ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 81-83 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Additional Heritage มรดกลวงรัก

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 81-83 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

บทที่ 83

 

เวินเสี่ยวฮุยปรากฏตัวที่สนามบินพร้อมกับหลัวรุ่ยอย่างไม่สบายใจนัก เขาเน้นย้ำอีกฝ่ายอยู่หลายรอบ “เดี๋ยวเจอแม่ฉันแล้วต้องให้ความร่วมมือตามที่ฉันพูด ตอนนี้แม่สบายดีมากแล้ว อย่าทำให้เธอต้องเป็นห่วงฉัน”

หลัวรุ่ยพยักหน้าอย่างขุ่นเคือง

เวินเสี่ยวฮุยขยี้ผมที่เป็นลอนน้อยๆ ของเขา “นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก”

“เบบี๋ ฉันเชื่อฟังนาย แต่นายก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ”

“วางใจเถอะ” เวินเสี่ยวฮุยแสยะยิ้ม “นายลืมไปแล้วเหรอ เป้าหมายในชีวิตของฉันก็คือการหาคนอุปถัมภ์ ตอนนี้ก็เป็นจริงแล้วไม่ใช่หรือไง ดีจะตายไป”

หลัวรุ่ยฝืนหัวเราะ

เครื่องบินลงจอดแล้ว เวินเสี่ยวฮุยรออยู่ที่ทางออก สายตาสอดส่องอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินออกมา

“แม่!” เวินเสี่ยวฮุยตะโกนเสียงดัง ดวงตาเปียกชื้นทันใด เขาพุ่งตัวเข้าไปกอดแม่ของเขาอย่างแรง

เฝิงเยวี่ยหวาก็น้ำตารื้นด้วยความตื้นตันเช่นกัน เธอตบๆ หลังของเขาอย่างแรง จากนั้นก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา

“แม่ครับ ผมคิดถึงแม่จังเลย” เวินเสี่ยวฮุยดมกลิ่นหอมสดชื่นจากผมของเธอ เมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่คุ้นเคยเขาก็ไม่สามารถระงับความคับข้องใจ ความหดหู่ และความเจ็บปวดในใจได้อีกต่อไป ความรู้สึกทั้งหมดนั้นหลั่งไหลออกมาพร้อมกับน้ำตา

“เจ้าเด็กบ้านี่ อยากไปก็ไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ นี่แกคิดถึงฉันตรงไหน…” เฝิงเยวี่ยหวาด่าเสียงสะอื้น

“แม่ครับ ผมขอโทษ ผมทำผิดต่อแม่” เวินเสี่ยวฮุยน้ำตานองหน้า ไม่อาจบรรยายความเสียใจที่อยู่ในใจได้เลย ขณะที่กอดคนที่รักที่สุดในโลกใบนี้เขากลับไม่กล้าและไม่สามารถพูดความจริงได้ด้วยซ้ำ ในใจเขามีความคับข้องใจมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถอ้อนและบ่นกับแม่ของตัวเองได้เหมือนตอนเด็กๆ เมื่อก่อนดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะสามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่ๆ ได้ทุกเรื่อง แต่พอโตมาก็ได้รู้ว่ายิ่งปัญหาใหญ่เท่าไรก็ยิ่งต้องแบกรับไว้ด้วยตัวเอง

เฝิงเยวี่ยหวาทุบเขาอย่างแรงอีกสองครั้ง แล้วซบหน้าไว้ที่ไหล่ของเขา ไหล่นั้นกระตุกอย่างรุนแรง

หลัวรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยตาแดงไปด้วย

เวินเสี่ยวฮุยปลอบประโลมเธออยู่นานก่อนที่ทั้งสองจะออกมาจากสนามบิน

หลังจากขึ้นรถเฝิงเยวี่ยหวาก็ปาดน้ำตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “หลัวรุ่ย ขอโทษทีนะ เสียมารยาทไปหน่อย”

“คุณน้าจะเกรงใจอะไรผมกันครับ”

เวินเสี่ยวฮุยโอบไหล่แม่ของเขา “แม่ครับ คราวนี้ผมจะไม่ไปไหนแล้ว จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

เฝิงเยวี่ยหวาคว้ามือของเขา ก่อนสูดหายใจเข้าลึกหนหนึ่ง “แกกับลั่วอี้…ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เวินเสี่ยวฮุยเข้าใจนิสัยของแม่ดี แม่เป็นคนที่มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยเหตุนี้ต่อให้ปัญหานี้ยากที่จะบรรยายมากแค่ไหน เขาก็หลบเลี่ยงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

เขาก้มหน้า “แม่ ผมกับเขา…คืนดีกันแล้ว”

เฝิงเยวี่ยหวาเบิกตากว้าง “แกว่าไงนะ”

เวินเสี่ยวฮุยพยายามแสดงท่าทีผ่อนคลาย “ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมโกรธเขา ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาอีกก็เลยไปที่เผิงเฉิง แต่ตอนนี้ปรับความเข้าใจกันแล้ว พวกเราก็เลย…”

เฝิงเยวี่ยหวาตบหน้าเขาเสียงดังเพียะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคม “นี่แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ!”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนผ่าว เขาเลียริมฝีปาก พูดอย่างดึงดัน “แม่ ตอนนี้ผมตื่นตัวดีมาก สุดท้ายแล้วพวกเราก็รักกัน ช่วงที่ผมปกปิดแม่พวกเราต่างก็เห็นอีกฝ่ายเป็นครอบครัว ต่อมาก็…เอาเป็นว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องเข้าใจผิดมากมาย แต่ตอนนี้ผมคิดจะลองเริ่มต้นใหม่กับเขาอีกครั้ง” เขาพูดแล้วก็รู้สึกตลกสิ้นดี คำพูดเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่ลั่วอี้อยากได้ยินมากที่สุด และเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถพูดได้เวลาที่เผชิญหน้ากับครอบครัวหรือเพื่อน แม้มันจะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง หวังเหลือเกินว่าระหว่างเขากับลั่วอี้จะเป็นเพียงการเข้าใจผิด ไม่ใช่ความเกลียดชังที่ไม่มีทางคลี่คลายได้

เฝิงเยวี่ยหวาเหม่อมองเวินเสี่ยวฮุย สีหน้านั้นซับซ้อนยากจะอธิบาย เธออ้าๆ หุบๆ ปากแล้วพูดเสียงต่ำ

“เดี๋ยวนี้ฉันว่าอะไรแกไม่ได้แล้วใช่ไหม”

เวินเสี่ยวฮุยปวดใจ “แม่ ผมดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”

เฝิงเยวี่ยหวาหลับตาลงแล้วพิงอยู่บนเบาะรถ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอ่อนล้า

เวินเสี่ยวฮุยทั้งปวดใจทั้งรู้สึกผิด เขากดนวดขมับของแม่เบาๆ

เฝิงเยวี่ยหวาเงียบงันไปเนิ่นนานก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วพูดอย่างใจเย็น “ให้เขามาหาฉัน”

มือของเวินเสี่ยวฮุยแข็งค้างกลางอากาศ “แม่ เรื่องนี้มัน…”

“แกอยากคืนดีกับเขาไม่ใช่หรือไง แกคบกับเขามาตั้งนานขนาดนี้ จะไม่พาเขามาเจอฉันหน่อยเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่ว่าเขาจะพูดเก่งสักแค่ไหน ทว่าเขาก็ไม่สามารถโต้แย้งภายใต้สายตาที่ดุดันของแม่ได้เลย

หลัวรุ่ยมองเวินเสี่ยวฮุยจากกระจกมองหลังครู่หนึ่ง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง เหงื่อเย็นซึมอยู่บนหน้าผาก อันที่จริงเขาก็เหมือนกับเวินเสี่ยวฮุยที่ตอนเด็กๆ ค่อนข้างกลัวเฝิงเยวี่ยหวา แม้เฝิงเยวี่ยหวาจะดีกับเขามากมาโดยตลอด แต่ความแข็งแกร่งและความฉุนเฉียวของเธอก็มักอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดการเติบโตเสมอมา

เวินเสี่ยวฮุยเม้มริมฝีปาก “…ได้”

“วันนี้เลย”

“แม่ แม่เพิ่งลงจากเครื่อง พักผ่อนสักหน่อยก่อนเถอะ”

“ฉันไม่เหนื่อย แกไปเรียกเขามาวันนี้เลย” เฝิงเยวี่ยหวาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วไม่พูดอะไรอีก

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว ก่อนหยิบมือถือออกมาอย่างลังเล เขาร้องขอลั่วอี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ให้ปรากฏตัวต่อหน้าแม่ของเขา คิดไม่ถึงว่าแม่กลับร้องขอที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายเสียเอง…หลังจากทั้งสองคนเจอกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แม่ของเขาทั้งอ่อนไหวและเฉียบแหลมขนาดนั้น จะค้นพบสิ่งที่เขาซ่อนอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เขาไม่กล้าคิดมากแล้ว เขาส่งข้อความหาลั่วอี้ด้วยนิ้วที่สั่นเทาเล็กน้อย และบอกให้ลั่วอี้มาที่ห้องของเขาตอนบ่ายสามโมง

 

เมื่อกลับถึงห้องเฝิงเยวี่ยหวาก็ไปอาบน้ำ ส่วนเวินเสี่ยวฮุยกับหลัวรุ่ยกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว

หลัวรุ่ยพูดเสียงเบา “คุณน้าอยากเจอลั่วอี้จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยแสร้งพูดอย่างสบายใจ “น่าจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง แม่ฉันก็ไม่ได้กินคนสักหน่อย”

หลัวรุ่ยมองเขาคล้ายกำลังครุ่นคิด

เวินเสี่ยวฮุยพูด “เป็นอะไรไป”

“นายดูตื่นเต้นมาก”

“…นิดหน่อยมั้ง ถ้าแม่ฉันถามอะไรนาย นายอย่าพูดจาส่งเดชนะ”

“นายหมายถึงอะไร”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “ถ้าแม่ฉันถามว่าพวกเราคบกันเป็นยังไงบ้าง นายแค่บอกว่าดีก็พอ”

หลัวรุ่ยขมวดคิ้ว “นายจะโกหกคุณน้าเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยเน้นเสียง “ไม่ได้ให้นายโกหก อันที่จริงตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้แย่เท่าไร นายก็อย่าคิดเหลวไหลแล้วกัน”

หลัวรุ่ยพูดอย่างลังเล “…ก็ได้”

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าหั่นผัก ไม่กล้ามองหลัวรุ่ยตรงๆ

“พี่ใหญ่หลี…”

เวินเสี่ยวฮุยมือสั่น คมมีดหั่นโดนนิ้วของเขา เลือดพลันไหลออกมาในทันที

หลัวรุ่ยรีบเอานิ้วของเขาล้างน้ำผ่านก๊อก เวินเสี่ยวฮุยหดมือกลับด้วยความหงุดหงิด

“ไม่เป็นไร…พี่ใหญ่หลีเป็นยังไงบ้าง”

หลัวรุ่ยพูดอย่างหดหู่ “นายไม่คิดจะติดต่อพี่ใหญ่หลีอีกแล้วจริงๆ เหรอ วันนั้นนาย…ทำร้ายเขาเกินไปแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยระคายเคืองจมูกเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างหัวแข็ง “ไม่ติดต่อแล้ว มันเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย”

“แต่ว่า…”

“นายเลิกเซ้าซี้สักทีได้ไหม!”

หลัวรุ่ยตกใจจนตัวสั่น ดวงตาพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเสียใจในทันที ทว่าคำพูดนั้นก็เอ่ยออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เอามันกลับคืนมาไม่ได้ เขาพูดอย่างหดหู่

“ขอโทษที ฉันเครียดไปหน่อย”

หลัวรุ่ยก้มหน้า ปกปิดความอึดอัดด้วยการล้างผัก

ทันใดนั้นเวินเสี่ยวฮุยก็ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลัวรุ่ยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขารู้ว่าหลัวรุ่ยยังคงสงสัยในคำพูดของเขา สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วอี้ หลัวรุ่ยเป็นคนไร้เดียงสาแต่ไม่ได้โง่ ตรงกันข้ามอีกฝ่ายเป็นคนที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางปิดบังความรักระหว่างเขากับลั่วอี้จากหลัวรุ่ยได้เลย ในขณะเดียวกันก็เสแสร้งไม่ได้ด้วย เกรงว่าหลัวรุ่ยคงจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งนานแล้วเพียงแต่ไม่ยอมรับก็เท่านั้น เขาพอจะจินตนาการออกว่าหลัวรุ่ยจะเสียใจมากแค่ไหนต่อการปิดบังและคำโกหกของเขา การสร้างความเชื่อใจต้องใช้ความซื่อสัตย์เป็นระยะเวลานาน ทว่าการทำลายความเชื่อใจนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอแล้ว หลัวรุ่ยจะต้องผิดหวังมากแน่ๆ

ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกทรมานจนรู้สึกเจ็บหน้าอก ลั่วอี้จะต้องพรากสิ่งที่อยู่ในชีวิตของเขาไปมากแค่ไหนกันถึงจะยอมรามือ

หลังจากทำอาหารเสร็จทั้งสามคนก็นั่งล้อมวงกินข้าวกัน พวกเขาต่างก็ไม่เอ่ยถึงลั่วอี้ไปโดยปริยาย แต่พูดคุยถึงช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันกว่าสองปี

เวินเสี่ยวฮุยฟังเฝิงเยวี่ยหวาเล่าถึงชีวิตที่อเมริกาเงียบๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้มแห่งความสุข ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจหาใดเปรียบ

หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเขาก็นั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะดูเวลา และยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

บ่ายสามโมงเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นแทบจะตรงเวลา

หน้าอกของเฝิงเยวี่ยหวากระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่จับจ้องไปยังประตูห้อง

เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นไปเปิดประตู ในห้องของเขามีฉากกั้นระหว่างประตูห้องกับห้องนั่งเล่น เขาคว้าลูกบิดประตู ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดออก

ลั่วอี้ยืนอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยรอยยิ้ม วันนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อสูทแต่สวมชุดลำลองและรองเท้าบาสเกตบอลแทน อีกทั้งยังใส่หมวกแก๊ปด้วย ทำให้เขาดูเหมือนเด็กนักเรียนอย่างสมบูรณ์ ท่วมท้นไปด้วยลมหายใจของความสดใสแห่งวัยเยาว์

เนื่องจากความเป็นผู้ใหญ่และสติปัญญาที่เป็นเลิศของลั่วอี้ เวินเสี่ยวฮุยจึงมักลืมอยู่เสมอว่าที่จริงแล้วลั่วอี้เพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น การแต่งตัวแบบนี้ทำให้ผู้คนลดความระวังตัวลงมากอย่างเห็นได้ชัด

ลั่วอี้กะพริบๆ ตา ก่อนพูดเสียงเบา “ไม่ต้องตื่นเต้น”

เวินเสี่ยวฮุยหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากในตู้รองเท้าก่อนจะพูดเสียงต่ำ “นายเอาให้เธอเองเถอะ” มันคือเครื่องประดับหยกที่ลั่วอี้ขอให้เขามอบให้แม่ของเขา

ลั่วอี้รับถุงกระดาษมาแล้วก้มหน้าลงจูบเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินเข้าห้องไป

เฝิงเยวี่ยหวากับหลัวรุ่ยหันมามองพวกเขาพร้อมกัน

ลั่วอี้เผยรอยยิ้มอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ เขาพูดอย่างสบายๆ “สวัสดีครับคุณป้า พี่หลัวรุ่ย พี่ก็อยู่ด้วยเหรอ”

สีหน้าของหลัวรุ่ยดูอึดอัดมาก

เฝิงเยวี่ยหวาตะลึงงัน ไม่รู้เป็นเพราะใบหน้าของลั่วอี้ที่เหมือนกับลั่วหย่าหย่าถึงเก้าส่วน หรือเป็นเพราะบุคลิกอ่อนเยาว์ที่ทั้งสดชื่นและสุภาพเรียบร้อยของเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ชัดเจนว่าทำให้เธอประหลาดใจมาก

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าลั่วอี้ในจินตนาการของเฝิงเยวี่ยหวาเป็นอย่างไร แต่เด็กน้อยอายุแปดขวบที่ถูกเรียกว่า ‘สัตว์ประหลาด’ และคิดที่จะเผาพ่อของตัวเองคงจะไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของเธออย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงสามารถเข้าใจความประหลาดใจของเธอได้ ก็เหมือนเขาในตอนแรกที่ไม่เชื่อว่าลั่วอี้ที่อ่อนโยนและเอาใจใส่ถึงเพียงนั้นจะมีปีศาจซ่อนอยู่ในหัวใจ

เฝิงเยวี่ยหวาได้สติจากอาการตื่นตระหนก หลังจากสีหน้าที่ตึงเครียดในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยความมึนงงก็ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เธอไอเบาๆ ทีหนึ่ง “เอ่อ…สวัสดี นั่งสิ” คนเรามักทำใจตบหน้าคนที่สำนึกผิดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าเธอจะมีข้อสงสัยและอคติต่อลั่วอี้มากเพียงใด แต่ในเวลานี้ก็ไม่สามารถที่จะเผยมันออกมาได้เลย

ลั่วอี้กับเวินเสี่ยวฮุยเดินไปนั่งลงบนโซฟา ลั่วอี้วางของขวัญลงตรงหน้าเฝิงเยวี่ยหวาอย่างใส่ใจ

“คุณป้า นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เดิมทีผมกะว่าจะให้ในวันแต่งงานของคุณป้า แต่ว่า…” เขาเผยรอยยิ้มเขินอาย “ตอนนั้นผมกับพี่เสี่ยวฮุยมีเรื่องผิดใจกัน ก็เลยทำให้คุณป้าต้องพลอยเป็นกังวลไปด้วย”

เฝิงเยวี่ยหวาพูดทันที “ฉันจะรับน้ำใจของเธอไว้ แต่ฉันขอไม่รับของขวัญก็แล้วกัน”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่แค่สำหรับพี่เสี่ยวฮุยเท่านั้น แต่ผมอยากขอบคุณคุณป้าแทนแม่ของผม คิดซะว่าเห็นแก่แม่ของผม คุณป้าก็ควรจะรับไว้นะครับ”

เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ฉันก็มีเรื่อง…ที่ทำผิดต่อหย่าหย่าเหมือนกัน ฉันรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าฉันจะรับน้ำใจไว้ก็แล้วกัน”

ลั่วอี้พูดอย่างผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นผมจะฝากไว้ที่พี่เสี่ยวฮุยให้ดูแลแทนคุณป้าแล้วกันนะครับ ผมรู้ว่าคุณป้ามีเรื่องกังวลเกี่ยวกับผมเยอะมาก ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณป้ายอมรับผมด้วยใจจริงจริงๆ ค่อยรับมันไว้ก็ไม่สาย”

ลั่วอี้พูดจาอย่างไร้ช่องโหว่ ทำให้เฝิงเยวี่ยหวาไม่อาจปฏิเสธได้แม้อยากจะปฏิเสธมากสักแค่ไหนก็ตาม ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสองนาทีนับตั้งแต่ที่ลั่วอี้เข้าประตูมา บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจากที่ทุกคนคาดไว้

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเป็นกังวลดี เขานึกว่าลั่วอี้จะได้รับคำตำหนิและถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรง ทว่าแม่ของเขาที่แข็งแกร่งอยู่เสมอกลับไม่สามารถระเบิดอารมณ์ต่อหน้าลั่วอี้ที่สงบและสุภาพแบบนี้ได้

เฝิงเยวี่ยหวาน่าจะตระหนักถึงจุดนี้ได้เช่นกัน เธอกระแอมกระไอเบาๆ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ วันนี้ที่ฉันอยากเจอเธอ ข้อแรกเพราะอยากเห็นว่าเธอเป็นคนยังไงกันแน่ ข้อสองเพราะอยากคุยกับเธอเรื่องของเสี่ยวฮุย”

ลั่วอี้ยิ้มอย่างสุภาพ “คุณป้าว่ามาเลยครับ” เขาถอดหมวกแก๊ปแล้วจัดทรงผมที่ถูกหมวกทับไว้จนยุ่งเหยิง ท่าทางสบายๆ ของเขาเผยให้เห็นความไร้เดียงสาอันเลือนราง

หลัวรุ่ยมองอย่างตกตะลึง เวินเสี่ยวฮุยเองก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ทักษะการแสดงของลั่วอี้นั้นไร้ที่ติ

คำพูดที่เฝิงเยวี่ยหวาคิดมาอย่างดีล้วนไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ เธออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างติดอ่างเล็กน้อย

“เอ่อ…ตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่”

“เปิดบริษัทของตัวเองครับ” ลั่วอี้พูดอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ตั้งบริษัทเองเหนื่อยใช่เล่นเลย”

“อายุแค่นี้ก็เปิดบริษัทแล้วเหรอ เธออายุเท่าไร”

“ย่างยี่สิบเอ็ดครับ ผมเรียนจบเร็ว” ลั่วอี้ยิ้มขณะเอ่ย “พี่เสี่ยวฮุยไม่ได้บอกคุณป้าเหรอครับว่าผมเรียนข้ามชั้น”

“อ่อ เหมือนเคยบอกอยู่นะ” เฝิงเยวี่ยหวาเหลือบมองเวินเสี่ยวฮุยด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน

“ถึงจะเหนื่อยแต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีมาก อีกอย่างมีพี่เสี่ยวฮุยอยู่ข้างผม ผมก็รู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษ” ลั่วอี้ยิ้มจนตาแทบจะกลายเป็นสระอิ “คุณป้าครับ ผมยืนกรานจะให้ของขวัญคุณป้าเพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะขอบคุณคุณป้ายังไงดี คุณป้ากับคุณลุงช่วยแม่ของผมไว้ แล้วพี่เสี่ยวฮุยก็มาช่วยผมอีก…ไม่สิ ควรจะพูดว่าพี่เสี่ยวฮุยช่วยชีวิตผม ผมอยากขอบคุณที่คุณป้าส่งเขามาอยู่ข้างๆ ผม สำหรับผมแล้วพี่เขาสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”

เฝิงเยวี่ยหวาเบิกตากว้าง อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

ลั่วอี้ยิ้มอย่างเหนียมอาย “ตอนเด็กๆ ไม่มีใครดูแลผม ผมก็เลยมีนิสัยปิดกั้นตัวเองแล้วก็ผิดแปลกจากคนอื่น บ่อยครั้งที่ผมไม่คุยกับใครอยู่หลายวัน ความคิดก็ต่างจากคนทั่วไป แต่ว่าตั้งแต่ที่พี่เสี่ยวฮุยเดินเข้ามาในชีวิตผม เขาก็สอนวิธีสื่อสารและการทำตัวเหมือนคนปกติให้กับผม จะพูดว่าเขาได้เปิดโลกใบใหม่ให้ผมก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา อย่าว่าแต่บริษัทเลย การไปเรียนก็อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับผมด้วยซ้ำ” ลั่วอี้กุมมือของเวินเสี่ยวฮุยเบาๆ พลางหันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นทั้งอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนให้หวั่นไหว

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ส่วนทางด้านเฝิงเยวี่ยหวาก็กะพริบตา สมองงุนงงไปชั่วขณะ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

 

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Additional Heritage มรดกลวงรัก

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com