ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Additional Heritage มรดกลวงรัก

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 4

 

ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าว พลันนึกไปว่าเมื่อกี้เขายังแต๊ะอั๋งเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เลย…

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นลั่วอี้!

เฉาไห่พูด “เข้ามานั่งเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยเดินตามเฉาไห่เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวอย่างแข็งทื่อ

เฉาไห่ให้พวกเขาทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา “โรงบ่มไวน์แห่งนี้มีผมกับเพื่อนลงทุนร่วมกัน ปกติก็เอาไว้รวมตัวกันหรืออะไรทำนองนั้น ก็นับว่าเป็นความชอบส่วนตัวด้วย หวังว่าที่นี่จะทำให้พวกคุณได้ผ่อนคลายสักหน่อย อีกอย่างคือที่นี่ไม่มีคนนอก”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

ลั่วอี้ชำเลืองมองเวินเสี่ยวฮุย แววตาของเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีนั้นค่อนข้างล้ำลึกและคาดเดาไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนก็ทำความรู้จักกันสักหน่อยก็แล้วกัน ได้ยินผู้จัดการลั่วบอกว่าพวกคุณไม่เคยเจอกันมาก่อน”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด

ลั่วอี้ยื่นมือออกมาอย่างใจกว้าง “คุณน้า ผมคือลั่วอี้ครับ”

เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือออกมาจับมือของเขากลับอย่างเคอะเขิน “เวินเสี่ยวฮุย…นายอย่าเรียกฉันว่าคุณน้าเลย”

มือของเด็กหนุ่มแห้งและอบอุ่น ทำให้เวินเสี่ยวฮุยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

“ทำไมล่ะครับ”

“นายก็รู้ว่าฉันกับแม่นายไม่มีความผูกพันทางสายเลือดใช่ไหมล่ะ”

“แน่นอนว่าผมรู้ แต่ว่าแม่เห็นคุณน้าเป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด”

เวินเสี่ยวฮุยปวดใจ พูดด้วยความเศร้าสร้อย “เอาแต่เรียกฉันว่าคุณน้า ฉันได้ยินแล้วรู้สึกอึดอัดน่ะ”

ลั่วอี้กะพริบตา “งั้นคุณน้าอยากให้ผมเรียกว่าอะไร”

“เรียกว่าพี่เสี่ยวฮุยก็แล้วกัน”

“…ก็ได้”

เวินเสี่ยวฮุยกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง แม้จะไม่เต็มใจที่ถูกเรียกว่าคุณน้า แต่ก็ยังอยากทำตัวอาวุโสต่อหน้าลั่วอี้ เขาถาม “นายอายุเท่าไรแล้ว”

“สิบห้า”

เวินเสี่ยวฮุยถูๆ มือพลางพูดอย่างขมขื่น “พี่สาวฉัน…ตายยังไง…” เขารู้สึกเหมือนลิ้นผูกเป็นปม ยากที่จะเปล่งเสียง

ลั่วอี้หลุบตาลง “ผมว่าพี่อย่ารู้จะดีกว่า”

เวินเสี่ยวฮุยก็ไม่อยากจะขุดคุ้ย การให้เด็กคนหนึ่งระลึกว่าแม่ของตัวเองตายอย่างไรอีกครั้งนั้นโหดร้ายเกินไป เขาจึงพูด “แล้วงานศพล่ะ”

เฉาไห่พูด “งานศพผ่านไปแล้ว จัดอย่างเรียบง่ายมาก นี่เป็นความปรารถนาของผู้จัดการลั่ว”

“จดหมายที่พี่สาวทิ้งไว้ให้ผมมีบางจุดที่ผมไม่เข้าใจ” เวินเสี่ยวฮุยหยิบจดหมายออกมา “อะไรคือห้ามถามหาเหตุผลว่า…ทำไมเธอถึงทำแบบนี้”

เฉาไห่พูดอย่างเคร่งขรึม “คุณเวินครับ นี่คือเรื่องสำคัญที่ผมต้องเตือนคุณ ได้โปรดช่วยเคารพความปรารถนาของผู้จัดการลั่วด้วย อย่าได้เข้าไปยุ่ง นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณกับคุณนายเฝิงเอง”

“นี่มันเกี่ยวอะไรกับความปลอดภัยของผมกับแม่ผมล่ะ”

เฉาไห่ชำเลืองมองลั่วอี้พลางพิจารณาถ้อยคำก่อนตอบ “พ่อของลั่วอี้และสมาชิกครอบครัวทุกคนของพ่อเขาไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา ผมพูดได้แค่นี้”

เวินเสี่ยวฮุยสำรวจความทรงจำของตัวเอง เขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่หย่าหย่าตามไปมากนัก อย่างไรก็ดีตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป หลังจากโตแล้วก็ไม่มีโอกาสสืบเรื่องของหย่าหย่า ได้ยินเพียงว่าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจหรืออาจมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรในเมื่อหย่าหย่ากับทนายเฉาเตือนเขาอย่างนี้แล้ว เขาก็จะไม่เอาความปลอดภัยของเขากับแม่ไปเสี่ยง เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

“ทราบแล้วครับ”

เฉาไห่ก็พยักหน้าเช่นกัน “คุณเวินครับ ผมคิดว่าผู้จัดการลั่วคงได้เขียนเป้าหมายที่นัดพวกคุณออกมาวันนี้ในจดหมายอย่างชัดเจนแล้ว มันเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูลั่วอี้”

“ครับ”

“ลั่วอี้ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการจัดการของผู้จัดการลั่ว ไม่ทราบว่าคุณเวินมีความเห็นยังไงบ้าง”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ “นายคิดว่าฉันสามารถเลี้ยงดูนายได้เหรอ ฉันยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลย แถมมีเงินเดือนแค่หนึ่งพันห้าร้อยหยวน” เขาพึมพำแผ่วเบา “เมื่อวานก็เพิ่งจะโดนหักไปห้าร้อย”

เฉาไห่พูด “คุณเวินไม่ต้องกังวลข้อนี้ ผู้จัดการลั่วได้เตรียมเงินค่าครองชีพที่เพียงพอสำหรับลั่วอี้ไว้แล้ว นอกเหนือจากมรดกที่ผู้จัดการลั่วทิ้งไว้ให้คุณกับคุณนายเฝิง ค่าใช้จ่ายของลั่วอี้ก็มีพร้อมให้คุณใช้ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน”

“ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ข้อแรกฉันเลี้ยงเด็กไม่เป็น ฉันชี้นำการเรียนของนายไม่เป็น และจะไม่ทำอาหารหรือซักผ้าให้นายด้วย เอ่อ…สรุปคือฉันไม่รู้ว่าจะเลี้ยงนายยังไง ข้อสองฉันจะให้แม่ฉันรู้ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าแม่จะมีปฏิกิริยายังไง”

ข้อศอกของลั่วอี้วางอยู่บนที่วางแขนของโซฟา เขาเท้าคางและยิ้มอ่อนๆ พลางมองดูเวินเสี่ยวฮุย

“ข้อแรก ผมไม่ต้องให้พี่ชี้แนะเรื่องการเรียนของผมหรือทำอาหารซักผ้า ผมจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ ข้อสอง แม่ผมทิ้งคฤหาสน์ไว้ให้ผม คุณนายเฝิงไม่มีทางรู้”

“งั้นนายจะให้ฉันทำอะไร” แม้จะคุยกันแค่สิบนาทีแต่เวินเสี่ยวฮุยก็มองออกว่าลั่วอี้มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เวลาพูดและโต้ตอบสื่อสารดูเหมือนจะรอบคอบมากกว่าเขาเสียอีก เขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าลั่วอี้สามารถดูแลตัวเองได้

“เพราะแม่ไม่วางใจให้ผมอยู่คนเดียว และเธอไว้ใจพี่แค่คนเดียวเท่านั้น เธออยากให้ผมมีครอบครัวสักคน นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเธอ”

เวินเสี่ยวฮุยใจสั่น ก้มหน้าลงช้าๆ

เฉาไห่พูดอยู่ข้างๆ “คุณเวิน ลั่วอี้รู้ประสากว่าเด็กคนอื่นมาก แต่ว่ายังไงก็อายุแค่สิบห้า ผู้จัดการลั่วก็เลยทำได้แค่ไหว้วานคุณให้ดูแลเขาถึงจะตายตาหลับ”

เวินเสี่ยวฮุยหายใจหอบ คำพวกนั้นพุ่งมาหาเขาแล้วเข้าสู่แก้วหูโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และได้กระทบกับเส้นประสาทบางเส้นในสมองของเขาเข้าอย่างจัง เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามกลับว่า

“ตาย-ตา-หลับ?”

เฉาไห่อึ้งไป

เวินเสี่ยวฮุยคำราม “ตาย-ตา-หลับ?!” เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความหดหู่ในอกที่จู่โจมเข้ามาราวกับลูกกระสุน มันกระแทกอย่างรุนแรงจนอวัยวะภายในของเขาเจ็บปวด “คนที่ฆ่าตัวตายจะตายตาหลับได้ยังไง! ในเมื่อไม่วางใจลูกของตัวเองแล้วทำไมต้องตายด้วย! ทำไม! ทำไมลั่วหย่าหย่าแม่งต้องตายด้วยวะ!” เสียงร้องไห้คำรามของเวินเสี่ยวฮุยดังก้องไปทั่วโรงบ่มไวน์

วินาทีต่อมาเวินเสี่ยวฮุยพลันรู้สึกถึงมืออันอบอุ่นที่ขยี้ผมของเขา จากนั้นปลายนิ้วก็วาดผ่านใบหู ท้ายที่สุดก็คว้าท้ายทอยของเขาและค่อยๆ บีบมันอย่างปลอบประโลม

เวินเสี่ยวฮุยนิ่งงัน เขาไม่ได้หันไป มือที่อยู่บนคอของเขานั้นทั้งใหญ่ทั้งอบอุ่น ไม่เหมือนมือของเด็กคนหนึ่งเลย

ลั่วอี้กระซิบข้างหูของเขา “อย่าเสียใจไปเลย แม่ไปที่ที่ดีมากแล้ว ไปยังที่ที่ไม่มีความทรมาน ไม่มีการหลอกลวง และความสิ้นหวัง นี่เป็นสิ่งที่เธอเลือก เธอหลุดพ้นแล้ว ผมดีใจกับแม่มาก”

ร่างกายของเวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้าน เขาจิกเข่าเอาไว้ “ทะ…ทำไมนายถึงได้คิดแบบนี้…เธอตายแล้วนะ นายจะไม่มีวันได้เจอเธออีกแล้วนะ…”

สายตาของลั่วอี้มองทะลุเวินเสี่ยวฮุยตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดโฟกัส รูม่านตาของเขาเหมือนหลุมดำลึกสองหลุมที่เจือปนความหนาวเย็นเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขากลับอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

“ผมไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่ในสถานที่ที่ทำให้เธอเจ็บปวดเพราะความเห็นแก่ตัวที่อยากจะเจอเธอได้หรอก คุณน้า อย่าเสียใจไปเลย คุณน้าเองก็ควรดีใจกับเธอด้วย”

เฉาไห่มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของลั่วอี้ ร่างกายเขาสั่นเทาเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตเห็น เขากลืนน้ำลาย สิบนิ้วประสานเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

ลั่วอี้รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของเฉาไห่จึงยิ้มน้อยๆ ให้เขา ริมฝีปากสีแดงเข้าคู่กับมุมโค้งที่สมบูรณ์แบบนั้นน่ามองเป็นอย่างยิ่ง เฉาไห่เองก็ยิ้มให้เด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างแข็งทื่อ

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง แม้เขาจะไม่สามารถเข้าใจความคิดของลั่วอี้ได้ แต่น้ำเสียงอบอุ่นนั้นก็ทำให้อารมณ์ว้าวุ่นของเขาค่อยๆ สงบลง เขาพูดเสียงเบา

“ทำไมนายถึงเรียกฉันว่าคุณน้าอีกแล้วล่ะ”

ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ลืมไปแป๊บหนึ่งน่ะ” พูดจบก็ปล่อยเขาไป

เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงบนโซฟาก่อนสางๆ ผมอย่างแรง “ทนายเฉา ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง คุณพูดมาเถอะว่าผมต้องทำอะไร”

“ผมจัดการเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว คุณแค่อ่านแล้วเซ็นชื่อก็พอ อันที่จริงคุณไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ ขอเพียงคุณเห็นลั่วอี้เป็นคนในครอบครัว ผมเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องมีคนสอนคุณว่าจะต้องปฏิบัติต่อคนในครอบครัวยังไง”

เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้ เขามองเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาของเด็กหนุ่ม เขาหลับตาลงและพยักหน้าราวกับได้ตัดสินใจแล้ว

“เอาเอกสารให้ผมเถอะ”

เขาอ่านเอกสารรอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ ในเอกสารชี้แจงสิทธิ์ในการรับมรดกของเขากับแม่ แต่ว่าลั่วอี้จะสามารถใช้สิทธิ์ได้หลังจากอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์เท่านั้น ระหว่างนี้ลั่วอี้จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนทุกเดือนซึ่งเขาสามารถจัดสรรได้ หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เงินฉุกเฉินจะถูกใช้งาน ซึ่งเงินฉุกเฉินและมรดกทั้งหมดของลั่วอี้ล้วนอยู่ในสัญญาฉบับอื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ฉะนั้นเขาจึงไม่เห็นสัญญาที่ว่านี้

อย่างไรก็ตามเขาอยากรู้จริงๆ ว่าหลังจากลั่วอี้อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วจะได้รับมรดกทั้งหมดเท่าไร สุดท้ายแล้วเขาไม่รู้เลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้หย่าหย่าหาเงินมาได้อย่างไรและหามาได้เท่าไร

เขาเซ็นชื่อหลังจากอ่านจบแล้ว มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยขณะเซ็นชื่อ ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความหมายในการเซ็นชื่อนี้ เขาเพียงรู้สึกว่าเขาไม่ต้องการทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของหย่าหย่าไม่เป็นจริง อีกทั้งการได้รับเงินก้อนใหญ่กับห้องชุดหนึ่งห้องก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาและแม่ของเขาแล้วล่ะมั้ง

เฉาไห่มองดูเขาเซ็นชื่อครู่หนึ่งก่อนยิ้มแล้วจึงเอ่ย “ยินดีด้วยครับคุณเวิน”

“อ่อ…ครับ” เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดและสับสน

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พี่อยากกลับไปดูบ้านกับผมหรือเปล่า มันไม่ไกลจากที่นี่มาก”

“ได้นะ”

“แต่ก็ไม่ใกล้ เป็นทางผ่านผมกลับบ้านพอดี ผมจะพาพวกคุณกลับไปก็แล้วกัน” เฉาไห่พูด

“ครับ ขอบคุณคุณอาเฉา”

เฉาไห่ยกจักรยานของลั่วอี้ไว้ที่เบาะหลังของรถเอสยูวีแล้วพาทั้งสองมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของลั่วอี้

เวินเสี่ยวฮุยถาม “ลั่วอี้ นายเรียนที่ไหน”

“โรงเรียนมัธยม XX”

“อ่อ ไม่ไกลจากที่ทำงานฉันมาก”

“พี่ทำงานที่ไหน”

“ถนน XX”

ลั่วอี้ยิ้มก่อนเอ่ย “งั้นผมเลิกเรียนแล้วไปหาพี่ได้ไหม”

“ได้สิ”

ทนายเฉาพูดแทรก “คุณเวินทำงานอะไรเหรอครับ”

“สไตลิสต์ครับ ผมฝึกงานอยู่ที่จวี้ซิง”

“จวี้ซิงเหรอ ค่อนข้างดังเลยนะ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “ครับ เป็นหนึ่งในสตูดิโอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเลย”

เฉาไห่ชื่นชม “ร้ายกาจจริงๆ คนที่เงอะงะอย่างผมก็คงทำได้แค่งานน่าเบื่อประเภทนี้”

เวินเสี่ยวฮุยไม่ค่อยได้คลุกคลีกับคนหัวกะทิอย่างเฉาไห่สักเท่าไร ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสมกับที่เป็นทนาย ทั้งมีสไตล์ ทั้งรู้จักพูดจา แม้ดูเหมือนจะไม่มีกล้ามเนื้อแปดแพ็กส์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เขาถ่อมตัวโดยไม่รู้ตัว

“ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ผมเรียนไม่ดี สอบไม่ติดมหาวิทยาลัย นี่เป็นสิ่งที่ผมชอบแล้วก็ค่อนข้างเหมาะกับผมด้วย”

เฉาไห่พูด “ฮ่าๆ มิน่าล่ะคุณถึงกังวลว่าตัวเองจะชี้แนะลั่วอี้ไม่ได้ อันที่จริงคุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยจริงๆ ไอคิวของลั่วอี้สูงมาก เกรดมัธยมปลายของเขาเป็นที่หนึ่งของเขต”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความประหลาดใจ “ที่หนึ่ง?”

เฉาไห่หัวเราะพลางเอ่ย “อ้อ ผมลืมบอกคุณไป ตอนนี้ลั่วอี้เรียนข้ามชั้นมา ม.หก แล้ว กำลังจะสอบเกาเข่า* อันที่จริงเขาจะสอบหรือไม่สอบก็ไม่มีผล เพราะว่าตอนนี้เขาได้รับทุนเต็มจำนวนและคำเชิญเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบจากมหาวิทยาลัยนานาชาติชั้นนำทั้งเจ็ดแห่งแล้ว นี่ยังรวมมหาวิทยาลัยดีๆ ในประเทศอีกนะครับ”

เวินเสี่ยวฮุยจ้องลั่วอี้ คำรามอยู่ในใจ พับผ่าสิ เด็กเรียนเหรอเนี่ย

ลั่วอี้กะพริบตาใส่เขา ก่อนเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา

หลังจากประหลาดใจแล้วในใจของเวินเสี่ยวฮุยก็เต็มไปด้วยความขมขื่น มันอัดแน่นจนเขารู้สึกปวดใจ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหย่าหย่ากันแน่ เธอถึงได้ฆ่าตัวตายก่อนที่ลูกชายคนเดียวของตัวเองจะสอบเกาเข่า? เธอมีลูกชายที่ทั้งงดงามและโดดเด่นขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอถึงเต็มใจที่จะจากลั่วอี้และจากโลกใบนี้ไป?

 

* อาฟเตอร์เชฟ (Aftershave) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังจากการโกนหนวด โดยจะทาชโลมเฉพาะบริเวณที่โกนหนวดเท่านั้นเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดจากการโกนหนวด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง

* เกาเข่า เป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศจีน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 11 มี.. 66

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Additional Heritage มรดกลวงรัก

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com