Additional Heritage มรดกลวงรัก
ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 84-86 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3
ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)
แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การสะกดรอยตาม การลักพาตัว
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 84
ทั้งสี่คนนั่งคุยกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เวินเสี่ยวฮุยมองดูแม่ของเขาที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากอารมณ์เดือดปุดๆ ก่อนที่ลั่วอี้จะเข้าห้องมาจนกระทั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แม้การแสดงออกจะยังคงแข็งกระด้างและอึดอัดอยู่บ้าง ทว่าแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเกินเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เขารู้ว่าแม่ได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะกระชากหน้ากากของลั่วอี้ หรือแม้แต่อาจจะหยิบมีดทำครัวขึ้นมาแทนเขาและทำเหมือนที่เธอเคยวิ่งไล่คุณครูที่รังแกเขารอบสนามเด็กเล่น เธอปกป้องลูกน้อยอย่างไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่ลั่วอี้นั้นอ่อนนุ่มราวกับดอกฝ้าย ใบหน้ายิ้มแย้มรับแขกตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่าว่าแต่แม่ของเขาเลย แม้แต่เขากับหลัวรุ่ยเองก็ถูกลั่วอี้สะกดให้ตกอยู่ในภวังค์
ในท้ายที่สุดแม่ก็ยังบอกให้ลั่วอี้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน
ลั่วอี้ยืนกรานว่าจะต้องเข้าครัวให้ได้ ทั้งยังกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “พี่เสี่ยวฮุยทำอาหารไม่เป็น ผมเป็นคนทำอาหารเวลาอยู่บ้าน ผมทำเร็ว พวกคุณป้าไปดูหนังแล้วรอสักพักก็แล้วกันครับ”
ลั่วอี้เข้าครัวไปทำอาหารแล้ว ทิ้งให้ทั้งสามคนมองหน้ากัน
เฝิงเยวี่ยหวากระแอมกระไอเสียงเบา “เอ่อ…เจ้าเด็กคนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่ฉันคิดไว้เท่าไร”
เวินเสี่ยวฮุยหดหู่เล็กน้อย “แม่คิดไว้ว่ายังไงเหรอ”
เฝิงเยวี่ยหวาขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรไปชั่วขณะ
อันที่จริงเวินเสี่ยวฮุยก็สามารถเดาได้แม้เธอจะไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าใครก็คงต้องจินตนาการ ‘สัตว์ประหลาด’ วัยแปดขวบที่เผาพ่อของตัวเองว่ามืดมน ประหลาด เลือดเย็น โหดเหี้ยม และแปลกแยก ซึ่งในความเป็นจริงลั่วอี้เหมาะสมกับคำบรรยายเหล่านี้มาก เพียงแต่ว่าเวลาที่ลั่วอี้เสแสร้งนั้นไม่ว่าใครก็ดูไม่ออก อีกอย่างเขาก็ไม่สามารถบอกแม่ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของลั่วอี้ได้
เฝิงเยวี่ยหวาครุ่นคิดแล้วถาม “เขาก็ดูดีกับแกมาก ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยพูดแห้งๆ “เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย เกี่ยวกับความรู้สึกน่ะ พูดยาก”
เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ลูกชายของหย่าหย่าเชียวนะ นี่คือโชคชะตาเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ…”
นั่นสิ นี่ไม่ใช่โชคชะตาหรอกเหรอ จะมีสักกี่คนในโลกนี้กันเชียวที่มีความรักเหมือนพวกเขา
“แกชอบเขามากจริงๆ เหรอ” เฝิงเยวี่ยหวาถามเวินเสี่ยวฮุยอย่างจริงจัง
เวินเสี่ยวฮุยกัดริมฝีปากเบาๆ เขาไม่เต็มใจที่จะตอบคำถามนี้อย่างเด็ดขาด แต่กลับพยักหน้าโดยอัตโนมัติแล้ว
“มันไม่เหมาะจริงๆ ถ้าแกจะคบกับเขา เขาเป็นลูกชายของพี่สาวแก ถึงจะไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ถึงยังไงก็ไม่น่าฟังอยู่ดี อีกอย่างเขาก็เด็กกว่าแกห้าปี แถมยังมีพ่อคนนั้นของเขาอีก…” เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจอีกครั้ง “ทำไมแกต้องชอบเขาด้วยนะ แกจะให้ฉันด่าแกว่ายังไงดี”
เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าจนเกือบชิดหน้าอก ตอนนี้เข้ารู้สึกเปี่ยมไปด้วยความประชดประชันอย่างเต็มที่ เขาต้องการที่จะหนีไปจากลั่วอี้ตลอดเวลา แต่กลับต้องแสร้งทำเป็นมีความสุขต่อหน้าทุกคน ลั่วอี้เกลี้ยกล่อมแม้แต่แม่ของเขาได้สำเร็จแล้วด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าลั่วอี้ได้แยกโลกทั้งใบของเขาออกไปแล้ว และในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะพึ่งพาลั่วอี้เท่านั้น ไม่มีทางกลับหลังหันได้อีก เขาหยิกฝ่ามือของตัวเอง ก่อนฝืนยิ้มแล้วพูด “แม่ ตอนนี้ผมสบายดี แม่ก็…ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก รีบมีน้องชายน้องสาวร่วมสายเลือดให้ผมเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน”
“เหลวไหล ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว เอียนเองก็มีลูก ฉันก็มีแก ยังจะมีอะไรอีก” เฝิงเยวี่ยหวาพูดจบก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเด็กลั่วอี้คนนี้สุภาพมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเห็นด้วยที่พวกแกคบกัน พอทะเลาะกันแกก็หนีไปอยู่ที่อื่น ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใจผิดกัน แกก็จะไม่กลับบ้านอีกแล้วใช่ไหม แกจะต้องจับตามองเขา ถ้ามีอะไรผิดปกติล่ะก็ แกจะต้องรีบตัดขาดกับเขาทันที”
เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า ในใจได้แต่ฝืนยิ้ม
ผ่านไปครู่หนึ่งลั่วอี้ก็ทำอาหารมาเต็มโต๊ะ เขายังหยิบถ้วยชามบนโต๊ะอาหารที่เก็บไว้นานจนฝุ่นจับมาจัดเรียงอย่างงดงามและพิถีพิถันเป็นพิเศษ จากนั้นก็เรียกให้พวกเขามากินข้าว
ครอบครัวของเวินเสี่ยวฮุยไม่มีใครที่ทำอาหารเป็น พ่อของเขาไม่เข้าครัวเลย ฝีมือการทำอาหารของแม่แค่ปรุงสุกก็พอแล้ว ส่วนเขานั้นขี้เกียจยิ่งกว่า ในครอบครัวนี้ไม่เคยมีอาหารมื้อค่ำที่โอ่อ่าหรูหราและวิจิตรตระการตาเช่นนี้มาก่อน เมื่อมองดูอาหารอร่อยๆ เต็มโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ดีขึ้นมาอีกครั้ง
เฝิงเยวี่ยหวาอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ “หอมจังเลย”
ลั่วอี้เผยรอยยิ้มน่ามองออกมาให้เห็น “คุณป้ารีบมาชิมเร็วครับ” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เฝิงเยวี่ยหวาก่อน ซึ่งมันเป็นความเอาใจใส่ของลูกเขยที่มีต่อแม่ภรรยาโดยสมบูรณ์
ระหว่างมื้ออาหารบรรยากาศก็กลมเกลียวยิ่งกว่าเดิม เฝิงเยวี่ยหวาถามลั่วอี้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากมาย ซึ่งลั่วอี้ก็ตอบโดยไม่หลุดอะไรสักอย่าง ตลอดทั้งช่วงบ่ายเขาแสดงออกถึงความเป็นเด็กหนุ่มผู้ร่าเริง อ่อนโยน ฉลาด และสดใสที่กำลังเป็นเจ้าของกิจการ บวกกับหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงเยวี่ยหวามีอคติต่อเขามาก่อนก็คงไม่มีทางที่จะไม่ชอบเด็กหนุ่มคนนี้อย่างแน่นอน
ใครบ้างล่ะที่จะไม่ชอบคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ ถ้าเขาเป็นของจริงน่ะนะ
หลังจากกินข้าวเสร็จลั่วอี้ก็ยังอยากจะล้างจาน ทว่าถูกเฝิงเยวี่ยหวาห้ามไว้ เธอรู้สึกไม่ดีด้วยซ้ำตอนที่ลั่วอี้นำผลไม้หลังอาหารมาวางไว้ตรงหน้า โดยเธอยืนกรานที่จะให้ลั่วอี้ไปดูโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่นและจะเก็บกวาดด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ถูกเวินเสี่ยวฮุยแย่งหน้าที่ไป
ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของลั่วอี้ดังออกมาจากในห้องนั่งเล่นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่งหลัวรุ่ยคงนั่งไม่ติดที่จึงเข้ามาช่วยในห้องครัว เขาพึมพำเสียงเบาโดยอาศัยเสียงน้ำเป็นตัวช่วยกลบเกลื่อน
“เขาเสแสร้งเก่งจริงๆ”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะอย่างขมขื่น “นั่นสิ”
“…คนแบบนี้น่ากลัวสุดๆ”
คนที่มีร้อยหน้านั้นน่ากลัวจริงๆ ลั่วอี้เสแสร้งมาเป็นเวลาสามปีเพื่อหลอกเขา ช่วงเวลาอาหารเที่ยงสั้นๆ คงเป็นเรื่องหมูๆ สำหรับอีกฝ่าย บางครั้งเขายังนึกสงสัยว่าลั่วอี้ป่วยเป็นโรคจิตเภทหรือเปล่า
หลังจากเวินเสี่ยวฮุยเก็บกวาดห้องครัวเรียบร้อยแล้ว ลั่วอี้ก็กล่าวลาได้จังหวะอย่างยิ่ง
เฝิงเยวี่ยหวาพูด “เสี่ยวฮุย แกไปส่งลั่วอี้สิ หลัวรุ่ย เธออยู่นี่แหละ น้ามีเรื่องจะคุยกับเธอนิดหน่อย”
เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองหลัวรุ่ย เขาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าแม่ของเขาอยากถามความเห็นเรื่องระหว่างเขากับลั่วอี้จากหลัวรุ่ย
หลัวรุ่ยอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อยและอยู่ต่ออย่างช่วยไม่ได้
เวินเสี่ยวฮุยลงมาส่งลั่วอี้ที่ชั้นล่าง เขารู้สึกหนาวสั่นทันทีที่ลมในยามกลางคืนพัดมา
ลั่วอี้บิดขี้เกียจแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าขี้เกรงใจกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ก่อนหน้านี้พี่วิตกเกินกว่าเหตุแล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น “ออกมาจากห้องแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
ลั่วอี้อึ้งไปเล็กน้อยคล้ายถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันอันงดงาม ความผิดหวังอย่างรุนแรงวาบผ่านดวงตา สีหน้าก็พลอยมืดมนตามไปด้วย
“เธอเป็นแม่ของพี่ ผมเคารพเธอ ที่เอาใจเธอก็มาจากใจจริง”
“ใช่แล้ว นายทำได้ดีมาก ไร้ที่ติเลย” เวินเสี่ยวฮุยมีความขุ่นเคืองที่อธิบายไม่ได้อยู่เต็มอก
“พี่เสี่ยวฮุย ใช่ว่าผมจะทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายสักหน่อย ผมก็แค่…อยากให้พี่มีความสุข”
“ฉันไม่ได้ไม่มีความสุข” เวินเสี่ยวฮุยชะงักฝีเท้า “ส่งแค่นี้ก็แล้วกัน นายกลับไปเถอะ”
ลั่วอี้ก็หยุดชะงักเช่นกัน เขายื่นมือไปลูบใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยพลางพูดเสียงเบา “เมื่อก่อนพี่เคยคิดหรือเปล่าว่าพอตัวเองมีแฟนแล้วจะเป็นยังไง”
เวินเสี่ยวฮุยอดคิดตามคำถามของลั่วอี้อยู่สองวินาทีไม่ได้ จากนั้นก็หยุดคิดทันที เขาตระหนักได้ว่าลั่วอี้ต้องการจะพูดอะไร
“พาแฟนกลับบ้านมาหาพ่อแม่ คุยเล่น ดูหนัง กินข้าวด้วยกัน เมื่อก่อนพี่เคยคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนี้บ้างไหม มันต่างจากที่พี่วาดฝันไว้มากหรือเปล่า”
“ฉันจะกลับแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยปฏิเสธที่จะคิดตามเขาอีกต่อไป
ลั่วอี้จับไหล่ของเขาและจ้องเข้าไปในดวงตาอย่างจริงจัง “พี่เสี่ยวฮุย ทุกอย่างที่พี่ต้องการ ชีวิตที่พี่จินตนาการไว้ ผมสามารถให้พี่ได้ทั้งนั้น ผมจะพยายามทำให้ครอบครัวและเพื่อนของพี่ชอบผม ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่พี่จะยิ้มให้ผมอีกครั้ง” นิ้วของลั่วอี้วาดผ่านใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยเบาๆ “สักวันหนึ่งพี่จะพบว่าพี่ไม่อาจไปจากผมได้”
เวินเสี่ยวฮุยก้าวถอยหลัง หัวใจของเขาสั่นสะท้าน มีบางชั่วขณะที่เขารู้สึกว่าสิ่งที่ลั่วอี้พูดนั้นเป็นความจริง ลั่วอี้ได้สลักเครื่องหมายที่ลบไม่ออกลงบนร่างกายและหัวใจของเขามากเกินไป เขารู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่มีพลังที่จะชอบใครได้อีกแล้ว หากเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในอดีต ลั่วอี้ก็จะเป็นคู่รักที่ไร้ที่ติอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เขาตกใจกับความคิดของตัวเอง เขาถูกลั่วอี้บดขยี้จนตกต่ำถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ระหว่างทางที่ประนีประนอมและอะลุ้มอล่วยให้ในแต่ละก้าวนั้นเขาก็แทบจะสูญเสียความนับถือในตัวเอง ยอมแพ้ที่จะต่อสู้ เขารู้สึกแม้กระทั่งว่าตัวเองไม่สามารถคิดอย่างอิสระได้อีกต่อไปเพราะถูกลั่วอี้ชักนำโดยสมบูรณ์
ระฆังในใจของเขาดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ถ้าลั่วอี้ยังเล่นกับเขาต่ออีกสักหน่อย เกรงว่าเขาก็อาจจะปีนขึ้นมาไม่ได้แล้วจริงๆ
ลั่วอี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับไปพักผ่อนเถอะ อีกไม่กี่วันผมจะส่งรถมาให้พี่ ไว้พี่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังอยากกลับไปทำงานที่จวี้ซิงล่ะก็ ผมก็จะจัดการให้พี่กลับไป”
“ฉางสิง…ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” เวินเสี่ยวฮุยยังคงเป็นกังวลอยู่เสมอ
สีหน้าของลั่วอี้มืดมนลงทันใด “การอุทธรณ์ของเขายังอยู่ระหว่างการพิจารณา ผมจะไม่ปล่อยให้เขากลับมา”
“ฉันไม่สนว่านายจะทำอะไร แต่ถ้าดึงครอบครัวกับเพื่อนของฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยพวกนายไปแน่”
“ผมจะไม่ปล่อยให้พี่กับคนที่พี่ให้ความสำคัญต้องมาเสี่ยงไปด้วย ไว้คำตัดสินของเขาถูกประกาศเมื่อไร ผมก็จะถอนรากถอนโคนอำนาจของเขาซะ ตอนนี้เขากินพลังชีวิตของผมไปจนเกือบหมดแล้ว ผมแค่อยากใช้ทุกช่วงเวลาต่อจากนี้กับพี่อย่างสงบ”
เวินเสี่ยวฮุยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เงาแห่งความอึดอัดใจยังคงคลุมเครืออยู่ภายใน และความรู้สึกนั้นก็เอ่อล้นจนเขาไม่อยากไปทำงานในช่วงนี้เลยด้วยซ้ำ เขาอยากอยู่กับแม่ของเขามากกว่า และหลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไปเขาก็จะโน้มน้าวให้แม่กลับอเมริกาและอยู่ให้ห่างจากสถานที่อันวุ่นวายแห่งนี้
ลั่วอี้พูดเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ”
เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า
ทั้งสองคนหมุนตัวพร้อมกันในทิศทางตรงกันข้าม ทันใดนั้นลั่วอี้ก็หันขวับกลับมา เวินเสี่ยวฮุยคล้ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงชะงักฝีเท้าเช่นกัน ลั่วอี้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าไหล่ของเขาแล้วก้มหน้าลงจูบอย่างแรง
ชั่วขณะนั้นเกิดความหวั่นไหวอันแปลกประหลาดขึ้นกลางอากาศ เวินเสี่ยวฮุยจ้องเขาอย่างตะลึงงัน
ลั่วอี้เลียมุมปาก เขายิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูด “พอคิดว่าจะไม่ได้เจอพี่อีกหลายวันก็ชักจะทนไม่ไหวซะแล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยเบือนหน้าหนี “กลับไปเถอะ”
“พี่บอกผมสิว่าอีกกี่วันจะกลับมา ให้ผมได้มีความหวังหน่อย”
เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนแม่”
“ผมรู้ แต่พี่บอกผมด้วยสิว่าพี่จะกลับบ้านเมื่อไร” ลั่วอี้มองเขาอย่างลึกซึ้ง “ผมทนการรอคอยที่ไร้จุดหมายไม่ได้ ผมลิ้มรสกับมันมามากพอแล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผมไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้วแม้แต่วันเดียว” ไม่รู้ว่าเวินเสี่ยวฮุยอยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า ปลอดภัยดีไหม กินอิ่มไหม สวมเสื้อผ้าอุ่นหรือเปล่า ยังเกลียดเขาอยู่ไหม แอบคิดถึงเขาสักนิดหรือเปล่า จะชอบคนอื่นแล้วหรือยัง กว่าห้าร้อยวันและคืนแห่งความทรมานด้วยคำถามเหล่านี้ ความคิดถึงและความเกลียดชังอยู่เคียงคู่เขา เขาเคยเสียใจ เคยผิดหวัง เคยโมโห และในท้ายที่สุดขณะที่ความคิดฟุ้งซ่านของเขากำลังจะคลี่คลายลง ความปรารถนาเดียวของเขาก็คือการได้เห็นคนที่เขาเฝ้าคิดถึงทุกวันคืนเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงการมองดูโดยทำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม เขาไม่สามารถมีชีวิตแบบนี้อีกครั้งได้จริงๆ
เวินเสี่ยวฮุยริมฝีปากแห้ง เขาอ้าปากก่อนพูดออกมาอย่างยากเย็น “หนึ่งเดือน”
“นานเกินไป”
“ครึ่งเดือน”
“ก็ยังนานเกินไป”
“นายอย่า…”
“หนึ่งอาทิตย์ อย่างน้อยกลับมาอาทิตย์ละครั้ง” ลั่วอี้พูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะหดหู่ “ถ้าไม่ได้เจอพี่นานเกินไป ผม…จะกลัว”
เวินเสี่ยวฮุยเม้มปาก ผ่านไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าเบาๆ
ลั่วอี้กอดเขาอย่างแรงแล้วร่ายคำรักข้างหูของเขาราวกับคาถา “ผมชอบพี่ ชอบพี่ ชอบพี่ ต่อให้เอาทุกคนและทุกอย่างในโลกมารวมกันก็สู้พี่ที่อยู่ในใจของผมไม่ได้”
เวินเสี่ยวฮุยหลับตาลงแล้วกัดริมฝีปากอย่างแรง ครั้งหนึ่งเขาเคยสาบานด้วยหัวใจที่เปื้อนเลือดว่าชาตินี้เขาจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของลั่วอี้อีก