everY
ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
บทที่ 4
วันต่อมาในจวนหลิ่งหนานอ๋องทางเหนือของเมือง ไป่เริ่นอ่านรายงานลับในมือด้วยสีหน้าขาวซีด ที่ปรึกษาข้างกายเห็นแล้วใจกระตุกวูบ ลดเสียงลงถามว่า “แต่ทางพระชายาอ๋อง…”
“ไม่ใช่” ไป่เริ่นกดความกระวนกระวายในใจลง เอ่ยเสียงเบา “เป็นพี่สาว…พวกเขา…คิดมอบโหรวจยาเป็นชายารองของรัชทายาท…”
ที่ปรึกษาได้ฟังหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน “หากต่อไปซื่อจื่อต้องอยู่ในเมืองหลวงถาวร จวิ้นจู่แต่งเข้ามามิมีอันใดไม่เหมาะ ซื่อจื่อมีฐานะพิเศษ ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีคนจับตาดู หากมีคนหนึ่งอยู่ภายนอกคอยจัดการเรื่องต่างๆ ย่อมเป็นสิ่งดีเยี่ยมที่สุด เพียงแต่…อภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทมิใช่การเดินหมากที่ดีอย่างแท้จริง”
“ไม่ใช่ว่าแต่งงานกับใคร แต่โหรวจยาจะเป็นชายารองให้ผู้อื่นได้อย่างไร!” ไป่เริ่นขมวดคิ้วแน่น แล้วอ่านรายงานลับตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบ สีหน้ายิ่งหม่นทะมึน “รังแกกันเกินไปแล้ว…”
ที่ปรึกษาหัวเราะเสียงขื่น “ซื่อจื่อ อย่าได้หาว่ากระหม่อมเหิมเกริม ไม่กล่าวถึงตอนนี้ แม้เป็นเมื่อก่อนตอนพวกเราแข็งแกร่ง จวิ้นจู่ของพวกเราก็มิอาจเป็นชายาเอกของผู้สืบทอดบัลลังก์พวกเขา พวกเขาจิตใจโหดเหี้ยม ใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ให้มั่นคงได้ แต่ชายาเอกของรัชทายาทจะให้สตรีจากหลิ่งหนานมาเป็นได้เยี่ยงไร” ที่ปรึกษาถอนใจเฮือกหนึ่ง “หากเป็นชายาเอกจากหลิ่งหนานคนเดียวพวกเขาอาจยังยอมได้ ทว่าวันข้างหน้าหากให้กำเนิดบุตร เด็กคนนั้นย่อมกลายเป็นองค์ชายรัชทายาทมีสายเลือดของหลิ่งหนานอยู่ เช่นนี้มีหรือที่พวกเขาจะยอม”
ทั้งหมดนี้ไป่เริ่นย่อมเข้าใจ เพียงเป็นผู้อื่นก็แล้วไป ทว่าเขากับโหรวจยาเกิดจากแม่คนเดียวกัน เขาจะยินยอมให้พี่สาวตกสู่นรกได้อย่างไร
ไป่เริ่นเงยหน้าจับจ้องที่ปรึกษา ลดเสียงลงต่ำเอ่ย “อาจารย์ต่ง…ท่านเห็นข้ากับพี่สาวโตมา คงไม่อาจข่มใจให้พี่ข้าตกทุกข์ได้ยากถึงเพียงนี้กระมัง บัดนี้ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวทุกเรื่องก็ได้แต่หารือกับท่านแล้ว เรื่องนี้…ยังพอมีหนทางพลิกกลับหรือไม่”
ต่งป๋อหรูมองไป่เริ่นอย่างลำบากใจ แท้จริงในใจเขาหวังให้โหรวจยามาที่นี่มากกว่า เหมือนกับที่เขาพูดเมื่อครู่ ไป่เริ่นอยู่ในเมืองหลวงเป็นผู้โดนกระทำมากเกินไป ราชสำนักระแวงระวังพวกเขา แม้ยามปกติเกรงอกเกรงใจ ทว่าไม่มีผู้ใดคิดเพื่อพวกเขาสักคน ภายนอกฮ่องเต้อาจปฏิบัติกับไป่เริ่นไม่เลว ทั้งมอบจวนพำนักทั้งให้สิ่งของ กระนั้นก็เฝ้ามองควบคุมอย่างเข้มงวดยิ่งยวด หากมิใช่เพราะไป่เริ่นยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่อยู่ใต้การควบคุมของฮ่องเต้จำนวนหนึ่ง เกรงว่าพวกเขาคงกลายเป็นคนตาบอดหูหนวก มิต้องเอ่ยถึงข่าวสารภายนอก ต่อให้ชายแดนทางใต้รบพุ่งกันขึ้นมาพวกเขาก็ไม่มีทางรู้
หากโหรวจยามาที่นี่ ยอมเสียจวิ้นจู่หนึ่งคนก็ทำลายสถานการณ์ชะงักงันนี้ได้ หากไป่เริ่นมีญาติที่เกี่ยวดองกันในเมืองหลวงก็ย่อมใช้สิ่งนี้เป็นสื่อกลางเพื่อตีสนิทกับคนในเมืองหลวงเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมีโหรวจยาช่วยเหลือดูแลอยู่ที่บ้านสามี ไป่เริ่นก็ไม่ถึงขั้นเสียเปรียบเกินไป
ต่งป๋อหรูเป็นที่ปรึกษาที่ท่านตาผู้ล่วงลับของไป่เริ่นมอบให้ ทุกเรื่องยึดไป่เริ่นเป็นสำคัญ จริงอยู่ที่เขาเห็นโหรวจยามาตั้งแต่เล็กจนโต ทว่าหากเป็นการทำเพื่อไป่เริ่น การแต่งงานของโหรวจยาจวิ้นจู่จะเป็นธรรมหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว อีกทั้ง…ถึงไม่เป็นชายารอง ต่งป๋อหรูก็ไม่คิดว่าหลิ่งหนานอ๋องจะหาการแต่งงานที่ดียิ่งกว่าให้แก่โหรวจยาได้ กระนั้นมีสิ่งเดียวที่ต่งป๋อหรูไม่พอใจนั่นคือคนที่โหรวจยาแต่งงานด้วย ต่งป๋อหรูไม่เห็นดีกับองค์รัชทายาทแห่งต้าเซียงนัก
ไป่เริ่นเห็นต่งป๋อหรูไม่เอ่ยคำอยู่นานสองนานก็ยิ่งร้อนใจ เอ่ยอย่างเร่งเร้า “อาจารย์คิดเห็นอย่างไร”
“ซื่อจื่อ…กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้กระทำไม่ง่าย ตามความคิดกระหม่อม…” ต่งป๋อหรูมองสีหน้าของไป่เริ่น เอ่ยอึกๆ อักๆ ต่อว่า “ในเมื่อต้องแต่ง มิสู้ให้จวิ้นจู่แต่งแก่องค์ชายรอง คนผู้นี้แม้มิใช่องค์ชายรัชทายาท ทว่าเป็นโอรสที่แท้จริงของฮ่องเต้ เทียบกับรัชทายาทองค์ปัจจุบันอย่างฉีเซียวแล้วเขามีโอกาสสืบราชบัลลังก์มากกว่า”
ไป่เริ่นขมวดคิ้ว “ไยเรียกว่าโอรสที่แท้จริงของฮ่องเต้ รัชทายาทคนปัจจุบันมิใช่หรือไร”
“กระหม่อมเพิ่งสืบข่าวได้กระจ่างชัดเมื่อไม่นานมานี้…ไม่ใช่อย่างแท้จริง” ต่งป๋อหรูค้อมศีรษะลดเสียงค่อยลงโดยไม่รู้ตัว “นี่เป็นข่าวลับของราชวงศ์ต้าเซียง แท้จริงแล้วองค์รัชทายาทเป็นพระนัดดาของฮ่องเต้”
ไป่เริ่นพูดไม่ออก ต่งป๋อหรูเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง เอ่ยเนิบนาบ “ซื่อจื่อคงรู้เรื่องที่พวกเราร่วมมือกับเมืองหลวงต่อต้านเป่ยตี๋ ในปีนั้นกระมัง”
ไป่เริ่นพยักหน้า ต่งป๋อหรูเอ่ยต่อ “ยามนั้นเป่ยตี๋อ๋องโหดร้ายทารุณ รุกรานชายแดนแคว้นใกล้เคียงหลายครั้ง อู่ตี้กับท่านอ๋องร่วมกันออกศึกปราบเป่ยตี๋ เป็นระยะเวลาสองปีในที่สุดก็ขับไล่ชาวเป่ยตี๋พ้นแม่น้ำคู่เอ่อร์ เป่ยตี๋อ๋องขอเจรจาสงบศึก พวกเราได้รับผลประโยชน์ก็ถอยทัพ ทว่าอู่ตี้กลับไม่แยแสหนังสือยอมแพ้ของเป่ยตี๋อ๋อง ไล่ตีตามไป สงครามนี้สู้กันถึงสามปี…”
“เรื่องนี้ข้ารู้ เล่าลือว่าอู่ตี้ห้าวหาญชำนาญศึก ทั้งยังเป็นผู้ที่แม้เป็นความแค้นเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น ทุ่มเทแรงใจทั้งหมดต้องการกำจัดภัยจากเป่ยตี๋ ใช้เวลาราวห้าปีขับไล่ชาวเป่ยตี๋ออกไปหลายพันหลี่ ภายหลังได้ยินว่าชาวเป่ยตี๋ทั้งหมดสูญสิ้นแล้ว” ไป่เริ่นเม้มปากเล็กน้อย มุ่นคิ้วเอ่ย “เสียดายสวรรค์ไม่ประทานอายุยืนยาวให้อู่ตี้ ในศึกครั้งสุดท้ายทรงถูกธนูยิง หลังจากชนะศึกอย่างยิ่งใหญ่ไม่ทันกลับถึงต้าเซียงก็สวรรคต…หลังจากนั้นพระอนุชาของอู่ตี้สืบราชบัลลังก์…แล้วฉีเซียวมาจากที่ใดอีก”
ต่งป๋อหรูเล่าต่อ “อู่ตี้เพิ่งพ้นวัยสวมหมวก ก็สวรรคต ประกอบกับการปกปิดของขุนนางชำระประวัติศาสตร์ พวกเราต่างคิดว่าอู่ตี้ไร้ทายาท อันที่จริงอู่ตี้กับฮองเฮาทรงมีองค์ชายพระองค์หนึ่ง ไม่เพียงเป็นองค์ชาย…แต่เมื่อประสูติก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ซึ่งก็คือฉีเซียวรัชทายาทองค์ปัจจุบัน
อนึ่งด้วยฉีเซียววาสนาไม่ดี ตอนเขาเกิดอู่ตี้ก็บาดเจ็บแล้ว เพียงแต่ยังฝืนร่างกายได้อยู่ เมื่อได้รับข่าวดีอู่ตี้ก็ร่างราชโองการแต่งตั้งฉีเซียวขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาททันที ราชโองการนี้ได้ราชองครักษ์ของอู่ตี้นำกลับเมืองหลวงด้วยตนเอง ทั้งยังประกาศต่อราชสำนัก เดิมทีเป็นเรื่องตอกตะปูบนแผ่นไม้ แต่เพราะเหตุใดสุดจะรู้ได้…ครึ่งเดือนให้หลังอู่ตี้สวรรคต แลคล้ายเชื้อพระวงศ์ต่างไม่พอใจ กล่าวว่าการบริหารแผ่นดินต้องการกษัตริย์ที่มีพระชันษามาก องค์รัชทายาทยังไม่ครบเดือนไม่อาจรับภาระหนักอย่างแท้จริง นอกจากนี้ฮองเฮาได้ปลิดชีพตนเองฝังร่างร่วมกับอู่ตี้ องค์รัชทายาทยังเป็นทารก ทั้งไม่มีมารดาผู้ให้กำเนิดคุ้มครองดูแล หลังจากโตขึ้นคุณสมบัติจะเป็นอย่างไรยิ่งไม่อาจรู้ คนทั้งหลายจึงเสนอฉีจิ้งพระอนุชาสายรองของอู่ตี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้