Additional Heritage มรดกลวงรัก
ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)
แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตั
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
หลังเลิกงานทั้งสองคนถูกเรียกไปด่าในออฟฟิศยกใหญ่ ทั้งยังถูกหักเงินห้าร้อยหยวน ต้องทำงานฟรีไปหนึ่งสัปดาห์
เวินเสี่ยวฮุยเดินออกมาจากสตูดิโอ รู้สึกว่าทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง การเดินแต่ละก้าวเหมือนเท้าถูกถ่วงด้วยตะกั่ว วันนี้เป็นเหมือนวันซวยของตัวเอง เขารู้สึกทรมานนับตั้งแต่ลืมตาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าเขาต้องการที่จะประหยัดเงิน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเรียกรถ
เขาเดินโซซัดโซเซกลับที่พัก เมื่อเงยหน้าขึ้นจมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากในห้อง กลิ่นแสนธรรมดาที่ไม่เคยได้รับความสนใจใดๆ จากเขาในวันปกติ แต่ในเวลานี้กลับทำให้เขารู้สึกตื้นตันเป็นพิเศษ เพราะว่าตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยลั่วหย่าหย่าที่เสียพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ถูกแม่ทอดทิ้ง ออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่อายุสิบกว่าปี และสุดท้ายก็จบชีวิตลงตั้งแต่ยังสาว เกรงว่าสำหรับเธอนั้นคงยากที่จะพบเจอความสุขที่เรียบง่ายแบบนี้
เขาผลักประตูห้องเปิดออก เสียงของเฝิงเยวี่ยหวาลอยมาจากในครัว “ไอ้เด็กเฮงซวย เข้าห้องถอดรองเท้าด้วย!”
“รู้แล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนรองเท้าแตะ เดินเข้าไปในห้องครัว
เฝิงเยวี่ยหวาหันมองเขา สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดีก็ขมวดคิ้ว
“แกเป็นอะไรกันแน่ ป่วยหรือเปล่า”
“เปล่า แค่ดื่มแล้วทรมาน”
“แกยังจะมีหน้ามาพูดอีก?”
เวินเสี่ยวฮุยจับๆ ผม “ก็เพื่อนฉลองวันเกิดนี่นา”
เฝิงเยวี่ยหวาถลึงตามองเขา “ตั้งแต่เช้ากลับมาก็สะอึกสะอื้น ถ้าไม่รู้คงนึกว่าแกถูกข่มขืนซะอีก”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แม่อย่าห้าวแบบนี้ได้ไหม”
เฝิงเยวี่ยหวาส่งเสียงหึ “อกหักเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย” เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปโอบเอวของเฝิงเยวี่ยหวาพร้อมออดอ้อน “ผมยังหาหนุ่มล่ำที่มีไอ้นั่นยาวสิบแปดเซ็นต์กับกล้ามหน้าท้องแปดแพ็กส์ไม่ได้เลย จะไปอกหักได้ยังไง”
เฝิงเยวี่ยหวามองค้อนเขาด้วยสายตา ‘หน้าไม่อาย’ ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลาย
เขากับแม่คุยกันแทบทุกเรื่องตั้งแต่ยังเด็ก แม่ของเขาค่อนข้างทันสมัย ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นกระโปรงสั้นเอย กางเกงขาม้าเอย ดัดผมเอย สักคิ้วเอย เธอมักเป็นคนแรกๆ ที่กล้าลองของใหม่ๆ อยู่เสมอ อายุสี่สิบกว่าแล้วแต่ก็ยังกล้าสวมเสื้อผ้าตามแฟชั่น ทั้งยังรักษาหุ่นไว้อย่างดี ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยปกปิดแม่เรื่องที่เขาชอบผู้ชาย และแม่ก็ยอมรับมันอย่างใจเย็น
เขาเอาหน้าซบไหล่แม่ รู้สึกใจเย็นลงมาหน่อย พรุ่งนี้…เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับ ‘หลาน’ ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตาอย่างใจเย็นได้หรือเปล่า
วันรุ่งขึ้นหลังเลิกงานเวินเสี่ยวฮุยรีบรุดไปยังสถานที่ที่ทนายเฉาส่งตำแหน่งมาให้ เขาหลงทางทันทีที่ออกจากรถไฟใต้ดิน เขาเติบโตในเมืองหลวงแต่ว่าไม่เคยมาที่นี่ แต่หลังจากถามทางคนแล้วเขาก็เดินไปยังทิศใต้
เวินเสี่ยวฮุยเดินไปเกือบสิบนาทีก็ยังไม่เห็นอาคารหลังใหญ่ที่คนสัญจรไปมาพูดถึง เขารู้สึกหงุดหงิดและร้อนใจเล็กน้อยกับการหลงทางของตัวเอง รวมถึงคนที่กำลังจะไปเจอด้วย
เสียงของจักรยานดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันไปต้องการจะเรียกให้หยุดเพื่อถามทาง ทว่าทันทีที่หันตัวไปก็เห็นว่าจักรยานเกือบจะมาถึงด้านหลังตัวเองแล้ว ทั้งสองคนสบตากัน เวินเสี่ยวฮุยไม่ทันมองให้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาอย่างไร จำได้แค่เพียงความประหลาดใจที่วูบผ่านนัยน์ตาสีดำสดใสคู่นั้น ทั้งสองคนตกใจพร้อมกัน เมื่อจักรยานเสียหลักเขาก็เสียสมดุลและถูกเฉี่ยวล้มลงไปกับพื้นทันที
จักรยานส่งเสียงเบรกอย่างกะทันหันจนแสบแก้วหู
เวินเสี่ยวฮุยล้มอยู่บนพื้น ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเข้าถาโถมแบบฉับพลัน ไอ้ที่เจ็บก็เจ็บอยู่ เพียงแต่รู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ทุกอย่างล้วนไม่ราบรื่น และมันทำให้เขารู้สึกเหนื่อยเอามากๆ
“ขอโทษครับ คุณไม่เป็นไรนะ” เสียงสดใสดังขึ้นเหนือศีรษะ หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ มันเป็นเสียงของวัยรุ่นที่อยู่ระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ เสียงนั้นให้ความรู้สึกงดงามราวกับแสงอาทิตย์ที่ทะลุผ่านอากาศและส่องมายังพื้นโลก ไพเราะจนรู้สึกด้านชาไปทั้งตัว
เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะเงยหน้าขึ้นไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรกคือรองเท้ากีฬาสีขาวสะอาด จากนั้นก็เป็นสองขายาวที่ดูเหมือนจะล่องหนเพราะกางเกงพละของโรงเรียนที่สวมอยู่ ตามมาด้วยชายเสื้อสีขาวราวหิมะ กระดุมธรรมดาแต่ละเม็ดที่แวววาว แขนเสื้อเชิ้ตพับครึ่ง สุดท้ายเป็นไหปลาร้าแผ่กว้างกับลูกกระเดือกที่นูนออกมา สายหูฟังสีขาวที่ห้อยลงมาจากคอของเด็กหนุ่มส่ายไปมาตรงหน้าเขาราวกับนาฬิกาสะกดจิต ทำให้สติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนผ่าวเล็กน้อย ประหม่าจนไม่กล้ามองขึ้นไปด้านบน แม้ตอนนี้เขาจะทำงานแล้ว แต่ก็เพิ่งเลิกใส่ชุดนักเรียนไปยังไม่ถึงปี ลำพังเสียงและรูปร่างของนักเรียนชายคนนี้ก็ทำให้เขาเสียสมาธิเล็กน้อย
“คุณเป็นอะไรไป บาดเจ็บเหรอ” เด็กหนุ่มคุกเข่าลง
เมื่อเวินเสี่ยวฮุยเงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาที่ล้ำลึกและงดงามคู่หนึ่ง เขาทั้งผิดหวังและตื่นเต้นเล็กน้อย ผิดหวังที่เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนอายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ยังเด็กเกินไป แล้วก็ตื่นเต้นที่เขามีหน้าตาหล่อเหลาขั้นสุดซึ่งเข้ากับเสียงและร่างกายของเขาได้อย่างเหมาะเจาะ ผิวพรรณละเอียดเรียบเนียน ผมสีดำหนา เมื่อมองขึ้นไปจากด้านล่างก็เห็นขนตาราวกับพัดสองเล่ม ริมฝีปากสีแดงสดใสเป็นพิเศษ ทั้งร่างกายยังส่งกลิ่นอายแห่งความเยาว์วัยและเปล่งแสงอาทิตย์ออกมา น่ามองจนแสบตา
หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยเต้นรัวเร็ว แม้เขาจะชอบหนุ่มล่ำที่เป็นผู้ใหญ่ตลอดมา ไม่เคยสนใจหนุ่มน้อยน่ารักประเภทนี้ แต่ว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีเหลือเกิน น่าหลงใหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์เขาก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย ทว่าก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
ดวงตาของเด็กหนุ่มก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยตลอดเวลาเช่นกัน ด้วยดวงตาเป็นประกาย
เวินเสี่ยวฮุยถูกอีกฝ่ายมองจนใบหน้าร้อนผ่าว
เด็กหนุ่มพยุงเขาลุกขึ้น
หลังจากเวินเสี่ยวฮุยยืนตัวตรงแล้วก็พบว่าเด็กคนนี้สูงกว่าเขา แม้เขาไม่นับว่าสูงมาก แต่ดีเลวอย่างไรก็สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดเซนติเมตรตามมาตรฐาน โภชนาการสำหรับเด็กสมัยนี้ดีเกินไปจริงๆ
เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษ “ขอโทษทีนะครับ พอดีผมกำลังฟังเพลงก็เลยใจลอยนิดหน่อย คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“แค่ถลอกนิดหน่อย ไม่เป็นไร” เวินเสี่ยวฮุยตบๆ กางเกง
“คุณไม่เป็นไรจริงเหรอ อยากไปตรวจที่โรงพยาบาลไหม”
“ไม่ต้องๆ” เวินเสี่ยวฮุยโบกมือไปมา
เด็กหนุ่มจ้องมองเขา ไม่มีท่าทีจะจากไป
เวินเสี่ยวฮุยนึกอะไรบางอย่างได้จึงหยิบมือถือแล้วแสดงข้อความให้อีกฝ่ายดู
“เอ๊ะ นายรู้จักที่นี่หรือเปล่า ฉันหาไม่เจอ”
เด็กหนุ่มอ่านข้อความ ลูกกระเดือกขยับไหว เขามองเวินเสี่ยวฮุยอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง
“ทางผ่านพอดี งั้นเดี๋ยวผมพาคุณไปก็แล้วกัน”
“เหรอ งั้นขอบคุณนะ”
เด็กหนุ่มตบๆ เบาะหลัง “มาเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง มองดูรอบเอวที่วับๆ แวมๆ อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเด็กหนุ่ม ในใจคิดว่า มีโอกาสแล้วไม่จัดสักหน่อยหรือไงไอ้บ้า ฉะนั้นเขาจึงโอบอย่างไม่เกรงใจ
ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่ช้าก็ขี่จักรยานออกไป
เวินเสี่ยวฮุยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าการเกี้ยวพาราสีเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร สุดท้ายแล้วเขาก็ยังชอบชายหนุ่มที่เป็นผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ไม่มีกะใจจริงๆ จึงล้มเลิกความคิดไป
เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร เขาขี่จักรยานอย่างสงบ
สายลมในฤดูใบไม้ผลิเย็นสดชื่นปะทะใบหน้า เวินเสี่ยวฮุยหรี่ตาลงอย่างสบายๆ กลิ่นอาฟเตอร์เชฟ* จางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นเย็นสบายจนชวนให้จิตใจชื่นมื่น เสื้อเชิ้ตของเด็กหนุ่มก็ถูกลมพัดปลิวขึ้นลูบไล้แก้มของเวินเสี่ยวฮุยอย่างละมุนละไมคล้ายกับไม่มีอยู่จริง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยลมหายใจแห้งสบายของแสงอาทิตย์
หลังผ่านไปหลายปีฉากนี้ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเวินเสี่ยวฮุยอย่างลึกซึ้ง แม้แต่เวลาที่นึกถึงมัน กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ปะปนกับกลิ่นอายของแสงแดดนั้นเหมือนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างลมหายใจ งดงามราวกับแสงแดดอันอบอุ่นในเดือนเมษายน อบอุ่นและบริสุทธิ์ชวนให้หลงใหลมัวเมา
ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็หยุดรถที่หน้าโรงบ่มไวน์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง หน้าประตูของโรงบ่มไวน์มีขนาดไม่ใหญ่ ทว่าการตกแต่งสไตล์ยุโรปนั้นแสดงถึงรสนิยมอันสูงลิ่ว ทั้งยังสร้างสรรค์รายละเอียดได้อย่างประณีต กลิ่นหอมละมุนของไวน์แดงพุ่งปะทะใบหน้า
เวินเสี่ยวฮุยพูดว่า “ใช่เลย ที่นี่แหละ ขอบคุณมาก”
“เข้าไปเถอะ” เด็กหนุ่มพูด
“อืม ไปก่อนนะ พ่อสุดหล่อ” เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ชายวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งเดินออกมาจากในโรงบ่มไวน์ สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง รูปร่างสูงใหญ่ สวมแว่นตาสีทองดูเข้มงวด ภาพลักษณ์สง่าผ่าเผย ดูเป็นชายหนุ่มที่ครบเครื่อง
“คุณเวิน? สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ ทนายเฉาสินะครับ”
“ใช่ครับ พวกคุณมาครบกันพอดี” สายตาของเฉาไห่มองไปยังด้านหลังของเวินเสี่ยวฮุย
“พวกเรา?” เวินเสี่ยวฮุยอึ้งไป ทันทีที่หันไปก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นตามเขาเข้ามาเงียบๆ
เกิดประกายจ้าสายหนึ่งวูบผ่านในใจของเขา ตัดให้สมองของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตา ก็เพราะว่าอีกฝ่ายหน้าเหมือน…ลั่วหย่าหย่า
เด็กหนุ่มยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังเขา สองมือล้วงกระเป๋า รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าละเอียดอ่อนเยาว์ เขาพูดด้วยเสียงที่ใสเหมือนน้ำพุ
“สวัสดีครับ คุณน้า”