บทที่ 3
ตกกลางคืนฉีเซียวกินอาหารค่ำร่วมกับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ที่ตำหนักอวี้ซิ่ว คำโบราณว่ายามกินนอนไม่ปริปาก เมื่อหยุดตะเกียบค่อยยกน้ำชาขึ้นมา องค์หญิงใหญ่ตุนซู่รับถ้วยชาเคลือบสีเขียวลงลายน้ำทองที่นางกำนัลยกถวาย เป่าใบชาอย่างเชื่องช้าพลางเอ่ยแผ่วเบา “วันนี้ไปพบตงหลิงไป่เริ่นแล้วหรือ”
ฉีเซียวหันหน้ามองไปทางเจียงเต๋อชิง เจียงเต๋อชิงเข้าใจจึงขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่งค้อมเอวบอกเล่าเรื่องตอนกลางวันอย่างละเอียด ทั้งยังเอ่ยคำสนทนาของทั้งสองซ้ำอีกครั้งโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียว องค์หญิงใหญ่ตุนซู่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับมุมปาก พักหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “เขานิสัยเย็นชาจริง หรือเจตนาหลบเลี่ยงไมตรีของเจ้า”
ฉีเซียววางถ้วยชาลงแล้วส่ายหน้า “ดูไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ บางทีอาจใช่ทั้งคู่”
“ตามหลักแล้วไม่น่า…แม้เขาจะอายุน้อย ทว่าหลักการเหล่านี้ก็ควรเข้าใจ เขาเพิ่งมาถึงไม่นาน ต้องการคนช่วยเหลืออย่างยิ่ง เจ้าเป็นรัชทายาท…กลับอ่านเขาไม่ออก…” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ลดเสียงลงต่ำแล้วว่า “เขาคงไม่รู้ว่าเจ้าหาใช่…ที่แท้ของฝ่าบาทหรอกนะ”
“เสด็จป้า” ฉีเซียวขัดคำพูดขององค์หญิงใหญ่ตุนซู่ ก่อนยิ้มเอ่ย “บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมผ่านไม่ได้ เรื่องปีนั้นคนที่รู้มีไม่น้อย หลิ่งหนานอ๋องมิใช่คนหูหนวกตาบอด รู้แล้วย่อมไม่แปลก”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ถอนใจแผ่วเบา “นี่ก็คือสิ่งที่กลัว…หากพวกเขารู้ น่ากลัวว่าอนาคตเจ้าจะไม่อาจสืบราชบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น ยากรับประกันว่าจะไม่จงใจขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ ข้าเกรงว่าไป่เริ่นคงรู้แล้ว เดิมเขาต้องการที่พึ่ง แต่ก็หวั่นเกรงจะล่วงเกินฮ่องเต้”
ฉีเซียวยิ้มหยัน “ตามใจเขาเถิด วันนี้เจตนาของข้าที่ต้องการสานไมตรีชัดเจนมากแล้ว ตอนนี้พวกเขาอาจกำลังหารือกันอยู่ อยากให้ข้าช่วยหรือไม่อยู่ที่ตัวเขาเอง…ที่จริงเขาไม่มีทางเลือก นอกจากข้า มีองค์ชายองค์ใดกล้าคบหาเขากัน หากไม่ไยดีข้าก็กระอักกระอ่วนเช่นนี้ไปตลอดเถิด อีกอย่าง…ถึงเขาไม่ไยดีข้าก็ไม่อาจขัดขวางไม่ให้ข้าสู่ขอหลิ่งหนานจวิ้นจู่ได้…”
“นี่ก็ถูกต้อง…ข้าเคลื่อนไหวมากหน่อย เรื่องนี้อย่างไรก็หนีไม่พ้น หากซื่อจื่อเจตนาห่างเหินก็แล้วไป หลิ่งหนานจวิ้นจู่มิได้มีแค่พี่สาวเขาคนเดียว คังไท่จวิ้นจู่ที่เกิดจากชายารองก็เป็นตัวเลือกอันยอดเยี่ยม หึๆ…หวังเพียงวันข้างหน้าเขาจะไม่เสียใจที่คราแรกมิได้เป็นน้องชายาเจ้า” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ทำการละเอียดถี่ถ้วน ทุกเรื่องล้วนต้องสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ถึงได้ให้ฉีเซียวไปทักทายไป่เริ่นเสียก่อน คิดไม่ถึงว่ากลับเจอตะปูนิ่ม เข้า กระนั้นยังดีที่ไม่เกี่ยวพันกับสถานการณ์โดยรวม องค์หญิงใหญ่ตุนซู่มองฉีเซียวพลางยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู “ทว่าไม่แน่นิสัยเขาอาจเป็นเช่นนี้เอง พูดตามความเป็นจริงการมีฐานะเป็นตัวประกันคงไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีนัก”
ฉีเซียวหัวเราะ ไม่กล่าวคำ
หลังจากยามซวี ตำหนักในจะลงกลอน ไม่เหมาะที่ฉีเซียวจะรั้งอยู่นาน หลังอยู่พูดคุยเล่นกับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่เป็นเวลาสองถ้วยชา ก็ออกมา ยามราตรีจันทร์จรัสดาราพร่างพราย สายลมเย็นพัดระเรื่อย เกิดเป็นทัศนียภาพงามเลิศล้ำ ฉีเซียวมิได้นั่งเกี้ยวแต่เดินเชื่องช้าไปตามสระเชียนหลี่มุ่งไปทางตำหนักไห่เยี่ยน เจียงเต๋อชิงคาดว่าฉีเซียวระยะนี้มีเรื่องในใจมากจึงไม่ต้องการนอนหัวค่ำ หลังชั่งใจเล็กน้อยก็ถามเสียงค่อย “องค์รัชทายาท…ให้พวกเขาถอยไปก่อน ส่วนกระหม่อมเดินเล่นเป็นเพื่อนพระองค์แถวนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวพยักหน้า เจียงเต๋อชิงหมุนตัวมาไล่ข้ารับใช้ทั้งหมดไป จากนั้นก็ตามฉีเซียวเดินวนไปตามทางเดินริมน้ำรอบหนึ่ง ฉีเซียวมิได้เอ่ยวาจาครู่ใหญ่ ทว่าจู่ๆ กลับเอ่ยขึ้น “ไป่เริ่นผู้นั้น…”
เจียงเต๋อชิงคาดไม่ถึงว่าฉีเซียวยังคงคิดถึงเรื่องนี้จึงคลี่ยิ้ม “องค์รัชทายาท ซื่อจื่อจะว่าอย่างไรก็ช่าง พระองค์พูดแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไรล้วนไม่อาจขัดขวางเรื่องมงคลของพระองค์กับหลิ่งหนานจวิ้นจู่ได้”
ฉีเซียวไม่ได้คิดถึงเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหลิ่งหนานเลยแม้แต่น้อย พอเจียงเต๋อชิงพูดเรื่องนี้ก็พลันได้สติ เขาโคลงศีรษะยิ้มเล็กน้อย “ช่างเถิด ดึกมากแล้ว กลับกันเถอะ”
เจียงเต๋อชิงรีบร้อนขานรับ ถือโคมไฟส่องทางให้ฉีเซียวระวังฝีเท้า เขาเอาแต่สนใจดูฉีเซียว ตอนลงสะพานจึงซวนเซจวนเจียนจะหกล้ม เคราะห์ดีที่ฉีเซียวประคองตัวไว้ทันมิได้ล้มลงไป แค่โคมไฟร่วงลงน้ำเท่านั้น เจียงเต๋อชิงรีบร้อนคุกเข่าลงขอประทานอภัย “กระหม่อมชรานัยน์ตาฝ้าฟาง กระหม่อม…”
“ช่างเถิด” เจียงเต๋อชิงเป็นขันทีผู้รับใช้อู่ตี้ในอดีต คอยปรนนิบัติฉีเซียวมาตั้งแต่เล็กจนโต ฉีเซียวหรือจะมีโทสะจริงจัง เขาเพียงโบกมือ “ไม่ต้องเคร่งพิธี ข้าเหนื่อยแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะๆ” เจียงเต๋อชิงรีบยันตัวขึ้นมา กวาดตามองซ้ายขวาแล้วน้อมกายเอ่ย “องค์รัชทายาทโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะไปขอโคมไฟจากด้านนั้น…”
ฉีเซียวไม่มีความอดทนที่จะรอ เขาส่ายหน้าเอ่ยว่า “ดวงจันทร์ใหญ่โตเพียงนี้ มองเห็นทางคร่าวๆ แล้ว เดินไปอย่างนี้ล่ะ…”
เจียงเต๋อชิงเพิ่งเสียมารยาทจึงไม่กล้าขัดคำสั่งฉีเซียว เพียงค้อมกายประคองฉีเซียวลงจากสะพาน ทั้งสองเดินตรงไปทางตำหนักไห่เยี่ยน ระหว่างทางผ่านทะเลป่าไผ่ฝีเท้าของฉีเซียวพลันชะงัก เจียงเต๋อชิงเงยหน้าขึ้นถามอย่างฉงน “องค์รัชทายาท…”
“ชู่ว์…”
ฉีเซียวเม้มริมฝีปากบาง ท่ามกลางเสียงซื่อซ่าของใบไผ่ เขายังคงได้ยินเสียงคนพูดคุยกันกลางป่า…