Additional Heritage มรดกลวงรัก
ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 87-89 #นิยายวาย
บทที่ 88
หลังจากเวินเสี่ยวฮุยค้นหาทั่วห้องของลั่วอี้แล้วก็ยังไม่พบอะไร เขาคิดว่าจะไปหาที่ห้องอื่นๆ หลังจากลั่วอี้ออกไปข้างนอกในวันพรุ่งนี้ คฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้เขาต้องหาให้เจอให้ได้
ลั่วอี้ดูมีความสุขกับการกลับมาของเขามาก หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็กอดเขาเอาไว้ขณะที่ดูภาพยนตร์ด้วยกัน อีกทั้งยังปอกส้มด้วยมือของตัวเองแล้วเอาเข้าปากเขาทีละชิ้น เวินเสี่ยวฮุยที่เอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของลั่วอี้ก็รู้สึกง่วงงุน
“ง่วงแล้วเหรอ” ลั่วอี้กระซิบข้างหูของเขา
เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า
ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ทำไมพี่ถึงได้หลับง่ายแบบนี้ ไอ้ต้าวขี้เซา”
เวินเสี่ยวฮุยหรี่ตาด้วยความสับสน ในขณะที่ดูภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แสงไฟสลัว ขนมเต็มโต๊ะ ทั้งยังมีคนที่มีแขนทรงพลังกับทรวงอกที่หนาและแข็งแรงโอบกอดเขา พร้อมกับกระซิบข้างหูอย่างเอาอกเอาใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่ลั่วอี้เคยพูดไว้ก่อนที่จะออกจากห้องของเขาไปในวันนั้น ชีวิตที่เขาเคยใฝ่ฝัน มันเป็น…เหมือนในตอนนี้หรือเปล่า
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในใจ
เขาลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่ “นอนกันเถอะ”
ลั่วอี้จูบแก้มของเขา “จะให้ผมอุ้มพี่ขึ้นไปข้างบนมั้ย”
“ไม่ต้อง” เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นนั่งบนโซฟาแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปเอง
ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยอาบน้ำ แน่นอนว่าลั่วอี้ก็เข้ามาเบียดในห้องน้ำด้วย ทั้งสองร่วมรักกันในน้ำเย็นใต้ฝักบัว จากนั้นก็ย้ายไปบนเตียงพร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกปอน คืนนั้นเองเวินเสี่ยวฮุยปลดปล่อยตัวเองเพื่อเพลิดเพลินกับมันอย่างเต็มที่ เสียงครางที่ไม่ได้ตั้งใจและท่าทีที่ใจร้อนของเขาเพียงพอที่จะจุดไฟให้กับทุกประสาทสัมผัสของลั่วอี้ ทั้งสองพัวพันกันราวกับสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่ง
แม้กายจะรวมกันจนไร้ช่องว่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถดึงหัวใจให้เข้ามาใกล้กันได้อย่างไร…
วันต่อมาลั่วอี้ตื่นเช้าตามปกติ เขากังวลว่าเวินเสี่ยวฮุยจะปวดเอวจึงนวดให้อีกฝ่ายเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เวินเสี่ยวฮุยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของลั่วอี้ราวกับแมวที่ไม่ยอมตื่น ลั่วอี้มองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชั่วขณะนั้นเองเขาก็จมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างสมบูรณ์ โลกที่มีเพียงเขากับเวินเสี่ยวฮุยเท่านั้น จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง
เขารับสายแล้วกระซิบข้างหูเวินเสี่ยวฮุยว่าจะต้องเข้าบริษัท ซึ่งเวินเสี่ยวฮุยก็พึมพำเสียงหนึ่งเป็นอันว่ารับรู้แล้ว
ลั่วอี้ลงไปที่ชั้นล่าง เมื่ออุ่นอาหารเช้าเสร็จแล้วก็นำมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดประตูออกไป
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงเวินเสี่ยวฮุยก็เบิกตาโพลง เขาอดทนต่ออาการปวดเอวก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียง สวมเสื้อคลุมแล้วลงไปที่ห้องของลั่วหย่าหย่าที่ชั้นล่าง
ห้องของลั่วหย่าหย่าเงียบเชียบเหมือนเคย โต๊ะสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่ามีการทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งราวกับว่าเจ้าของไม่เคยจากไปและอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาสองสามปีแล้วแต่เข้ามาในห้องของลั่วหย่าหย่าน้อยมาก ทุกครั้งที่เข้ามาก็จะเกิดความคิดถึง เขาไม่อาจระงับความคิดถึงนี้ได้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“พี่ครับ รบกวนแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยพนมมือไหว้แล้วเริ่มค้นห้องของเธอ
ของในห้องของลั่วหย่าหย่าเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความรู้สึกผิดเวินเสี่ยวฮุยไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวแรงจนเกินไป หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่งเขาก็รู้สึกปวดหลังและขาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนโซฟา โซฟาหันหน้าเข้าหาผนังพอดิบพอดีซึ่งมีรูปถ่ายขนาดใหญ่ของลั่วหย่าหย่าติดอยู่ ผู้หญิงในภาพมีความงามที่น่าดึงดูด แต่ดวงตาของเธอกลับมีความเศร้าที่ไม่อาจลบเลือน เวินเสี่ยวฮุยมองไปมองมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา
เขากำลังอยู่ในห้องของพี่สาวที่จากไปของตัวเองเพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่อลูกชายของเธอ บางทีเธอก็อาจจะอยากแก้แค้นฉางสิงก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยเธอคงไม่อยากเห็นลั่วอี้ล้มเหลว ทว่าเขากลับ…
“พี่ ผมควรจะทำยังไงดี” เวินเสี่ยวฮุยมองดูรูปถ่ายรูปนั้นพลางพึมพำเบาๆ เขาเอามือปิดหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่สามารถมองตรงไปที่ดวงตาของลั่วหย่าหย่าได้ ลั่วหย่าหย่าดีต่อเขามาก ทั้งชาตินี้เขาคงไม่มีวันตอบแทนเธอได้หมด ตอนแรกเขายังคิดที่จะคืนมันให้ลั่วอี้แทนด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรแบบนี้ ในขณะที่เขาเกลียดลั่วอี้มากที่สุด เขาเคยคิดว่าสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้ลั่วหย่าหย่าได้คือการไม่ทำร้ายลั่วอี้ แต่สิ่งที่เขาทำตอนนี้…
เขาดิ้นรนกับความคิดตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ โดยนึกถึงแม่ของเขาและนึกถึงหลัวรุ่ย สุดท้ายก็ยังลุกขึ้นยืนแล้วตามหาต่อไป
พี่ ผมขอโทษ…
เวินเสี่ยวฮุยค้นหาภายในห้องของลั่วหย่าหย่าตลอดทั้งเช้าแต่ก็ยังไม่เจอในสิ่งที่เขาตามหา ทว่ากลับพบบันทึกประจำวันของลั่วหย่าหย่าโดยบังเอิญ เขาหยิบมันมาถือไว้ในมือ ต่อสู้กับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดมันออกด้วยความคิดที่ต้องการจะทำร้ายตัวเอง
หน้าบันทึกที่เขาสุ่มเปิดนั้นเกี่ยวข้องกับลั่วอี้ เมื่อดูจากเวลาแล้วตอนนั้นลั่วอี้น่าจะอายุประมาณหกขวบ ลั่วหย่าหย่าเขียนลงบันทึกประจำวันด้วยความกังวลว่า
‘ทำไมลูกของฉันถึงได้เป็นเด็กไม่ชอบพูดแบบนี้ล่ะ เพราะปกติไม่มีใครคุยกับเขาอย่างนั้นเหรอ เขาเป็นออทิสติกหรือเปล่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ ไม่ใช่แค่ไม่พูดแต่ยังชอบมองคนอื่นด้วยสายตาที่ดูเหมือนกำลังสังเกตเห็นอะไรบางอย่างด้วย บางครั้งฉันเองก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย’
เวินเสี่ยวฮุยอ่านมาถึงตรงนี้ก็ปิดสมุดบันทึกเสียงดังปึก เขามีความรู้สึกว่าถ้าเขาอ่านต่อไปจริงๆ เขาก็จะเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ วัยเด็กของลั่วอี้เป็นหัวข้อที่เขาจงใจหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ เขาไม่ต้องการหาข้ออ้างให้ลั่วอี้ด้วยเรื่องราวที่มืดมนและหนักอึ้งเหล่านั้น แล้วก็ไม่อยากเห็นอดีตอันน่าเศร้าของลั่วหย่าหย่าผ่านเรื่องราวเหล่านั้นด้วย ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือไม่ต้องรับรู้
เขาเก็บสมุดบันทึกเข้าที่เดิม หลังจากมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็หันไปโค้งคำนับให้รูปถ่ายครั้งหนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
คนส่วนใหญ่ไม่เก็บของสำคัญไว้ในห้องนั่งเล่น ฉะนั้นสถานที่สุดท้ายก็คือห้องเก็บของบนชั้นสี่ ห้องที่มีรูปภาพของฉางสิงที่ถูกลูกธนูยิงจนเป็นรูพรุนแห่งนั้น ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ลั่วอี้ไม่อยากให้เขาเข้าไปอีกด้วย แต่เขารู้ว่าลั่วอี้เก็บกุญแจของชั้นสี่ไว้ที่ไหน
เวินเสี่ยวฮุยเปิดห้องเก็บของแล้วเดินเข้าไปอย่างอึดอัด
รูปภาพของฉางสิงยังคงอยู่ แต่บนใบหน้ามีรูลูกธนูเยอะมาก โดยเฉพาะบริเวณดวงตา รูปทั้งรูปเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ว่าเป็นใคร เมื่อเห็นรูปภาพนี้อีกครั้งเวินเสี่ยวฮุยก็สูดหายใจเฮือก ทุกร่องรอยบนรูปภาพนั้นแสดงถึงความเกลียดชังของลั่วอี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เวินเสี่ยวฮุยมองดูสิ่งของที่กองอยู่ในห้องเก็บของ ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เขาสูดลมหายใจเข้าและตามหาต่อ
ขณะที่ค้นหาจนเข้าใกล้รูปภาพของฉางสิง เขาก็จ้องรูปภาพนั้นราวกับมีอะไรมาดลใจ จากนั้นเขาก็พยายามดึงลูกธนูที่อยู่ตรงระหว่างคิ้วของคนในรูปออกเพื่อดูว่าเขาสามารถทำให้รูปภาพกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีได้หรือไม่ ตอนนี้เขาจำไม่ได้ว่าฉางสิงมีหน้าตาอย่างไร ลูกธนูถูกเสียบเข้าไปลึกมาก ทว่าโฟมแข็งๆ ที่เป็นฐานนั้นรองรับแรงได้ไม่มากนัก เขาใช้มือกดที่เป้าแล้วดึงมันออก ทันทีที่ลูกธนูถูกดึงออกมา เขาก็รู้สึกว่าตรงที่ที่มือของเขากดอยู่นั้นจมเข้าไปด้านใน
เวินเสี่ยวฮุยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะย้ายเป้าที่มีรูปภาพติดอยู่ออกไปอย่างแผ่วเบา ผนังด้านหลังเป้านั้นมีประตูไม้เล็กๆ ที่มีขนาดเท่ากับหนังสือ ด้านบนมีรหัสล็อกอยู่
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นอย่างรุนแรง นี่ก็คือตู้เซฟเหรอ ไม่สิ มันเล็กเกินไป เก็บอะไรไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นกลไกก็ได้ ปลายนิ้วของเขาคลำไปที่ประตู สุดท้ายก็หยุดอยู่บนรหัส
รหัสหกตัว…เขาใส่รหัสบัตรธนาคารของลั่วอี้เข้าไปโดยไม่ลังเล
เสียงคลิกดังขึ้น ล็อกถูกปลดแล้ว เขาเปิดประตูบานเล็กอย่างสั่นเทา แน่นอนว่ามีประแจอยู่ในนั้น เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วบิดประแจ
เสียงโครมครามดังขึ้นทื่อๆ ชั้นหนังสือไม้เนื้อแข็งที่ผนังฝั่งตรงข้ามถูกแยกออกเป็นสองด้าน เผยให้เห็นห้องลับอย่างช้าๆ
เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือปืนและอาวุธต่างๆ ครึ่งผนัง! มองเพียงแวบเดียวเขาก็เห็นปืนที่ฉางสิงมอบให้ลั่วอี้ในวันเกิดที่ได้ฉลองด้วยกันเป็นครั้งแรก! เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกขาอ่อนเล็กน้อย เขาฝืนเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกระบอกปืนเบาๆ พื้นผิวโลหะเย็นเยียบทำให้รู้สึกหนาวสั่น
มีกล่องที่ไม่ได้ล็อกสองสามกล่องวางอยู่ใต้ชั้นวาง เวินเสี่ยวฮุยเปิดกล่องใบหนึ่งออกดู มันคือทองคำแท่งและเงินสดที่เรียงซ้อนกันอย่างประณีตจากหลากหลายประเทศ
ห้องนี้ไม่ได้ใหญ่ ฉะนั้นจึงมองเห็นทุกอย่างในคราวเดียว มีเพียงกล่องเท่านั้นที่ยังคงซ่อนอย่างอื่นได้ เขาหยิบทองคำแท่งและธนบัตรออกมาด้วยอาการตัวสั่น ถ้าที่นี่ไม่มีสิ่งที่เขาตามหาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปตามหาที่ไหนแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากควานหาในกล่องทั้งสองใบแล้วก็ยังไม่พบอะไร เขานั่งลงบนพื้นด้วยความกระวนกระวายใจเป็นที่สุด เขาเสียใจมาก เมื่อวานเขาน่าจะแทงบอดี้การ์ดคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่ว่าจะถูกแทงจนตายหรือไม่ตาย เขาก็ยังสามารถป้องกันไม่ให้ไอ้สารเลวนั่นมาข่มขู่เขาได้อีก แต่ตอนนั้นเขากลับขี้ขลาดเกินไป
“พี่กำลังทำอะไรน่ะ”
เสียงเย็นชาที่ดังขึ้นระเบิดในหัวใจของเวินเสี่ยวฮุยราวกับระเบิดลูกหนึ่ง เขาสั่นไปทั้งตัว เลือดแทบจะไหลย้อนกลับ เขาหันศีรษะไปช้าๆ ลั่วอี้กำลังยืนพิงประตูพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลายเอื๊อก ลุกขึ้นมาจากพื้น ประตูห้องลับเปิดกว้าง ข้างเท้าของเขายังมีทองคำแท่งกับธนบัตรวางอยู่ เขาจะอธิบายอย่างไรดี
ลั่วอี้พยักพเยิดคางไปที่ทองคำแท่งและธนบัตรเหล่านั้น “พี่คงไม่ได้อยากได้ของพวกนี้หรอกนะ พี่ก็รู้ว่าถ้าพี่อยากได้มากแค่ไหนผมก็จะให้พี่มากเท่านั้น”
เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น เขาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
ลั่วอี้เดินเข้ามา ทุกครั้งที่อีกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า เวินเสี่ยวฮุยก็จะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว หัวใจของเขาเต้นระรัว หวาดกลัวจนเหงื่อแตกท่วมตัว ความกลัวที่ลั่วอี้มอบให้เขานั้นไม่ได้หยิ่งทะนงและตรงไปตรงมาเหมือนกับของบอดี้การ์ด แต่เป็นความรู้สึกหนักอึ้งคล้ายกับพยายามระงับความรู้สึกกดดันที่อาจจะปะทุได้ทุกเมื่อซึ่งทำให้ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก
ลั่วอี้เดินเข้ามาหาเขาก่อนจะเชยคางของเขาขึ้นช้าๆ “พี่เสี่ยวฮุย พี่คิดจะทำอะไร หืม? บอกผมซิ”
เวินเสี่ยวฮุยถูกบังคับให้เงยหน้าและมองเข้าไปในดวงตาที่ไร้ก้นบึ้งของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็คอแห้งผากทันที
“บอกมาสิ ตราบใดที่พี่เอ่ยปากผมต้องให้พี่แน่” ลั่วอี้ก้มหน้าลง ปลายลิ้นแลบเลียริมฝีปากของเวินเสี่ยวฮุยอย่างละมุนละไม น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างที่สุด “ผมสามารถให้พี่ได้ทุกอย่าง”
หนังศีรษะของเวินเสี่ยวฮุยราวกับถูกไฟช็อต ความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วร่างกายทันทีราวกับติดไวรัส เขาผลักลั่วอี้จนเกือบเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง
ลั่วอี้มองเขาเงียบๆ
เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลาย เขาเดินผ่านลั่วอี้พร้อมที่จะวิ่งหนี แต่กลับถูกลั่วอี้โอบเอวไว้แล้วผลักกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงจนเท้าของเขาแทบจะลอยจากพื้น!
เวินเสี่ยวฮุยร้องด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ปล่อยฉันนะ!” เขารู้สึกว่าแววตาของลั่วอี้เหมือนกำลังจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น!
ลั่วอี้มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ “บอกผมมาว่าพี่อยากได้อะไร บอดี้การ์ดของฉางสิงให้พี่มาเอาอะไรตรงนี้!”
ดวงตาของเวินเสี่ยวฮุยเบิกกว้าง สมองส่งเสียงหึ่งๆ
“พี่ประหลาดใจมากเลยเหรอ ผมบอกตั้งนานแล้วว่าผมส่งคนไปปกป้องพี่ แม่ของพี่ แล้วก็หลัวรุ่ยเงียบๆ ทำไมพี่ถึงไม่เชื่อล่ะ พี่คิดว่าฉางสิงไม่รู้เรื่องนี้เหรอ ฉางสิงหาทางรอดให้กับครอบครัวของเขาแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาก็เลยพยายามโจมตีผมผ่านพี่อย่างสุดความสามารถ ต่อให้ผมรู้แล้วก็ไม่เป็นไร เพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช่ของพวกนั้นตั้งแต่แรกแต่เป็นผม พี่ไปเชื่อคำพูดของเขาได้ยังไง!”
“เพราะฉันไม่เชื่อนายไง!” เวินเสี่ยวฮุยตะคอกใส่ลั่วอี้ด้วยดวงตาแดงก่ำเช่นกัน
ลั่วอี้คว้าคอเสื้อของเวินเสี่ยวฮุย รอยเลือดในลูกตาของเขาดูเหมือนจะระเบิดได้ทุกเมื่อ สุดท้ายใบหน้าที่ดุร้ายของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด