เจียงเต๋อชิงเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก หากเป็นผู้อื่นเพียงข่มขู่ไม่กี่ประโยคแล้วตกรางวัลมากหน่อยเพื่อปลอบประโลมเท่านี้ก็ได้มาแล้ว ทว่าบุตรคนโตที่เกิดจากชายาเอกของหลิ่งหนานอ๋องผู้นี้ไหนเลยจะกำราบได้ง่ายดายเพียงนั้น ครั้งนี้ฉีเซียวลงทุนลงแรงอย่างมาก มุ่งมั่นต้องการครอบครองให้จงได้ เจียงเต๋อชิงยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม อดถามขึ้นไม่ได้ “องค์รัชทายาทชมชอบเขาที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ เย็นชาเช่นนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ ต่อให้ได้มาครองแล้วจะสนุกตรงที่ใด อีกทั้งมีหรือจะรู้จักปรนนิบัติคนเหมือนพวกชายบำเรอ”
ฉีเซียวจัดแขนเสื้อ ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เจ้ามองไป่เริ่น…รู้สึกว่าเขาเหมือนใคร”
เจียงเต๋อชิงพลันนิ่งอึ้ง เค้นสมองขบคิดอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออกว่าไป่เริ่นคล้ายผู้ใด ลังเลสงสัยตัดสินใจไม่ได้อยู่นานจึงเอ่ยเลียบเคียง “คล้ายกับคนใดที่พระองค์เคยต้องใจในอดีตหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หากเป็นเช่นนี้ก็ดีไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็คงจัดการไม่ยากไปกว่าไป่เริ่น ชิงตัวคนผู้นั้นมาเลยตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องให้ฉีเซียวเฝ้าคะนึงหาทั้งทิวาราตรีเช่นนี้
ฉีเซียวส่ายหน้าแล้วยิ้มเยาะ “เหมือนข้า”
เจียงเต๋อชิงพลันหลุดหัวเราะ “ที่ใดกัน…เหมือนกับพระองค์ที่ใด…”
“เขาเหมือนข้า…แต่ชะตาดีกว่าข้ามากนัก ยังมีแม่เป็นชายาเอก มีพี่สาวแท้ๆ ข้างกายยังมีคู่หวานชื่นเยาว์วัยเช่นนั้นอีก เหอะ…” ฉีเซียวนึกถึงฉากที่ป่าไผ่คืนนั้นอีกอย่างไม่อาจห้าม มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ อันโหดเหี้ยม “อาศัยแค่สิ่งนี้…ยังไม่อนุญาตให้ข้าย่ำยีเขาสักหน่อยหรือ”
เจียงเต๋อชิงไม่รู้ควรพูดอันใดดี นิสัยเดิมของฉีเซียวเป็นเช่นนี้เขาจึงไม่กล้าพูดมาก แค่ที่พูดว่าทั้งคู่คล้ายกัน เขาเองก็คิดไม่ตกจริงๆ ว่าคล้ายกันตรงไหน แม้พูดว่าหล่อเหลาดุจเดียวกัน ทว่าลักษณะภายนอกล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตน ไม่คล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย
ฉีเซียวดูจะมองความสงสัยของเจียงเต๋อชิงออก จึงคลี่ยิ้มอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัย เหตุใดหลังจากพบหน้าไม่กี่ครั้งมักจะคิดคะนึงถึงเขา ทีแรกข้านึกว่าตนเองหลงใหลในรูปโฉมโนมพรรณ รู้สึกเสมอว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยากสนิทสนมด้วย ภายหลังข้าขบคิดกระจ่าง จึงพบว่ายามข้ามองเขาก็เหมือนมองเห็นตัวข้าในอดีต”
“ช่วงที่ข้าเพิ่งรู้ความ รู้เรื่องของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ เคยมีหลายปีที่แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่อยากพูด ทุกวันล้วนมึนงงวุ่นวาย ประเดี๋ยวอยากเอากริชไปปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ประเดี๋ยวก็อยากใช้กริชเล่มนั้นปลิดชีพตัวเอง…ทั้งยังคิดวางเพลิงใหญ่ เผาวังหลวงทั้งหมดเสีย…” ฉีเซียวพลันคลี่ยิ้ม “แต่ภายหลังรู้สึกยังไม่พอ…ต้องเผาผลาญเมืองหลวงทั้งหมดเลยถึงจะดี…”
เจียงเต๋อชิงนึกถึงอู่ตี้กับหลี่เสียนฮองเฮาขึ้นมา ในใจมิอาจทานทน ขณะคิดจะเอ่ยประนีประนอมสักสองสามประโยคฉีเซียวก็เอ่ยอีก “ภายหลังข้าคิดตก ข้าเพิ่งสิบขวบ ไม่ต้องพูดถึงทั้งเมืองหลวง แม้แต่ตำหนักไห่เยี่ยนของตัวเองก็ยังเผาไม่ได้ นางข้าหลวงผู้ดูแลระเบียบจับตาดูข้าทุกเวลา มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อยพวกนางก็จะไปรายงานต่อฮ่องเต้ ข้ายอมจำนนในชะตาแล้วบอกตนเองว่าต้องอดทนรอเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่คิดจะเผาใครก็เผา…”
ใบหน้าคมคายของฉีเซียวบิดเบี้ยวเล็กๆ ก่อนคืนรูปเดิมในชั่วพริบตา ยังคงมีท่าทางอ่อนโยนเหมือนปกติ เขาระบายยิ้มบาง “ต่อจากนั้นข้าก็ตระหนักได้ในที่สุด ไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีก รู้ว่าตนเองต้องการอันใดกันแน่…แต่ความทรงจำหลายปีก่อนหน้ากลับสลักลึกเกินไป บางครั้งยังคงนึกขึ้นได้ แน่นอนว่าไป่เริ่นกับข้าตอนนั้นไม่เหมือนกัน ยามนั้นข้าเป็นคนเสียสติคนหนึ่ง ที่บอกว่าเหมือนคือเหมือนข้าตอนอายุสิบสองสิบสาม หลังจากข้าตระหนักได้ถึงความจริงอย่างชัดแจ้ง รู้ว่าตนเองต้องไปแก่งแย่งช่วงชิง แต่ลำพังแค่ในใจประจักษ์ชัดไม่มีประโยชน์ เสียทีเป็นรัชทายาท อำนาจในมือสักส่วนหนึ่งก็ไม่มี” ฉีเซียวคิดถึงนัยน์ตาแฝงความไม่ยินยอมคู่นั้นของไป่เริ่นพลันแย้มยิ้ม “ก็เหมือนไป่เริ่นในเวลานี้ เขามีใจคิดแย่งชิง เพียงแต่ยากเข็ญไร้แรงช่วยเหลือ”
เจียงเต๋อชิงเข้าใจได้ในบัดดล เขานิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ย “ดังนั้นองค์รัชทายาทมั่นใจว่าซื่อจื่อจะติดกับ?”
“เขาจะติด” ฉีเซียวพยักหน้าพร้อมยิ้มอ่อนโยน “หากตอนนั้นมีคนบอกข้าว่ามีวิธีคืนชีวิตเสด็จแม่กลับมา ไม่ต้องพูดถึงร่างกายนี้ กระทั่งมอบชีวิตให้เขาก็ใช่จะมีอันใดเสียหาย…ไป่เริ่นจะต้องตอบรับแน่”
โปรดติดตามตอนต่อไป…