Additional Heritage มรดกลวงรัก
ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 81-83 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3
ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)
แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การสะกดรอยตาม การลักพาตัว
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 81
เวินเสี่ยวฮุยตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลียอย่างรุนแรง
เขาไม่ได้อ่อนเพลียขนาดนี้มานานมากแล้ว แม้จะเคยออกกำลังกายราวกับพวกมาโซคิสต์ที่หาที่ระบายอยู่ในฟิตเนสทั้งวันก็ยังไม่อ่อนเพลียขนาดนี้ ร่างกายของเขาราวกับหนักขึ้นหลายสิบจิน จนทำให้ไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้วด้วยซ้ำ
ส่วนล่างของร่างกายเขาแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้ดี ครั้งหนึ่งเขากับลั่วอี้เคยอ้อยอิ่งกันตลอดทั้งคืนโดยห้ามกันไม่อยู่ แล้ววันต่อมาก็แทบจะขยับตัวไม่ได้ ความอ่อนเยาว์และความสามารถทางกายภาพของลั่วอี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานมามากกว่าหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้มันสาหัสยิ่งกว่าเดิม
เขาพยายามยกมือขึ้นปิดตา แสงที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างนั้นสว่างและแสบตาจนเกินไป จิตใจที่หนักอึ้งและสภาวะอันมืดมนของเขาเป็นเหมือนแวมไพร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่สามารถมองดูและไม่คู่ควรกับแสงแดดเช่นนี้
ความทรงจำเมื่อคืนเลือนรางมาก แต่ก็ไม่เลือนรางเท่ากับตอนที่เขาทำกับลั่วอี้ครั้งแรก ครั้งแรกเขาเมาจนภาพตัด ครั้งนี้อย่างน้อยร่างกายของเขาก็ช่วยให้เขาจดจำได้ว่าลั่วอี้นั้นคลุ้มคลั่งแค่ไหน แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างจากครั้งแรกสุดนั้นไม่ใช่ว่าเขาจำได้หรือไม่ แต่เขากลับใจเย็นมากต่างหาก
เขาไร้ซึ่งความโกรธ ความขุ่นเคือง ความหงุดหงิด ความเสียใจ หรือแม้กระทั่งความละอายใจ มีเพียงความสงบเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขารู้ว่าวันนี้จะมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว การลงมือขณะที่เขาเมาจนไร้สตินั้นก็ยังดีกว่าอดทนจนถึงขีดจำกัดแล้วค่อยเผยเขี้ยวออกมาให้เห็น ถ้าถึงตอนนั้นมันจะไม่ส่งผลดีกับใครเลย
เขาลืมตานอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะพยายามอดทนต่อความเจ็บและลุกขึ้นมา บนร่างกายและบนเตียงของเขาสะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ ในอากาศอีกด้วย ลั่วอี้ทำความสะอาดแล้ว ความเอาใจใส่ของลั่วอี้นั้นคงเส้นคงวา เขาไม่เคยมีจุดบกพร่องใดให้ตำหนิเลย จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกที่คนคนหนึ่งจะทั้งสามารถอ่อนโยนและโหดร้ายจนถึงขีดสุดได้
หลังจากเขาสวมเสื้อเสร็จแล้วก็นึกถึงหลัวรุ่ยจึงเดินออกไปนอกห้อง
เมื่อกวาดตามองทางเดินเวินเสี่ยวฮุยก็เห็นลั่วอี้ลุกขึ้นมาจากโซฟา อีกฝ่ายเอาโน้ตบุ๊กบนตักออกแล้วเดินเข้ามา รอยยิ้มสะดุดตาที่ปกปิดไว้ไม่อยู่อ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าของเขา
“ตื่นมาทำไม พักผ่อนต่ออีกหน่อยเถอะ”
“หลัวรุ่ยล่ะ” ทันทีที่เขาเอ่ยปากก็เป็นอันต้องตกใจ ทำไมเสียงของเขาถึงได้แหบแห้งขนาดนี้
“ยังหลับอยู่เลย เขาเมากว่าพี่อีก”
เมื่อเวินเสี่ยวฮุยเปิดประตูห้องนอนแขกก็เห็นว่าหลัวรุ่ยกำลังหลับสบายอยู่บนเตียงจริงๆ เขาจึงวางใจ เมื่อมีลั่วอี้อยู่เขามักจะตึงเครียดอยู่เสมอไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
ลั่วอี้ปิดประตูเบาๆ แล้วโอบไหล่ของเขา “ตื่นแล้วก็กินอะไรสักหน่อยเถอะ กินเสร็จจะไปพักต่อก็ได้ เมื่อคืนคงเหนื่อยมากสินะ” น้ำเสียงนั้นยังคงอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูเช่นเคย
“อืม” เวินเสี่ยวฮุยหลีกเลี่ยงการกอดของเขาอย่างแนบเนียนแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
ลั่วอี้มองดูมือของตัวเองอย่างอึ้งๆ แล้วลดมันลงอย่างแข็งทื่อ
เขาเปิดกล่องเก็บความร้อน อาหารเช้ามื้อเบาวางอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นเวินเสี่ยวฮุยก็กินมันเงียบๆ
ลั่วอี้นั่งลงตรงหน้าเขาพลางมองเขาอย่างล้ำลึก
เวินเสี่ยวฮุยกินเกลี้ยงภายในไม่กี่คำ จากนั้นก็ต้องการจะลุกขึ้น “ฉันจะไปปลุกและป้อนยาแก้เมาให้เขา”
ลั่วอี้คว้าข้อมือของเขา “ให้เขานอนต่อสักหน่อยเถอะ ถ้าไม่จำเป็นก็กินยาแก้เมาให้น้อยหน่อย มันไม่ดีต่อร่างกาย”
เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างเย็นชา “นายไม่ต้องเสแสร้งเป็นห่วงเขาขนาดนี้ก็ได้มั้ง จำเป็นด้วยเหรอ”
“เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ แน่นอนว่าผมต้องเป็นห่วงเขา”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะออกมา เมื่อดูจากสิ่งที่ลั่วอี้เคยทำ อีกฝ่ายเคยมองว่าหลัวรุ่ยเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วยเหรอ เขาต้องการสะบัดมือของลั่วอี้ออก แต่ครั้งนี้กลับทำไม่สำเร็จ
ลั่วอี้พยักพเยิดคาง “นั่งลง”
ทั้งๆ ที่เป็นประโยคสบายๆ แต่กลับมีกลิ่นอายของคำสั่ง เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงโดยไม่รู้ตัว เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าลั่วอี้ต้องการจะพูดอะไร
ลั่วอี้คว้ามือของเขามาไว้ข้างปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่คงไม่ได้ลืมเรื่องเมื่อคืนหรอกใช่ไหม”
“ไม่ได้ลืม” เวินเสี่ยวฮุยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ลั่วอี้หัวเราะ “อย่างนั้นก็ดี ผมยังนึกว่าพี่ดื่มมากไปแล้วจะลืมซะอีก เมื่อคืนผมควบคุมตัวเองได้ไม่ดี…เดี๋ยวผมนวดให้พี่สักหน่อยดีไหม”
“ไม่ต้อง”
ลั่วอี้ถูริมฝีปากอยู่บนข้อนิ้วของเขา ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นมีเสน่ห์น่าหลงใหล “ผมดีใจมากที่พวกเรายังรู้ใจกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เมื่อคืนมันสุดยอดจริงๆ พี่เสี่ยวฮุย พี่ก็ชอบมากเหมือนกันใช่ไหม”
“ฉันเพิ่งจะยี่สิบสี่ยี่สิบห้า แล้วก็ไม่ได้ตายด้านสักหน่อย ทำไมจะไม่ชอบ” เวินเสี่ยวฮุยต้องการดึงมือกลับแต่ลั่วอี้ไม่ยอมปล่อย เขารู้สึกว่าบริเวณที่ริมฝีปากของลั่วอี้เคลื่อนผ่านร้อนระอุราวกับกำลังเผาไหม้
เมื่อลั่วอี้เห็นใบหน้าที่ไร้คลื่นอารมณ์ของเวินเสี่ยวฮุยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่จำได้มากน้อยแค่ไหน จำได้ไหมว่าพวกเราทำไปกี่ครั้ง เปลี่ยนไปกี่ท่า จำได้ไหมว่าขาของพี่พันรอบเอวผมแล้วครางได้น่าฟังแค่ไหน”
“ร่วมรักกันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเยาะ “นายคงไม่คิดว่ามีแต่ฉันที่เป็นแบบนี้หรอกมั้ง ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะลองกับคนอื่นดูบ้าง ทักษะของฉันไม่เท่าไรหรอก โลกข้างนอกกว้างใหญ่จะตายไป”
สีหน้าของลั่วอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่จงใจจะยั่วโมโหผมใช่ไหม”
“เปล่า ฉันแค่อยากจะบอกนายว่าไม่ว่าฉันจะทำกับคนอื่นหรือนายจะทำกับคนอื่นก็ไม่แตกต่างอะไรจากเมื่อคืนหรอก”
ลั่วอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาสดใสร่าเริงที่เพิ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขามืดมนลงอีกครั้ง
“อ่อ น่าจะต่างอยู่นะ คนทั่วไปไม่ได้มีสมรรถภาพร่างกายดีเหมือนนาย” เวินเสี่ยวฮุยอาศัยช่วงที่ลั่วอี้กำลังตกตะลึงดึงมือกลับ เขาพิงพนักเก้าอี้พลางมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
หน้าอกของลั่วอี้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ทำให้เขาหลงใหลตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกเจ็บตรงหัวใจ ไอแห่งความโกรธพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มแรงกระตุ้นบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้ารู้ว่าพี่ไม่แคร์ตั้งแต่แรก ผมก็คงไม่อดทนนานขนาดนั้น”
“อืม สิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริง” เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นยืน “ลั่วอี้ ตอนนี้นายได้ทุกอย่างที่อยากได้แล้ว ยินดีด้วยนะ” เขาเอียงศีรษะ “ไม่สิ ฉันควรจะพูดว่าไม่ว่านายอยากได้อะไรนายก็จะได้ในที่สุด”
ลั่วอี้ก้มหน้าลง กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ “สิ่งที่ผมอยากได้ไม่ใช่พี่ที่เป็นแบบนี้”
เวินเสี่ยวฮุยแทบจะหลุดหัวเราะ “สิ่งที่ฉันอยากได้ก็ไม่ใช่นายที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน นายคืนมันให้ฉันได้ไหมล่ะ”
ในเวลานี้เองจู่ๆ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ทั้งสองคนต่างชะงัก
เวินเสี่ยวฮุยเช็ดหน้าแล้วหมุนตัวไปเปิดประตู คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นคนที่เขานึกไม่ถึง…หลีซั่ว
“พะ…พี่ใหญ่หลี” เวินเสี่ยวฮุยตะลึงงัน เขาอยากจะปิดประตูในแวบแรกแต่ก็รู้สึกว่ามันเสียมารยาทเกินไป ทว่าขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกจากด้านหลัง เขาก็คิดว่าการเสียมารยาทเป็นผลลัพธ์ที่เบาที่สุดแล้ว
อย่างไรก็ดีหลีซั่วกลับไม่ได้ให้โอกาสเวินเสี่ยวฮุยทำเช่นนี้ เขาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ บุคลิกที่เป็นสุภาพบุรุษและสง่างามตลอดเวลาเจือปนความหงุดหงิดเล็กน้อย เวินเสี่ยวฮุยมั่นใจว่าเขาเองก็ล้มเหลวในเรื่องของหลี่เฉิงซิ่วเช่นกัน
ลั่วอี้ลุกขึ้นยืน สายตาที่มองหลีซั่วนั้นราวกับงูพิษตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นคนรักที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าหลีซั่วเลย
หลีซั่วมองดูเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังตื่นตระหนก แล้วมองลั่วอี้อีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น
“ลั่วอี้ นายควรจะโตได้แล้ว”
“นายมีสิทธิ์สั่งสอนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” ลั่วอี้พูดอย่างเย็นชา
“ตั้งแต่ที่นายคุกคามเพื่อนของฉัน”
เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงเบา “พี่ใหญ่หลี พี่ไม่ควรมา พี่ควรกลับไปได้แล้ว”
หลีซั่วมองเวินเสี่ยวฮุย “เสี่ยวฮุย ที่ฉันมาก็เพื่อให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย ถ้านายไปอเมริกาตอนนี้ ฉันรับประกันว่าลั่วอี้จะไม่มีวันเจอนายกับแม่ของนายไปชั่วชีวิต” เขาหลุบตาลง ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “ฉันช่วยเฉิงซิ่วไม่ได้ แต่ฉันหวังว่าอย่างน้อยฉันจะช่วยนายได้”
คำพูดนี้ทำให้ลั่วอี้โมโหอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้าไปสองสามก้าว ความเกลียดชังและความริษยาที่เขามีต่อหลีซั่วมาเป็นเวลานานได้ระเบิดขึ้นในชั่วขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน หายากมากที่ลั่วอี้จะเจอคู่ปรับที่มีฝีมือสูสีสักครั้งในชีวิตนี้ เมื่อคิดว่าคนคนนี้ได้กลายเป็นภัยคุกคามจริงๆ เขาก็เพียงแค่ต้องการกำจัดโดยเร็วที่สุด
เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าลั่วอี้ทำอะไรได้บ้างจึงคิดจะขวางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน แต่กลับถูกหลีซั่วดึงไปอยู่ด้านหลัง
การกระทำเช่นนี้ทำให้ลั่วอี้ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม การแสดงออกของเขาบิดเบี้ยวราวกับหมาป่าผู้หิวโหย เขาเดินเข้าไปหาหลีซั่วก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมาดึงคอเสื้อของหลีซั่วช้าๆ เขากำหมัดจนมันส่งเสียงดังกรอบแกรบ
ลั่วอี้มักจะแพ้หลีซั่วในเรื่องของความเป็นผู้ใหญ่และความใจเย็นเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทว่าความริษยาทำให้ลั่วอี้แสดงออกเหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบเป็นครั้งแรก
หลีซั่วไม่ขยับพลางมองเขาอย่างใจเย็น “เสี่ยวฮุยเป็นคนเช่าห้องนี้ ถ้านายลงมือที่นี่ พอตำรวจมาถึง นายคิดว่าเสี่ยวฮุยจะแจ้งว่าใครบุกเข้าห้องของเขาล่ะ”
ลั่วอี้สะบัดมือขวาคว้าคอของหลีซั่ว
หลีซั่วรู้สึกเพียงว่าตัวเย็นเฉียบ ประกายความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาของเขา
เวินเสี่ยวฮุยร้องอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่รู้ว่าลั่วอี้หยิบมีดพับแหลมคมมาจากไหน ใบมีดนั้นบางเหมือนปีกจักจั่นและเปล่งแสงสีเงินเย็นเยียบ ตอนนี้คอของหลีซั่วถูกกรีดเป็นรอยเลือดเล็กๆ แล้ว
“ลั่วอี้! นายทำอะไรน่ะ!” เวินเสี่ยวฮุยต้องการจะพุ่งเข้าไป
“อย่าขยับ” ลั่วอี้พูดกับเวินเสี่ยวฮุย ทว่าสายตากลับมองหลีซั่วอย่างเย็นชา คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางๆ นั้นชวนให้ผู้คนสันหลังเย็นวาบ “หลีซั่ว ต่อให้ฉันตัดหูหรือนิ้วของนายตรงนี้ ฉันก็มีปัญญาชดใช้ ถ้าแค่กรีดหน้าของนายไม่กี่รอยฉันก็ไม่ต้องเข้าคุกด้วยซ้ำ…”
“ลั่วอี้นายมันบ้าไปแล้ว!” เวินเสี่ยวฮุยคว้าแขนของลั่วอี้ ก่อนพูดเสียงสั่น “นายปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ ถ้านายกล้าแตะต้องเขาล่ะก็ ฉันสู้ตายแน่”
ลั่วอี้เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “พี่พูดขนาดนี้แล้ว ผมจะปล่อยให้เขาจากไปอย่างปลอดภัยได้ยังไงล่ะ”
หลีซั่วหรี่ตา “น่าสมเพชจริงๆ นายกับเซ่าฉวินเป็นพวกเดียวกันเลย ยิ่งหวาดระแวงมากเท่าไรก็ยิ่งผลักคนรักออกไปไกลมากขึ้นเท่านั้น เหตุผลง่ายๆ แค่นี้นายยังไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็สมควรแล้ว”
แววตาของลั่วอี้เปล่งประกายดุร้าย
เวินเสี่ยวฮุยกัดแขนของลั่วอี้อย่างแรง ลั่วอี้ปล่อยแขนเนื่องจากความเจ็บปวดฉับพลัน เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือผลักหลีซั่วออกไป หลีซั่วคว้าแขนของลั่วอี้และบิดไปข้างหลัง ระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นเวินเสี่ยวฮุยพลันรู้สึกว่าไหล่ของเขาชา จากนั้นเขาก็ร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด
ลั่วอี้กับหลีซั่วต่างก็ตกตะลึง ลั่วอี้สะบัดหลุดจากพันธนาการของหลีซั่ว ทันทีที่หันตัวกลับไปมองก็เห็นว่ามีดของตัวเองกรีดไหล่ของเวินเสี่ยวฮุยเข้าให้แล้ว
“เสี่ยวฮุย!” หลัวรุ่ยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเดินออกมาจากห้องและเห็นฉากนี้เข้า
“พี่เสี่ยวฮุย” มีดของลั่วอี้ร่วงลงพื้นเสียงดัง เขาต้องการพุ่งเข้ามาแต่กลับถูกกระแทกด้วยหมัดของหลีซั่วจนล้มไปกองกับพื้น
หลัวรุ่ยวิ่งเข้าไปแล้วคลายเสื้อของเวินเสี่ยวฮุยเพื่อดูบาดแผลอย่างระมัดระวัง บาดแผลยาวเล็กน้อย แต่ตื้นมาก ใบหน้าซีดขาวของเขาจึงมีสีเลือดคืนกลับมาบ้างแล้ว
หลีซั่วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน “กล่องยาอยู่ที่ไหน”
ลั่วอี้ลุกขึ้นมาจากพื้น เช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ต้องการจะโจมตีหลีซั่วราวกับหมาป่าที่ดุร้าย
“พี่ใหญ่หลี” เวินเสี่ยวฮุยมองหลีซั่ว พูดแต่ละคำอย่างจริงจัง “พี่ไปเถอะ”
หลีซั่วมองเขาอย่างตกตะลึง
เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าลงไม่กล้ามองเขา “ต่อไปพี่ก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของพวกเราอีก…ขอโทษด้วย”
หลีซั่วหลับตาก่อนจะถอนหายใจ ดูอ่อนล้าอย่างที่สุด เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “เสี่ยวฮุย ดูแลตัวเองด้วย” พอพูดจบเขาก็เดินจากไป
หลัวรุ่ยกำหมัดแน่น รีบตามออกไปส่งเขา
เมื่อเหลือเพียงลั่วอี้กับเวินเสี่ยวฮุยตามลำพังภายในห้อง ความเงียบก็เชือดเฉือนหัวใจของพวกเขาทั้งสองคนราวกับใบมีด
ลั่วอี้ดูสะบักสะบอมมาก เขาปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากออก ก่อนจะหยิบกล่องยาออกมาจากในตู้ด้วยต้องการที่จะทายาให้เวินเสี่ยวฮุย
เวินเสี่ยวฮุยแย่งแอลกอฮอล์มาเช็ดบาดแผล ลั่วอี้ก็ทายาห้ามเลือดให้เขาเช่นกัน จากนั้นก็พันด้วยผ้าพันแผลสองรอบ
หลังจากความเงียบงันอันยาวนานเวินเสี่ยวฮุยก็พูดขึ้น “เวินเสี่ยวฮุยคนที่นายต้องการได้หายไปพร้อมกับลั่วอี้คนที่ฉันต้องการแล้ว นายเป็นคนทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ คนแปลกหน้าสองคนที่ต้องการจะตามหาเงาที่คุ้นเคยจากอีกฝ่าย นายไม่คิดว่ามันตลกหรอกเหรอ มันจะมีความหมายอะไรล่ะ”
ลั่วอี้พูดเสียงเบา “ไม่ว่าพี่จะเปลี่ยนไปยังไง ผมก็ยังรักพี่”
“แต่ฉันไม่ได้รักนาย” เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้อย่างเฉยชา “ฉันเกลียดนาย ฉันกลัวนาย ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ฉันหวังว่าฉันจะไม่เคยรู้จักนาย”
ลั่วอี้ข่มความเจ็บปวดในหัวใจเอาไว้ ก่อนคว้ามือของเวินเสี่ยวฮุยแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ผมจะทำให้พี่รักผมในตอนนี้ รักที่ตัวจริงของผม”
เวินเสี่ยวฮุยมองอีกฝ่าย แววตาล่องลอยคล้ายไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย
ลั่วอี้โน้มตัวจูบริมฝีปากของเขา “อีกไม่กี่วันผมจะพาพี่กลับปักกิ่ง พวกเราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน”
เวินเสี่ยวฮุยเบือนหน้าหนี
หลัวรุ่ยกลับเข้ามาในเวลานี้พอดี เวินเสี่ยวฮุยจึงพูดขึ้น “ทำไมนายไม่ใส่เสื้อคลุมแล้วค่อยออกไปล่ะ หนาวจะตาย”
หลัวรุ่ยส่ายหน้า “ไม่หนาว ไหล่ของนายเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไร แค่แผลภายนอก”
หลัวรุ่ยถลึงตามองลั่วอี้ ก่อนจะคว้าแขนของเวินเสี่ยวฮุยมาตรวจสอบอย่างละเอียด
เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมีดพับซึ่งตกอยู่บนพื้น เมื่อคิดว่าลั่วอี้พกของอย่างนี้ตลอดเวลาแม้ตอนอยู่บ้านก็ขนลุกขนพองอยู่ในใจ ถ้าหลีซั่วบาดเจ็บเพราะเขาจริงๆ เขาก็คงจะโทษตัวเองไปตลอดชีวิต โชคดีที่คราวนี้หลีซั่วคงจะยอมแพ้จริงๆ แล้วล่ะมั้ง…เมื่อเขานึกถึงแววตาผิดหวังของหลีซั่วก่อนที่จะจากไปก็รู้สึกทรมานเป็นที่สุด เขาเป็นหนี้บุญคุณหลีซั่วและคาดว่าทั้งชีวิตนี้ก็คงชดใช้ให้ไม่หมด
หลัวรุ่ยพูด “เสี่ยวฮุย ไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า “ฉันจะพานายออกไปเดินเล่น”
ลั่วอี้ก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน “ผมก็จะไปกับพวกพี่ด้วย”
“รถของฉันนั่งได้แค่สองคน”
ลั่วอี้อ้าปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงดัน “ออกไปข้างนอกก็ระวังด้วย”
หลังจากเวินเสี่ยวฮุยกับหลัวรุ่ยสวมเสื้อเรียบร้อยก็ขับรถออกไปแล้ว
หลัวรุ่ยถอนหายใจยืดยาว “อยู่กับลั่วอี้แล้วอึดอัดเป็นบ้า”
“ฉันก็เลยพานายออกมาไง”
“พวกเราจะไปไหนกันเหรอ”
“ไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง ถ้า…ตอนนี้เจอได้น่ะนะ” เวินเสี่ยวฮุยหยิบมือถือออกมา เขาโทรหาหลี่เฉิงซิ่วด้วยความอึดอัดเล็กน้อย มีคนรับสายแล้ว “ฮัลโหล เฉิงซิ่ว?”
เสียงของหลี่เฉิงซิ่วฟังดูอ่อนแรง “Adi?”
“นายอยู่ที่ไหนน่ะ”
“อยู่ที่ห้องน่ะ”
“เยี่ยมไปเลย เซ่าฉวินทำให้นาย…เอ่อ…สุดท้ายได้กลับห้องก็ดีแล้ว”
“อืม พี่ใหญ่หลีพาฉันกลับมา”
“ตอนนี้เขายังอยู่กับนายหรือเปล่า”
“ตอนเช้าอยู่ แต่ตอนนี้กลับไปแล้ว เขาบอกว่าจะไปหานายน่ะ”
“อ่อ ฉันเพิ่งออกมาจากห้อง คือว่า…ฉันแวะไปหานายได้ไหม”
“…ได้สิ นายอยากกินอะไรล่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ “ได้หมด”
หลังจากวางสายหลัวรุ่ยก็ถามขึ้น “ใครเหรอ”
“เพื่อนใหม่ ฉันคิดว่าเขาค่อนข้างเหมือนนาย”
หลัวรุ่ยพูดติดตลก “น่ารักเหมือนฉันน่ะเหรอ”
“ค่อนข้างเหมือนกับนายเมื่อก่อน” เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ดูน่าสงสารน่ะ”
“เพราะอย่างนั้นโรคแม่ไก่ของนายก็เลยกำเริบสินะ” หลัวรุ่ยยู่ปาก “ฉันชักจะหึงแล้วสิ”
เวินเสี่ยวฮุยบีบๆ แก้มของเขา “ไว้เจอแล้วนายต้องชอบเขาแน่”
เมื่อมาถึงที่พักของหลี่เฉิงซิ่ว ทั้งสองคนก็ซื้อผลไม้กันอยู่ที่ชั้นล่าง
ตัวของหลี่เฉิงซิ่วนั้นซีดขาวและอ่อนแอเหมือนกับเสียงของเขา มันไม่ใช่ความอ่อนแอทางร่างกาย หากแต่เป็นความอ่อนแอแบบที่จิตใจถูกทำร้าย เขาซูบผอมจนโหนกแก้มโปนออกมาเล็กน้อย เห็นแล้วชวนให้ปวดใจเป็นอย่างมาก
เมื่อหลี่เฉิงซิ่วเห็นหลัวรุ่ยก็ดูเหมือนต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนอง เขาถามเวินเสี่ยวฮุยด้วยแววตาสงสัย
“เขาคือ…”
“ใช่ เขาคือหลัวรุ่ย หลัวรุ่ย นี่คือเฉิงซิ่ว”
หลัวรุ่ยยิ้มพลางทักทายเขา “ไง สวัสดี”
หลี่เฉิงซิ่วมองดูรอยยิ้มที่สดใสและน่ารักของหลัวรุ่ย ในใจก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่เคียงข้างเวินเสี่ยวฮุยล้วนแต่มีความมั่นใจในตัวเองและเปล่งประกายเสมอ
“ฉันซื้อผลไม้มาให้นาย มาๆ นายเลี้ยงข้าวพวกเรานะ”
“โอ๊ย นายซื้อมังคุดมาได้ยังไง มันแพงมากนะ…” ทันทีที่หลี่เฉิงซิ่วรับผลไม้มาก็บ่นอุบ
หลังจากเวินเสี่ยวฮุยเข้ามาในห้องแล้วก็มองไปรอบๆ ร่องรอยจากการอาละวาดของเซ่าฉวินคราวก่อนถูกเก็บกวาดหมดแล้ว หลี่เฉิงซิ่วเป็นคนสะอาดเรียบร้อยมาก เขาจัดห้องอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่มีของบางอย่างเช่นแจกันที่ตกแตกหรือเก้าอี้พังๆ ที่ไม่อาจกลับมาเป็นแบบเดิมได้แล้ว
หลี่เฉิงซิ่วหั่นผลไม้ก่อนจะชงชาแล้วจึงยกเข้ามา “ฉันกำลังตุ๋นซุปไก่”
“อืม หอมจังเลย” หลัวรุ่ยสูดๆ จมูก
เวินเสี่ยวฮุยมองดูใบหน้าซีดขาวของหลี่เฉิงซิ่ว “นาย…กลับมาตอนไหนเหรอ”
“เมื่อวาน”
“เซ่าฉวินไม่ได้ทำอะไรให้นายลำบากใช่ไหม”
หลี่เฉิงซิ่วตัวสั่นทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เขากลืนน้ำลาย จะพยักหน้าก็ไม่ใช่ จะส่ายหน้าก็ไม่เชิง ได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น
เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “พี่ใหญ่หลีแค่พาพี่สาวของเขาไปด้วย เขาก็ปล่อยนายแล้วเหรอ”
ครั้งนี้หลี่เฉิงซิ่วส่ายหน้า
“เขาจะมาหานายอีกหรือเปล่า”
“ฉันไม่รู้” หลี่เฉิงซิ่วบิดมือไปมา “ฉันคิดว่าจะย้ายไปเมืองอื่น”
“ย้ายไปไหน”
“คงไม่ไกลมาก แต่ยังไม่ได้คิด”
“นายต้องการเงินหรือเปล่า”
หลี่เฉิงซิ่วส่ายหน้า “ฉัน…มีเงินเก็บนิดหน่อย”
“ถ้านายต้องการล่ะก็บอกฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” เวินเสี่ยวฮุยนึกอะไรบางอย่างได้ก็เขียนที่อยู่อีเมลและรหัสผ่านให้เขา “นี่เป็นอีเมลลับ ถ้านายเปลี่ยนบัญชีจะใช้อีเมลนี้ติดต่อฉันก็ได้ ฉันก็จะใช้อีเมลนี้ติดต่อนายเหมือนกัน”
หลี่เฉิงซิ่วพยักหน้าแล้วรับมันมาอย่างระมัดระวัง
เวินเสี่ยวฮุยไม่ต้องการพูดถึงเซ่าฉวินอีกต่อไปแล้ว เขาเองก็มีเรื่องน่าหงุดหงิดอยู่เต็มสมอง และไม่ต้องการพูดเรื่องกวนใจของคนอื่น เขากับหลัวรุ่ยต่างพร้อมใจกันเล่าเรื่องสมัยเด็กของตัวเอง กระทั่งบนใบหน้าของหลี่เฉิงซิ่วปรากฏรอยยิ้มจางๆ ในที่สุด
ทั้งสามคนกินดื่มอย่างมีความสุข และก่อนจะกลับเวินเสี่ยวฮุยก็บอกกับหลี่เฉิงซิ่วว่าเขาจะกลับเมืองหลวงแล้วและบอกอีกฝ่ายว่าต้องติดต่อเขาด้วยอีเมลนั้น หลี่เฉิงซิ่วคว้าเสื้อของเขาอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วพูดเสียงเบา
“เสี่ยวฮุย ขอบคุณนายมาก การได้รู้จักกับนายมันดีมาก”
เวินเสี่ยวฮุยขยี้ๆ ผมของเขาก่อนจะหัวเราะแล้วพูด “ไม่ต้องขอบคุณหรอก สบายมาก ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ฝากดูแลพี่ใหญ่หลีแทนฉันด้วย”
หลี่เฉิงซิ่วได้แต่ฝืนหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เวินเสี่ยวฮุยเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถให้คำสัญญาใดๆ ได้ ขณะที่เขามองดูความลังเล ความวิตกกังวล ความหมดหนทาง และความกลัวของหลี่เฉิงซิ่วในตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังส่องกระจก เพียงแต่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าหลี่เฉิงซิ่วมาก
หลังออกมาจากห้องของหลี่เฉิงซิ่ว หลัวรุ่ยก็กระซิบ “นายกลัวหรือเปล่า กลับไปน่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ฉันคิดถึงแม่น่ะ”
“ฉันจะอยู่กับนายเสมอ”
เวินเสี่ยวฮุยจับไหล่ของเขาแล้วยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ฉันรู้”
เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากที่กลับเมืองหลวง ลั่วอี้ที่ดื้อด้านขึ้นเรื่อยๆ พฤติกรรมที่เหมือนกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว จะดีหรือร้ายก็แค่วันวันหนึ่ง
เพียงแต่ลั่วอี้อย่าได้หวังว่าพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนเลย ไม่มีอะไรที่สามารถ ‘เริ่มต้นใหม่’ ได้ทั้งนั้น