ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Additional Heritage มรดกลวงรัก

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 10

 

ในงานเลี้ยงการกุศลดาราจำนวนมากได้บริจาคสิ่งของเพื่อนำมาทำการประมูล และเงินจากการประมูลก็จะนำมาทำการกุศลโดยบริจาคให้กับโรงเรียนในชนบท

เซ่าฉวินไว้หน้าหลี่ฮว่าพอสมควร เขาประมูลเสื้อยืดที่หลี่ฮว่าออกแบบด้วยตัวเองในราคาสูงถึงสองแสนหยวน หลี่ฮว่าที่อยู่บนเวทีหน้าบานเหมือนดอกไม้ ส่งสายตาให้เซ่าฉวินเป็นครั้งคราว แม้แต่คนตาบอดก็มองออกว่าสองคนนี้มีอะไรในกอไผ่ แต่เวินเสี่ยวฮุยรู้ว่าต่อให้เป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าอย่างหลี่ฮว่า ต่อให้เธอแก่กว่าเซ่าฉวินถึงเก้าปี ต่อให้เธอขยิบตาให้กับเซ่าฉวินในที่สาธารณะก็คงไม่มีสื่อหน้าไหนกล้าเสนอข่าวฉาวของเซ่าฉวิน

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอิจฉาหลี่ฮว่าเล็กน้อย แม้เขาจะไม่ชอบไบเซ็กช่วล แต่เซ่าฉวินก็เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ คนที่เป็นเกย์ก็อยากหลับนอนด้วยสักครั้ง โดยเฉพาะในวงที่มีฝ่ายรุกมากกว่าฝ่ายรับ เซ่าฉวินก็คือจุดสูงสุดของพีระมิด ไม่เจ้าชู้สิถึงจะเสียของ

Raven จงใจพูดเสียงดัง “ฮว่าฮว่าของพวกเราสวยจังเลย” ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างภูมิใจ

สายตาของสไตลิสต์หลายคนที่นั่งอยู่ข้างเขาดูจะไม่ยินดีด้วยนัก พวกที่ยับยั้งชั่งใจได้ดีหน่อยก็แค่นิ่งเงียบ บางคนก็แค่กลอกตา รอยยิ้มบนใบหน้าของ Raven ยิ่งสดใสกว่าเดิม

การประมูลกินเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงและรวบรวมเงินประมูลได้ทั้งหมดสี่ล้านหยวน หลังการประมูลก็เป็นงานดื่มสังสรรค์ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นช่วงเวลาเข้าสังคมที่มีมูลค่าที่สุดของงานในคืนนี้

Raven ลากเสี่ยวฮุยไปหาหลี่ฮว่า

หลี่ฮว่าควงแขนของเซ่าฉวินพลางยิ้มแย้มพูดคุยกับผู้กำกับชื่อดังคนหนึ่ง หางตาของเธอเหลือบเห็น Raven แล้วแต่กลับไม่ได้สนใจอะไร

Raven เข้าไปยืนได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกเคอะเขินแม้แต่น้อย “ฮว่าฮว่า เธออยู่นี่นี่เอง ผู้กำกับหวังสวัสดีครับ ผมคือ Raven จากสตูดิโอจวี้ซิงครับ ผมเคยเจอคุณที่เหิงเตี้ยน* คราวก่อน คุณงานยุ่ง ต้องจำกันไม่ได้แน่ๆ นี่นามบัตรของผม”

เวินเสี่ยวฮุยรีบพยักหน้า “ผู้กำกับหวัง”

“เอ๊ะ สวัสดีครับ” ผู้กำกับหวังรับนามบัตรมาและยัดใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้มอง

Raven หันมองเซ่าฉวินอีกครั้ง พร้อมการประจบสอพลอบนใบหน้าที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ “คุณชายเซ่าสวัสดีครับ”

เวินเสี่ยวฮุยก็ทักทายเซ่าฉวินเช่นกัน

เซ่าฉวินพยักหน้าเท่ากับว่าได้ยินแล้ว แต่เขากลับไม่ได้มอง Raven หรือเวินเสี่ยวฮุยเลยสักนิด

เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ คุณชายเซ่าคนนี้คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้นจริงๆ

Raven หยิบนามบัตรออกมายื่นให้ “คุณชายเซ่า ถ้ามีเวลาก็แวะมาที่จวี้ซิงหน่อยนะครับ ฮว่าฮว่าก็มาแต่งหน้าทำผมกับผมตลอด”

เซ่าฉวินรับนามบัตรมาแล้วส่งเสียงอืมตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“เอ๊ะ เพื่อนผมอยู่ทางนั้น ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็คุยกันก่อนนะครับ ผมขอตัวก่อน” Raven สร้างบันไดขึ้นไปและลงมาด้วยตัวเอง จากนั้นก็ดึงเวินเสี่ยวฮุยจากไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก

เวินเสี่ยวฮุยหันกลับไปมองเซ่าฉวินอีกครั้ง หลี่ฮว่าจับมือของเขาอย่างเสน่หา แต่เขากลับสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แม้เวินเสี่ยวฮุยจะไม่สามารถตีความทางจิตวิทยาได้ แต่เขารู้สึกว่าท่าทางของเซ่าฉวินนั้นเย็นชาเหลือเกิน

Raven ดึงเขา “มองอะไรน่ะ ยังมองไม่พออีกเหรอ”

“เอ่อ…มองไปเรื่อยน่ะครับ”

Raven พูดเยาะเย้ย “ก็ทำได้แค่มองเท่านั้นแหละ สายตาขององค์รัชทายาทคนนี้สูงส่งเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่ตัวท็อปก็ไม่อยู่ในสายตาหรอกนะ”

“อ่อ” เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างรู้สึกอึดอัด คิดไม่ถึงว่าขนาดหน้าตาอย่างเขาก็ยังไม่ชายตาแล เซ่าฉวินคงจะตาบอดล่ะมั้ง

เมื่องานเลี้ยงใกล้จะสิ้นสุดลงผู้คนก็เริ่มทยอยออกจากสถานที่จัดงาน ทั้งสองคนก็เดินตามผู้คนออกมาจากโรงแรมเช่นกัน

เพิ่งจะขึ้นรถก็มีคนโทรมาหาเวินเสี่ยวฮุย เขาหยิบมือถือออกมาดูปรากฏว่าเป็นประธานหลัว เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว ไม่ค่อยอยากรับสายสักเท่าไร แต่ว่า Raven ชำเลืองมองมา ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเห็นมันแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรับสายอย่างจนปัญญาและกล่าวอย่างสุภาพ

“ฮัลโหลครับ ประธานหลัว”

“Adi เอ๊ย นายอยู่ที่ไหนน่ะ”

“อยู่บนรถครับ”

“ทำไมนายกับ Raven ถึงรีบเผ่นไปเร็วขนาดนั้นล่ะ พวกเราไปดื่มกันสักหน่อยเถอะ”

“ขอโทษด้วยครับประธานหลัว วันนี้ดึกมากแล้ว ผมต้องกลับห้อง ไม่งั้นแม่ต้องดุผมแน่”

“โธ่เอ๊ย นายก็ทำงานแล้ว ยังเป็นเด็กอยู่หรือไง มีผู้ชายที่ไหนกลัวแม่บ้างล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “แม่ผมดุมากเลยครับ ผมกลัวจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับประธานหลัว”

Raven ส่งสายตาให้เวินเสี่ยวฮุยที่อยู่ข้างๆ แต่เวินเสี่ยวฮุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ประธานหลัวไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หลังจากกล่าวลาสองสามคำก็วางสายไป

หลังจากวางสายเวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าดวงตาของ Raven กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร เวินเสี่ยวฮุยเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่พักหนึ่ง

“นายไม่ใช่เด็กประถมแล้ว ใช้ข้ออ้างแบบนี้ปฏิเสธคนอื่นเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยข่มความโกรธเอาไว้ “ผมไม่ได้ปฏิเสธ แม่ผมคุมผมเข้มมากจริงๆ”

Raven ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังที่เขาไม่เป็นดังใจ “ยอมนายเลย”

เวินเสี่ยวฮุยเงียบไม่พูดไม่จา

Raven ชี้ไปที่คันเกียร์ของรถ “นายดูนี่สิ”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมอง ไม่เห็นความหมายที่ซ่อนอยู่

“ขั้นต่ำก็คือหนังวัว ฉันเปลี่ยนเป็นหนังกวางหุ้มไม้เชอรี่ แค่คันเกียร์นี้อันเดียวฉันต้องเพิ่มเงินอีกหนึ่งหมื่นแปดพันหยวนซึ่งเป็นรายได้ทั้งปีของนายพอดี”

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี

“แค่การตกแต่งภายในของรถคันนี้ฉันก็ใช้ไปสามแสนห้าหมื่นหยวนแล้ว ของที่ Luca ตั้งโชว์ในสตูดิโอทั้งวันยังไม่แพงเท่าการตกแต่งภายในของฉันเลย แต่ฉันก็ยังชื่นชมเขาในจุดนี้มากเพราะว่าเขาเป็นคนเข้าใจสถานการณ์”

เวินเสี่ยวฮุยแอบกำหมัดเงียบๆ ลอบด่าอยู่ในใจ เข้าใจสถานการณ์แม่งดิ

“Luca ฉลาดกว่านายมาก น่าเสียดายที่ความฉลาดของเขาไม่มีในความสามารถของเขา หน้าตาก็งั้นๆ เสี่ยวฮุย ฉันมีใจที่อยากจะฝึกนายจริงๆ นะ แต่นายคงไม่คิดว่าในวงการนี้แค่มีความสามารถก็กินข้าวได้หรอกมั้ง เมืองจีนใหญ่ขนาดนี้ ประชากรพันล้านคน สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือประชากรนี่แหละ แล้วทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จ บางคนถึงทำไม่ได้ล่ะ นายคงไม่นึกว่าทุกคนจะมีพ่อไว้พึ่งพาหรอกใช่ไหม มีคนเก่งๆ กี่คนที่รอให้โอกาสที่พวกเขาเฝ้าฝันมาอยู่ตรงหน้า แล้วนายจะผลักไสมันออกไปจริงเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่ต้องการที่จะเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว จึงพูดอย่างตรงไปตรงมา

“Raven ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณพูด แต่ว่าผมทำไม่ได้”

Raven หัวเราะเยาะ ไม่ได้พูดอะไรอีก อีกฝ่ายหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

ภายในตัวรถเงียบมาก คนขับรถไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกับหุ่นยนต์ เวินเสี่ยวฮุยมองทิวทัศน์ที่แล่นผ่านไปนอกหน้าต่าง พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็อดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้

เขายกเลิกนัดกับพี่เสวี่ยหลี แต่งตัวอย่างระมัดระวัง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้ตัวเองเข้ากับสถานที่ที่ซึ่งไม่เข้ากับเขาจริงๆ ทำความรู้จักกับกลุ่มคนที่เขาไม่อาจแม้แต่จะประจบประแจงด้วยซ้ำ จากนั้นก็พบว่าเจ้านายของตัวเองต้องการที่จะขายเขาเพื่อเอาใจนักลงทุน เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เขาหาคำอธิบายอื่นไม่เจอนอกจากคำว่า ‘น่ารังเกียจ’

นี่ไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้ ไม่สิ บางทีอาจเป็นเพราะเขาจินตนาการแต่ด้านสว่าง แต่ไม่ได้จินตนาการถึงด้านมืดและความหดหู่ที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อก่อนเขาดูถูก Luca ที่หลับนอนกับคนอื่นเพื่อรถคันหนึ่ง แต่กลับชื่นชมความสำเร็จของ Raven อันที่จริงถ้าพูดกันตรงๆ ทั้งสองคนก็แค่ทรยศต่อคุณค่าของตัวเองซึ่งนั่นไม่เหมือนกับความสำเร็จที่เขาต้องการ การที่ต้องอาศัยหลับนอนกับชายแก่เพื่อแลกกับโอกาสคือสิ่งที่เขาไม่มีวันยินยอมหรือต้องการ

Raven ไม่ได้ส่งเขากลับที่พัก แต่ทิ้งเขาไว้ที่ทางเข้ารถไฟใต้ดิน

เวินเสี่ยวฮุยเดินลงรถไฟใต้ดิน มองดูทางรถไฟสองสายที่วิ่งสวนกันซ้ายขวา ทางหนึ่งเป็นทางกลับห้อง อีกทางหนึ่งเป็นทางไปคฤหาสน์ของลั่วอี้ เขาตัดสินใจว่ารถไฟขบวนไหนมาก่อนก็จะขึ้นขบวนนั้น

ไม่นานเสียงดังสนั่นก็ลอยมาจากรถไฟใต้ดิน เวินเสี่ยวฮุยหลับตาลง ความคาดหวังอันเลือนรางเกิดขึ้นในใจ

เมื่อลืมตาขึ้นรถไฟใต้ดินก็มาหยุดอยู่ด้านซ้ายมือของเขาแล้ว วินาทีที่ประตูเปิดออกเขาก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาแม่

 

เวินเสี่ยวฮุย แม่ ดึกมากแล้ว ผมไปนอนบ้านเพื่อนที่ทำงานนะ

 

เมื่อมาถึงคฤหาสน์ของลั่วอี้เขากดกริ่งประตู ไม่ช้าประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ลั่วอี้มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“พี่มาได้ไงเนี่ย”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มแล้วเอ่ย “ดึกเกินไป ขี้เกียจกลับห้อง”

“เข้ามาเถอะ ตอนกลางคืนยังหนาวอยู่นิดหน่อย” ลั่วอี้มองสำรวจเวินเสี่ยวฮุยรอบหนึ่ง “เวินเสี่ยวฮุย วันนี้พี่หล่อจริงๆ”

“ฮี่ๆ วันนี้แค่แต่งหน้าอย่างเดียวก็กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว นายไม่มีทางเจอรูขุมขนหรอก”

“กินข้าวหรือยัง หิวไหม”

“หิวจะตายอยู่แล้ว เมื่อตอนค่ำดื่มแต่เหล้า ไม่มีใครกินอะไรเลย ทำเอาฉันไม่กล้ากินไปด้วย”

“ผมจะทำเกี๊ยวให้พี่”

“มาๆๆ ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”

เวินเสี่ยวฮุยกลับไปที่ห้องนอน มองดูตัวเองในกระจก แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าราคาแพง แต่แป้งก็ไม่สามารถปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขาได้ ความตื่นเต้นที่ได้สวมเสื้อชุดนี้ถูกบดขยี้จนหมดสิ้น ตอนนี้เขาแค่อยากเปลี่ยนเป็นชุดนอนสบายๆ และกินอาหารดีๆ สักมื้อ

เมื่อลงมาชั้นล่างลั่วอี้ก็ทำอาหารไว้รอเขาเรียบร้อยแล้ว

พอเวินเสี่ยวฮุยนั่งลงก็เริ่มกินราวกับว่าเขาไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว

ลั่วอี้หัวเราะขณะเอ่ย “หิวขนาดนั้นเลยเหรอ ช้าๆ หน่อย เดี๋ยวลวกปาก”

เวินเสี่ยวฮุยลูบๆ ปาก พูดเสียงต่ำ “ลั่วอี้ นายจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่างานเลี้ยงเป็นยังไงบ้าง”

“พี่ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร”

“ฉันทำความรู้จักกับคนเยอะแยะ มีดารา มีผู้กำกับ แล้วก็มีดีไซเนอร์กับสไตลิสต์ด้วย”

“งั้นก็ดีมากเลย”

“ดีอะไรล่ะ พอฉันรู้จักพวกเขา พวกเขาจะต้องลืมว่าฉันเป็นใครทันทีที่หันหลังแน่ๆ”

“ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ช้าก็เร็วพี่จะต้องทำให้ทุกคนจำได้แน่”

เวินเสี่ยวฮุยฝืนหัวเราะ “วันนี้ฉันได้ทำเรื่องที่ไร้เหตุผลมากๆ”

“เกิดอะไรขึ้น”

เวินเสี่ยวฮุยไม่ได้เล่าเรื่องประธานหลัวออกมา เพราะเขารู้สึกว่าไม่ควรเล่าเรื่องพรรค์นี้ให้เด็กน้อยฟัง แต่เขาเลือกที่จะเล่าเรื่องของพี่เสวี่ยหลีแทน

หลังจากลั่วอี้ได้ฟังแล้วก็พูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ พี่รอสักสามวัน ไว้เธอหายโกรธแล้วค่อยโทรไปขอโทษ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า ถอนหายใจ “ฉันเสียใจซะแล้วสิ งานเลี้ยงวันนี้ไม่สนุกเอาซะเลย”

“ก็ต้องมีประสบการณ์ก่อนสิถึงจะรู้ว่าสนุกหรือเปล่า ต่อไปพี่ก็รู้แล้วว่าบางเรื่องทำได้ บางเรื่องทำไม่ได้ แต่ว่าถ้านัดคนอื่นแล้ว ไม่เทนัดได้ก็อย่าเทนัดเลย”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มก่อนเอ่ย “นายเข้าสู่โหมดไลฟ์โค้ชอีกแล้ว”

ลั่วอี้ก็ยิ้มตามไปด้วย

“เอ๊ะ วันนี้ฉันได้ยินเรื่องซุบซิบมาเยอะเลย”

“อ่อ ไหนเล่ามาให้ฟังหน่อย”

“นายคงรู้จักหลี่ฮว่าสินะ? เธอมีความสัมพันธ์กับลูกผู้มีอิทธิพลที่อายุน้อยกว่าเธอตั้งเก้าปี วันนี้ฉันได้เห็นเจ้าลูกชายคนนั้นด้วย หล่อสุดๆ น่าจะอายุประมาณยี่สิบสองยี่สิบสามล่ะมั้ง ให้ตายเถอะ แต่หยิ่งชะมัด เจ้านายของฉันพาเข้าไปทักทาย แต่ว่าเขาไม่เหลียวมองพวกเราด้วยซ้ำ”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “วงการบันเทิงก็แบบนี้แหละ มีคนทุกรูปแบบ”

“รูปลักษณ์ภายนอกของผู้ชายคนนั้นสเป็กฉันเลย แต่ว่านิสัยไม่ไหว อีกอย่างได้ยินว่าเจ้าชู้มาก ชิ ไม่กลัวติดโรคหรือไง”

ลั่วอี้เท้าคางมองดูเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังนินทาอย่างออกรส เขายิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยกินเกี๊ยวชามใหญ่แล้วก็ลูบท้องอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเรอออกมา

“อร่อย นายทำเองเหรอ”

“ใช่ ยัดไส้กุ้งน่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยชูนิ้วโป้ง “ลั่วอี้ นายนี่มันความสามารถรอบด้านจริงๆ”

ลั่วอี้หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางลงบนโต๊ะดังแปะ “พี่เสี่ยวฮุย นี่ให้พี่”

เวินเสี่ยวฮุยจ้องมัน สิ่งนั้นคือกุญแจ

“นี่เป็นกุญแจบ้าน อย่าทำหายล่ะ ปั๊มยาก”

เวินเสี่ยวฮุยรับกุญแจมา กระแสอบอุ่นไหลผ่านหัวใจ ในโลกใบนี้อาจไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นไปกว่าการมีบ้านเพิ่มอีกหลังแล้ว บ้านที่ไม่ใช่แค่สถานที่ที่เอาไว้หลับนอนแต่เป็น ‘บ้าน’

เขายิ้มแล้วเอ่ย “ขอบคุณนะ”

 

* คุณยายหลิว เป็นหนึ่งในตัวละครจากนวนิยายเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นหญิงชาวชนบทสูงอายุ โดยคำเรียกนี้ใช้เพื่ออธิบายถึงคนที่มีความรู้สึกท่วมท้นต่อสภาพแวดล้อมอันหรูหรา

* เหิงเตี้ยน (Hengdian World Studios) เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ฮอลลีวูดแดนตะวันออก’ ตั้งอยู่ที่เมืองเหิงเตี้ยน มณฑลเจ้อเจียง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 14 มี.. 66

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Additional Heritage มรดกลวงรัก

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com