Additional Heritage มรดกลวงรัก
ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าว พลันนึกไปว่าเมื่อกี้เขายังแต๊ะอั๋งเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เลย…
คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นลั่วอี้!
เฉาไห่พูด “เข้ามานั่งเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยเดินตามเฉาไห่เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวอย่างแข็งทื่อ
เฉาไห่ให้พวกเขาทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา “โรงบ่มไวน์แห่งนี้มีผมกับเพื่อนลงทุนร่วมกัน ปกติก็เอาไว้รวมตัวกันหรืออะไรทำนองนั้น ก็นับว่าเป็นความชอบส่วนตัวด้วย หวังว่าที่นี่จะทำให้พวกคุณได้ผ่อนคลายสักหน่อย อีกอย่างคือที่นี่ไม่มีคนนอก”
เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า
ลั่วอี้ชำเลืองมองเวินเสี่ยวฮุย แววตาของเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีนั้นค่อนข้างล้ำลึกและคาดเดาไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนก็ทำความรู้จักกันสักหน่อยก็แล้วกัน ได้ยินผู้จัดการลั่วบอกว่าพวกคุณไม่เคยเจอกันมาก่อน”
เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด
ลั่วอี้ยื่นมือออกมาอย่างใจกว้าง “คุณน้า ผมคือลั่วอี้ครับ”
เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือออกมาจับมือของเขากลับอย่างเคอะเขิน “เวินเสี่ยวฮุย…นายอย่าเรียกฉันว่าคุณน้าเลย”
มือของเด็กหนุ่มแห้งและอบอุ่น ทำให้เวินเสี่ยวฮุยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“ทำไมล่ะครับ”
“นายก็รู้ว่าฉันกับแม่นายไม่มีความผูกพันทางสายเลือดใช่ไหมล่ะ”
“แน่นอนว่าผมรู้ แต่ว่าแม่เห็นคุณน้าเป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด”
เวินเสี่ยวฮุยปวดใจ พูดด้วยความเศร้าสร้อย “เอาแต่เรียกฉันว่าคุณน้า ฉันได้ยินแล้วรู้สึกอึดอัดน่ะ”
ลั่วอี้กะพริบตา “งั้นคุณน้าอยากให้ผมเรียกว่าอะไร”
“เรียกว่าพี่เสี่ยวฮุยก็แล้วกัน”
“…ก็ได้”
เวินเสี่ยวฮุยกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง แม้จะไม่เต็มใจที่ถูกเรียกว่าคุณน้า แต่ก็ยังอยากทำตัวอาวุโสต่อหน้าลั่วอี้ เขาถาม “นายอายุเท่าไรแล้ว”
“สิบห้า”
เวินเสี่ยวฮุยถูๆ มือพลางพูดอย่างขมขื่น “พี่สาวฉัน…ตายยังไง…” เขารู้สึกเหมือนลิ้นผูกเป็นปม ยากที่จะเปล่งเสียง
ลั่วอี้หลุบตาลง “ผมว่าพี่อย่ารู้จะดีกว่า”
เวินเสี่ยวฮุยก็ไม่อยากจะขุดคุ้ย การให้เด็กคนหนึ่งระลึกว่าแม่ของตัวเองตายอย่างไรอีกครั้งนั้นโหดร้ายเกินไป เขาจึงพูด “แล้วงานศพล่ะ”
เฉาไห่พูด “งานศพผ่านไปแล้ว จัดอย่างเรียบง่ายมาก นี่เป็นความปรารถนาของผู้จัดการลั่ว”
“จดหมายที่พี่สาวทิ้งไว้ให้ผมมีบางจุดที่ผมไม่เข้าใจ” เวินเสี่ยวฮุยหยิบจดหมายออกมา “อะไรคือห้ามถามหาเหตุผลว่า…ทำไมเธอถึงทำแบบนี้”
เฉาไห่พูดอย่างเคร่งขรึม “คุณเวินครับ นี่คือเรื่องสำคัญที่ผมต้องเตือนคุณ ได้โปรดช่วยเคารพความปรารถนาของผู้จัดการลั่วด้วย อย่าได้เข้าไปยุ่ง นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณกับคุณนายเฝิงเอง”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับความปลอดภัยของผมกับแม่ผมล่ะ”
เฉาไห่ชำเลืองมองลั่วอี้พลางพิจารณาถ้อยคำก่อนตอบ “พ่อของลั่วอี้และสมาชิกครอบครัวทุกคนของพ่อเขาไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา ผมพูดได้แค่นี้”
เวินเสี่ยวฮุยสำรวจความทรงจำของตัวเอง เขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่หย่าหย่าตามไปมากนัก อย่างไรก็ดีตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป หลังจากโตแล้วก็ไม่มีโอกาสสืบเรื่องของหย่าหย่า ได้ยินเพียงว่าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจหรืออาจมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรในเมื่อหย่าหย่ากับทนายเฉาเตือนเขาอย่างนี้แล้ว เขาก็จะไม่เอาความปลอดภัยของเขากับแม่ไปเสี่ยง เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า
“ทราบแล้วครับ”
เฉาไห่ก็พยักหน้าเช่นกัน “คุณเวินครับ ผมคิดว่าผู้จัดการลั่วคงได้เขียนเป้าหมายที่นัดพวกคุณออกมาวันนี้ในจดหมายอย่างชัดเจนแล้ว มันเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูลั่วอี้”
“ครับ”
“ลั่วอี้ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการจัดการของผู้จัดการลั่ว ไม่ทราบว่าคุณเวินมีความเห็นยังไงบ้าง”
เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ “นายคิดว่าฉันสามารถเลี้ยงดูนายได้เหรอ ฉันยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลย แถมมีเงินเดือนแค่หนึ่งพันห้าร้อยหยวน” เขาพึมพำแผ่วเบา “เมื่อวานก็เพิ่งจะโดนหักไปห้าร้อย”
เฉาไห่พูด “คุณเวินไม่ต้องกังวลข้อนี้ ผู้จัดการลั่วได้เตรียมเงินค่าครองชีพที่เพียงพอสำหรับลั่วอี้ไว้แล้ว นอกเหนือจากมรดกที่ผู้จัดการลั่วทิ้งไว้ให้คุณกับคุณนายเฝิง ค่าใช้จ่ายของลั่วอี้ก็มีพร้อมให้คุณใช้ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน”
“ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ข้อแรกฉันเลี้ยงเด็กไม่เป็น ฉันชี้นำการเรียนของนายไม่เป็น และจะไม่ทำอาหารหรือซักผ้าให้นายด้วย เอ่อ…สรุปคือฉันไม่รู้ว่าจะเลี้ยงนายยังไง ข้อสองฉันจะให้แม่ฉันรู้ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าแม่จะมีปฏิกิริยายังไง”
ข้อศอกของลั่วอี้วางอยู่บนที่วางแขนของโซฟา เขาเท้าคางและยิ้มอ่อนๆ พลางมองดูเวินเสี่ยวฮุย
“ข้อแรก ผมไม่ต้องให้พี่ชี้แนะเรื่องการเรียนของผมหรือทำอาหารซักผ้า ผมจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ ข้อสอง แม่ผมทิ้งคฤหาสน์ไว้ให้ผม คุณนายเฝิงไม่มีทางรู้”
“งั้นนายจะให้ฉันทำอะไร” แม้จะคุยกันแค่สิบนาทีแต่เวินเสี่ยวฮุยก็มองออกว่าลั่วอี้มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เวลาพูดและโต้ตอบสื่อสารดูเหมือนจะรอบคอบมากกว่าเขาเสียอีก เขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าลั่วอี้สามารถดูแลตัวเองได้
“เพราะแม่ไม่วางใจให้ผมอยู่คนเดียว และเธอไว้ใจพี่แค่คนเดียวเท่านั้น เธออยากให้ผมมีครอบครัวสักคน นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเธอ”
เวินเสี่ยวฮุยใจสั่น ก้มหน้าลงช้าๆ
เฉาไห่พูดอยู่ข้างๆ “คุณเวิน ลั่วอี้รู้ประสากว่าเด็กคนอื่นมาก แต่ว่ายังไงก็อายุแค่สิบห้า ผู้จัดการลั่วก็เลยทำได้แค่ไหว้วานคุณให้ดูแลเขาถึงจะตายตาหลับ”
เวินเสี่ยวฮุยหายใจหอบ คำพวกนั้นพุ่งมาหาเขาแล้วเข้าสู่แก้วหูโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และได้กระทบกับเส้นประสาทบางเส้นในสมองของเขาเข้าอย่างจัง เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามกลับว่า
“ตาย-ตา-หลับ?”
เฉาไห่อึ้งไป
เวินเสี่ยวฮุยคำราม “ตาย-ตา-หลับ?!” เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความหดหู่ในอกที่จู่โจมเข้ามาราวกับลูกกระสุน มันกระแทกอย่างรุนแรงจนอวัยวะภายในของเขาเจ็บปวด “คนที่ฆ่าตัวตายจะตายตาหลับได้ยังไง! ในเมื่อไม่วางใจลูกของตัวเองแล้วทำไมต้องตายด้วย! ทำไม! ทำไมลั่วหย่าหย่าแม่งต้องตายด้วยวะ!” เสียงร้องไห้คำรามของเวินเสี่ยวฮุยดังก้องไปทั่วโรงบ่มไวน์
วินาทีต่อมาเวินเสี่ยวฮุยพลันรู้สึกถึงมืออันอบอุ่นที่ขยี้ผมของเขา จากนั้นปลายนิ้วก็วาดผ่านใบหู ท้ายที่สุดก็คว้าท้ายทอยของเขาและค่อยๆ บีบมันอย่างปลอบประโลม
เวินเสี่ยวฮุยนิ่งงัน เขาไม่ได้หันไป มือที่อยู่บนคอของเขานั้นทั้งใหญ่ทั้งอบอุ่น ไม่เหมือนมือของเด็กคนหนึ่งเลย
ลั่วอี้กระซิบข้างหูของเขา “อย่าเสียใจไปเลย แม่ไปที่ที่ดีมากแล้ว ไปยังที่ที่ไม่มีความทรมาน ไม่มีการหลอกลวง และความสิ้นหวัง นี่เป็นสิ่งที่เธอเลือก เธอหลุดพ้นแล้ว ผมดีใจกับแม่มาก”
ร่างกายของเวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้าน เขาจิกเข่าเอาไว้ “ทะ…ทำไมนายถึงได้คิดแบบนี้…เธอตายแล้วนะ นายจะไม่มีวันได้เจอเธออีกแล้วนะ…”
สายตาของลั่วอี้มองทะลุเวินเสี่ยวฮุยตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดโฟกัส รูม่านตาของเขาเหมือนหลุมดำลึกสองหลุมที่เจือปนความหนาวเย็นเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขากลับอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ผมไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่ในสถานที่ที่ทำให้เธอเจ็บปวดเพราะความเห็นแก่ตัวที่อยากจะเจอเธอได้หรอก คุณน้า อย่าเสียใจไปเลย คุณน้าเองก็ควรดีใจกับเธอด้วย”
เฉาไห่มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของลั่วอี้ ร่างกายเขาสั่นเทาเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตเห็น เขากลืนน้ำลาย สิบนิ้วประสานเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
ลั่วอี้รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของเฉาไห่จึงยิ้มน้อยๆ ให้เขา ริมฝีปากสีแดงเข้าคู่กับมุมโค้งที่สมบูรณ์แบบนั้นน่ามองเป็นอย่างยิ่ง เฉาไห่เองก็ยิ้มให้เด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างแข็งทื่อ
เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง แม้เขาจะไม่สามารถเข้าใจความคิดของลั่วอี้ได้ แต่น้ำเสียงอบอุ่นนั้นก็ทำให้อารมณ์ว้าวุ่นของเขาค่อยๆ สงบลง เขาพูดเสียงเบา
“ทำไมนายถึงเรียกฉันว่าคุณน้าอีกแล้วล่ะ”
ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ลืมไปแป๊บหนึ่งน่ะ” พูดจบก็ปล่อยเขาไป
เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงบนโซฟาก่อนสางๆ ผมอย่างแรง “ทนายเฉา ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง คุณพูดมาเถอะว่าผมต้องทำอะไร”
“ผมจัดการเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว คุณแค่อ่านแล้วเซ็นชื่อก็พอ อันที่จริงคุณไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ ขอเพียงคุณเห็นลั่วอี้เป็นคนในครอบครัว ผมเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องมีคนสอนคุณว่าจะต้องปฏิบัติต่อคนในครอบครัวยังไง”
เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้ เขามองเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาของเด็กหนุ่ม เขาหลับตาลงและพยักหน้าราวกับได้ตัดสินใจแล้ว
“เอาเอกสารให้ผมเถอะ”
เขาอ่านเอกสารรอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ ในเอกสารชี้แจงสิทธิ์ในการรับมรดกของเขากับแม่ แต่ว่าลั่วอี้จะสามารถใช้สิทธิ์ได้หลังจากอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์เท่านั้น ระหว่างนี้ลั่วอี้จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนทุกเดือนซึ่งเขาสามารถจัดสรรได้ หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เงินฉุกเฉินจะถูกใช้งาน ซึ่งเงินฉุกเฉินและมรดกทั้งหมดของลั่วอี้ล้วนอยู่ในสัญญาฉบับอื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ฉะนั้นเขาจึงไม่เห็นสัญญาที่ว่านี้
อย่างไรก็ตามเขาอยากรู้จริงๆ ว่าหลังจากลั่วอี้อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วจะได้รับมรดกทั้งหมดเท่าไร สุดท้ายแล้วเขาไม่รู้เลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้หย่าหย่าหาเงินมาได้อย่างไรและหามาได้เท่าไร
เขาเซ็นชื่อหลังจากอ่านจบแล้ว มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยขณะเซ็นชื่อ ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความหมายในการเซ็นชื่อนี้ เขาเพียงรู้สึกว่าเขาไม่ต้องการทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของหย่าหย่าไม่เป็นจริง อีกทั้งการได้รับเงินก้อนใหญ่กับห้องชุดหนึ่งห้องก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาและแม่ของเขาแล้วล่ะมั้ง
เฉาไห่มองดูเขาเซ็นชื่อครู่หนึ่งก่อนยิ้มแล้วจึงเอ่ย “ยินดีด้วยครับคุณเวิน”
“อ่อ…ครับ” เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดและสับสน
ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พี่อยากกลับไปดูบ้านกับผมหรือเปล่า มันไม่ไกลจากที่นี่มาก”
“ได้นะ”
“แต่ก็ไม่ใกล้ เป็นทางผ่านผมกลับบ้านพอดี ผมจะพาพวกคุณกลับไปก็แล้วกัน” เฉาไห่พูด
“ครับ ขอบคุณคุณอาเฉา”
เฉาไห่ยกจักรยานของลั่วอี้ไว้ที่เบาะหลังของรถเอสยูวีแล้วพาทั้งสองมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของลั่วอี้
เวินเสี่ยวฮุยถาม “ลั่วอี้ นายเรียนที่ไหน”
“โรงเรียนมัธยม XX”
“อ่อ ไม่ไกลจากที่ทำงานฉันมาก”
“พี่ทำงานที่ไหน”
“ถนน XX”
ลั่วอี้ยิ้มก่อนเอ่ย “งั้นผมเลิกเรียนแล้วไปหาพี่ได้ไหม”
“ได้สิ”
ทนายเฉาพูดแทรก “คุณเวินทำงานอะไรเหรอครับ”
“สไตลิสต์ครับ ผมฝึกงานอยู่ที่จวี้ซิง”
“จวี้ซิงเหรอ ค่อนข้างดังเลยนะ”
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “ครับ เป็นหนึ่งในสตูดิโอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเลย”
เฉาไห่ชื่นชม “ร้ายกาจจริงๆ คนที่เงอะงะอย่างผมก็คงทำได้แค่งานน่าเบื่อประเภทนี้”
เวินเสี่ยวฮุยไม่ค่อยได้คลุกคลีกับคนหัวกะทิอย่างเฉาไห่สักเท่าไร ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสมกับที่เป็นทนาย ทั้งมีสไตล์ ทั้งรู้จักพูดจา แม้ดูเหมือนจะไม่มีกล้ามเนื้อแปดแพ็กส์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เขาถ่อมตัวโดยไม่รู้ตัว
“ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ผมเรียนไม่ดี สอบไม่ติดมหาวิทยาลัย นี่เป็นสิ่งที่ผมชอบแล้วก็ค่อนข้างเหมาะกับผมด้วย”
เฉาไห่พูด “ฮ่าๆ มิน่าล่ะคุณถึงกังวลว่าตัวเองจะชี้แนะลั่วอี้ไม่ได้ อันที่จริงคุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยจริงๆ ไอคิวของลั่วอี้สูงมาก เกรดมัธยมปลายของเขาเป็นที่หนึ่งของเขต”
เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความประหลาดใจ “ที่หนึ่ง?”
เฉาไห่หัวเราะพลางเอ่ย “อ้อ ผมลืมบอกคุณไป ตอนนี้ลั่วอี้เรียนข้ามชั้นมา ม.หก แล้ว กำลังจะสอบเกาเข่า* อันที่จริงเขาจะสอบหรือไม่สอบก็ไม่มีผล เพราะว่าตอนนี้เขาได้รับทุนเต็มจำนวนและคำเชิญเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบจากมหาวิทยาลัยนานาชาติชั้นนำทั้งเจ็ดแห่งแล้ว นี่ยังรวมมหาวิทยาลัยดีๆ ในประเทศอีกนะครับ”
เวินเสี่ยวฮุยจ้องลั่วอี้ คำรามอยู่ในใจ พับผ่าสิ เด็กเรียนเหรอเนี่ย
ลั่วอี้กะพริบตาใส่เขา ก่อนเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา
หลังจากประหลาดใจแล้วในใจของเวินเสี่ยวฮุยก็เต็มไปด้วยความขมขื่น มันอัดแน่นจนเขารู้สึกปวดใจ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหย่าหย่ากันแน่ เธอถึงได้ฆ่าตัวตายก่อนที่ลูกชายคนเดียวของตัวเองจะสอบเกาเข่า? เธอมีลูกชายที่ทั้งงดงามและโดดเด่นขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอถึงเต็มใจที่จะจากลั่วอี้และจากโลกใบนี้ไป?
* อาฟเตอร์เชฟ (Aftershave) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังจากการโกนหนวด โดยจะทาชโลมเฉพาะบริเวณที่โกนหนวดเท่านั้นเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดจากการโกนหนวด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง
* เกาเข่า เป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศจีน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 11 มี.ค. 66