอบจริงๆ แล้ว ในที่สุดก็สามารถเริ่มมีความรักอย่างจริงจังได้สักทีสินะ ตอนนี้เพียงแค่นึกถึงใบหน้าของลั่วอี้ เขาก็เปี่ยมไปด้วยการตั้งตาคอย

“เบบี๋ ไว้วันที่นายหลุดพ้นจากการเป็นหนุ่มพรหมจารีแล้ว พวกเราจะต้องฉลองกันให้เต็มที่!”

“แน่นอน!”

 

หลังจากเผชิญหน้ากับปัญหาระหว่างเขากับลั่วอี้แล้ว เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพียงแต่การไม่ได้เจอหน้าลั่วอี้มาเกือบเดือนก็ทำให้เขาทนไม่ไหวนิดๆ เวลาที่โทรไปหาน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการตัดพ้อ

“วันนี้ก็ยุ่งอีกแล้วเหรอ ฉันไม่ได้เจอนายมาเดือนหนึ่งแล้วนะ กินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ไม่มีเวลาเหรอ”

เสียงของลั่วอี้ฟังดูอ่อนล้ามาก “หนึ่งเดือนแล้วเหรอ”

“ใช่สิ ตั้งแต่เซ็นสัญญาจนถึงตอนนี้ก็หนึ่งเดือนพอดีแล้วมั้ง คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วงก็ออกมาแล้วด้วย”

“งั้นเหรอ…งั้นวันนี้ผมจะเลื่อนธุระไปก่อน พี่มาเถอะ พวกเรามากินข้าวด้วยกัน”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความดีใจ “โอเค เลิกงานแล้วจะเข้าไป”

หลังเลิกงานเวินเสี่ยวฮุยซื้อปูขนตัวใหญ่จำนวนหนึ่งเข้าไป ฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่ปูขนอวบอ้วน โดยเขาและลั่วอี้เคยกินปูเป็นอาหารว่างระหว่างดูภาพยนตร์

เมื่อมาถึงคฤหาสน์ของลั่วอี้ ทันทีที่เขาเข้าไปก็เห็นลั่วอี้กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ไม่เจอกันเพียงหนึ่งเดือนเขารู้สึกว่าลั่วอี้ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูสุขุมขึ้นเล็กน้อย ลั่วอี้ในตอนนี้ไม่มีลักษณะของวัยรุ่นอ่อนเยาว์อีกแล้ว แต่เป็นเด็กน้อยที่เพิ่งจะเติบโตเป็นชายหนุ่ม

“ลั่วอี้” เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ฉันซื้อปูขนมาน่ะ เป็นตัวเมียหมดเลย”

ลั่วอี้หันไปมองเขา จากนั้นก็หันกลับไปทันทีแล้วลงมือหั่นผักต่อ “ดีเลย วางไว้ตรงนั้นแหละ ผมจัดการเอง”

“ให้ฉันช่วยนายเถอะ” เวินเสี่ยวฮุยเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดลำลอง แล้วนำปูขนเข้ามาในห้องครัว “ปูนึ่งฉันก็ทำเป็นอยู่นะ ก็แค่นึ่งไม่ใช่เหรอ”

“ได้” ลั่วอี้หั่นผักที่อยู่ในมือครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเม้มริมฝีปาก กรามขบกันแน่น

“ช่วงนี้นายยุ่งเรื่องอะไรเหรอ ฉันไม่เคยเห็นนายยุ่งขนาดนี้มาก่อนเลย เรื่องที่บริษัท?”

“ใช่ กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อพอดี”

“เรื่องภาษีมรดกเรียบร้อยแล้วยัง”

“เรียบร้อยแล้ว”

“อย่างนี้เงินก็โอนไปที่บัญชีนายแล้วสิ?”

“…อืม โอนแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ฉันเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเปลี่ยนจากเศรษฐีร้อยล้านกลับไปเป็นยาจกตั้งแต่เมื่อไร พอมีเงินก้อนนี้เรื่องที่บริษัทก็คลี่คลายแล้วใช่ไหม”

“ใช่ กำลังแก้ปัญหาอยู่ อีกไม่นานแล้ว”

“เยี่ยมไปเลย แบบนี้นายก็พักผ่อนได้สักพัก” เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปแล้วมองหน้าของเขา “ดูนายสิ ยังดูเหนื่อยอยู่เลย เรื่องยุ่งจบแล้วก็พักผ่อนให้เต็มที่”

ลั่วอี้ยิ้มน้อยๆ ให้เขา “วางใจเถอะ”

หลังจากทำอาหารเสร็จทั้งสองคนก็นั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะแล้วกินอาหารกันอย่างมีความสุข เวินเสี่ยวฮุยกินจนมันปูเปื้อนเต็มมือ “ปูขนนี่อร่อยชะมัด สมราคามาก”

“ช่วงนี้เป็นฤดูกาลที่ดี” ลั่วอี้มองเวินเสี่ยวฮุยเป็นครั้งคราว ดูใจลอยอย่างเห็นได้ชัด

“ช่วงนี้ฉันใช้เงินจนแทบจะไม่รู้จักตัวเองแล้ว ฉันต้องคุมตัวเองหน่อย เฮ้อ จะต้องเป็นเพราะเมื่อก่อนจนเกินไปแน่ๆ พอมีเงินขึ้นมาหน่อยก็เริ่มอวด นายว่าพอฉันได้เงินสามล้านมาแล้ว ฉันจะใช้มันยังไงดี”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วพูด “ใช้จ่ายตามสบายเลย ไม่พอมาเอาที่ผมได้”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะฮี่ๆ “ประโยคนี้น่าฟังที่สุดเลย”

หลังมื้ออาหารลั่วอี้ก็ไปล้างจาน เวินเสี่ยวฮุยต่อเกมที่เพิ่งซื้อมาใหม่เข้ากับโทรทัศน์ในห้องของลั่วอี้ จัดเรียงเครื่องดื่มและผลไม้อย่างดีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่

ลั่วอี้เก็บของเรียบร้อยก็ขึ้นไปชั้นบน เห็นเวินเสี่ยวฮุยกำลังพิงอยู่หน้าเตียงด้วยท่าทางคาดหวัง

“เกมนี้เพิ่งออกใหม่ รีวิวดีมาก”

ลั่วอี้ฝืนยิ้ม “วันนี้ผมปวดตานิดหน่อย ไว้วันหน้าค่อยเล่นเป็นเพื่อนพี่ก็แล้วกัน”

เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะพูดว่า ‘อ่อ’ อย่างผิดหวังไม่ได้ “นายมานี่ ฉันจะนวดให้นาย ตอนที่ฉันเข้าไปทำงานที่จวี้ซิงใหม่ๆ ยังสระผมให้ลูกค้าด้วยนะ ถนัดเรื่องนวดหัวมาก”

ลั่วอี้ลังเลครู่หนึ่งแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง เวินเสี่ยวฮุยวางศีรษะของเขาบนตักของตัวเอง จากนั้นกดขมับของเขาด้วยกำลังปานกลาง

“แรงเป็นยังไงบ้าง”

ลั่วอี้หลับตาลง พูดเสียงเบา “ดีมาก”

น้ำเสียงของเวินเสี่ยวฮุยอ่อนโยนน่าฟัง “เห็นช่วงนี้นายเหนื่อยขนาดนี้ ฉันก็ทรมานเหมือนกัน ถึงยังไงพวกเราก็คุยกันแล้วว่าถ้าเรื่องนี้คลี่คลาย ต่อไปก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวเยอะแบบนี้อีก อย่างน้อยก็อย่าทำก่อนที่นายจะเรียนจบ”

“อืม ผมรับปากพี่”

“จริงสิ ช่วงคริสต์มาสพวกเราไปเที่ยวญี่ปุ่นกันดีไหม ก่อนหน้านี้นายบอกว่าอยากไปกับฉัน แต่ฉันไม่กล้าไป กลัวว่าแม่จะรู้เข้า ตอนนี้ฉันหาเงินได้เองแล้ว แม่ฉันก็คงไม่สงสัย”

“เอาสิ พี่ยังอยากไปไหนอีก พวกเราจะไปด้วยกัน”

“ที่ที่อยากไปมีเยอะเลย ค่อยๆ ไปก็แล้วกัน” เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงภาพการเดินทางรอบโลกกับลั่วอี้ ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมาก กล่าวคือมีอยู่คนหนึ่งที่คุณจะเอาเขาใส่เข้าไปในภาพของคุณได้ตลอดเวลาและในทุกสถานการณ์ หรือควรจะพูดว่าคุณหวังว่าเขาจะปรากฏอยู่ทุกฉากทั้งในปัจจุบันและอนาคตของคุณ

ลั่วอี้ตอบว่า ‘อืม’ เบาๆ

นวดได้สักพักเวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกเมื่อยมือ “เสร็จแล้ว สบายขึ้นบ้างหรือเปล่า”

ลั่วอี้พยักหน้า “ดีขึ้นเยอะเลย”

“งั้นนายก็รีบพักผ่อนเถอะ เหนื่อยขนาดนี้แล้ว”

ลั่วอี้คว้ามือของเขา “คืนนี้พี่นอนกับผมนะ”

ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนขึ้นมาฉับพลัน เขามองลั่วอี้ด้วยความตื่นเต้น

ลั่วอี้ยิ้มๆ “พวกเราคุยเล่นกันเหมือนเมื่อก่อนไง”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจโล่งอก “ก็ได้”

ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เวินเสี่ยวฮุยทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่ของลั่วอี้พร้อมเนื้อตัวหอมฉุย เขาก็นอนบนเตียงหลังนี้มานานแล้ว แต่วันนี้กลับคลุมเครือและตื่นเต้นกว่าปกติ เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่รับปากลั่วอี้ ถ้าลั่วอี้อดใจไม่ไหวจะทำอย่างไรล่ะ แล้วถ้าเขาอดใจไม่ไหวจะทำอย่างไร

เวินเสี่ยวฮุยคิดไปคิดมาก็นึกขำตัวเอง

เมื่อลั่วอี้กลับมาที่ห้องของตัวเองแล้วเห็นเวินเสี่ยวฮุยนอนขดตัวอยู่บนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มโง่ๆ ก็อึ้งไป พูดไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

“อาบเสร็จแล้วเหรอ” เวินเสี่ยวฮุยกลิ้งไปที่ของตัวเอง “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องไปที่สตูดิโอแต่เช้า”

ลั่วอี้เอนตัวลงนอนบนเตียง

มีกลิ่นสบู่เหลวอาบน้ำจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ทั้งสองอาบน้ำในห้องน้ำคนละห้อง ทว่ากลับเลือกสบู่เหลวอาบน้ำแบบเดียวกัน กลิ่นที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนนี้ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดภาพลวงตาว่าทั้งสองกำลังพัวพันอยู่ด้วยกัน ชวนให้จิตใจว้าวุ่นและจินตนาการพลุ่งพล่าน

นี่เป็นครั้งแรกที่เวินเสี่ยวฮุยนอนบนเตียงของลั่วอี้นับตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา ทำไมเตียงที่เขาไม่ได้สัมผัสมาปีกว่าถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไมเขานอนแล้วถึงได้ร้อนไปทั้งตัวและตื่นเต้นเสียจนเหงื่อออก ในความทรงจำของเขาเตียงหลังนี้ใหญ่มากๆ บางทีแม้จะเหยียดจนสุดแขนก็ยังไม่โดนตัวลั่วอี้ แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่าเตียงมันเล็กเกินไป เล็กจนสามารถได้กลิ่นจากตัวของลั่วอี้ และลมหายใจของลั่วอี้ก็เหมือนอยู่ใกล้หูของเขา

เป็นเพราะกระหายเกินไปหรือเปล่า บ้าเอ๊ย ต้องเป็นเพราะกระหายแน่ๆ แต่สำหรับหนุ่มพรหมจารีในวัยยี่สิบสองยี่สิบสามก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี่นา

“พี่เสี่ยวฮุย”

“หา?!” เวินเสี่ยวฮุยตกใจ พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “มีอะไรเหรอ”

“พี่ร้อนมากใช่หรือเปล่า ผมรู้สึกว่าพี่หายใจหอบอยู่ตลอดเวลา”

“สงสัยเพราะผ้าห่มหนาเกินไปมั้ง ถึงจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่เหมือนจะไม่ได้หนาวมาก”

“ผมไปเปลี่ยนผ้าห่มให้พี่ก็แล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอก อย่าลำบากเลย” เวินเสี่ยวฮุยยื่นขาข้างหนึ่งออกมา “ดึกๆ ก็เย็นแล้ว”

“ก็จริง” ลั่วอี้พูด “ปลายปีนี้ผมก็จะเรียนจบแล้ว”

“ว้าว เร็วจังเลย”

“ใกล้จะเก็บหน่วยกิตครบแล้ว วิทยานิพนธ์ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว โดยรวมที่มหา’ลัยก็ไม่มีอะไรแล้ว”

“นายเก่งจริงๆ เลย ไม่คิดจะไปเรียนเมืองนอกเหรอ”

“ไม่สนใจ”

แน่นอนว่าเวินเสี่ยวฮุยก็ไม่ต้องการให้เขาไปเช่นกัน จึงรู้สึกโล่งอกทันใด “อันที่จริงเมืองนอกก็ไม่มีอะไรดีกว่าหรอก ฉันกินเบอร์เกอร์ที่อเมริกามาตั้งหนึ่งปีจนแทบจะอ้วกอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนฉันยังเคยบ่นว่าแม่ของฉันทำอาหารไม่เก่ง”

ลั่วอี้ยิ้มๆ “นั่นสิ เพราะอย่างนั้นผมไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่แหละ ยังมีอีกตั้งหลายโปรเจ็กต์ที่ยังทำไม่เสร็จ”

“งั้นรอให้นายเรียนจบแล้วค่อยไปเที่ยวญี่ปุ่นก็แล้วกัน ห่างกันไม่กี่วันเอง”

“โอเค” จู่ๆ ลั่วอี้ก็ถามขึ้น “ช่วงนี้พี่ได้ติดต่อกับหลีซั่วบ้างหรือเปล่า”

“…ติดต่อ” เวินเสี่ยวฮุยนึกถึงการเจอหน้าครั้งล่าสุดก็ลังเลว่าควรจะบอกลั่วอี้ดีไหม

“เขาตามจีบพี่หรือเปล่า แบบจริงจังน่ะ”

“อืม ประมาณนั้นมั้ง เขาขอให้ฉันเป็นแฟนของเขา”

ลั่วอี้ดูไม่ประหลาดใจเลยสักนิด “อ่อ งั้นพี่ตอบตกลงแล้วหรือเปล่า”

“เปล่า” เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าลั่วอี้พูดจาแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน

“ทำไมล่ะ” ลั่วอี้ตะแคงตัว เอามือหนุนศีรษะ มองเวินเสี่ยวฮุยเงียบๆ ในค่ำคืนที่มืดมิด “ทำไมถึงไม่ตอบตกลงล่ะ”

ลั่วอี้ลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน ทำให้เวินเสี่ยวฮุยตื่นเต้นเล็กน้อย เขาตอบตามตรง “ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ชอบเขาเหมือนที่คิดไว้ ก็เหมือนที่หลัวรุ่ยพูด เขาเป็นภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ฉันคิดว่าฉันควรจะชอบเขา แต่ว่าเรื่องประเภทนี้มันไม่ควรมีคำว่าควรหรือไม่ควรนี่นา”

“เหตุผลแค่นั้นเองเหรอ” ลั่วอี้โน้มตัวเข้ามาใกล้ “ไม่มีเหตุผลอื่นเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยก็ยันตัวขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน ความตื่นเต้นยิ่งทวีคูณ “อะ…อะไรนะ”

ลั่วอี้คว้าไหล่ของเขาแล้วกดเขาลงไปบนเตียง “มีเหตุผลที่เกี่ยวกับผมหรือเปล่า”

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Additional Heritage มรดกลวงรัก

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com