everY
ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 6 #นิยายวาย
“อย่างอื่นก็ไม่มีอันใดแล้ว อ้อจริงด้วย ข้ายังได้ยินว่า…เนื่องจากมิได้มีปฏิสัมพันธ์กับทางฝั่งหลิ่งหนานเนิ่นนาน นอกจากคนเหล่านั้นยังต้องคัดเลือกคนหลิ่งหนานอีกสองสามคนคอยติดตามตลอด…ตลอดทาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเหตุผิดพลาด เจ้าก็รู้ เวลาคนทางชายแดนใต้พูดจากันพวกเราคนทางนี้ฟังไม่ออก…” สี่เสียงคล้ายดื่มมากไปจริงจนเรอออกมาทีหนึ่ง ก่อนยิ้มว่า “คนเหล่านั้นก็คัดเลือกจากกลุ่มของพวกเจ้าที่มาครั้งนี้…ฮ่าๆ ข้าเห็นว่าข้ารับใช้ของเจ้าดูไม่เลว เจ้าลองถามเขาว่าคิดถึงบ้านหรือไม่ หากคิดถึงบ้านก็ให้เขาตามกลับไปเสียเถิด…”
เฉินเฉาเกอใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าล้อเล่นอีกแล้ว…”
“เอ้ย! เจ้าไม่เชื่อว่าข้าทำได้ใช่หรือไม่” สี่เสียงพลันสติแจ่มชัดขึ้นมาทันใด เขาถลึงตาตบโต๊ะด้วยร่างโงนเงน ร้องตะโกนขึ้น “ข้าในฐานะเลขาธิการสำนักพระราชวัง เรื่องแค่นี้น่ะหรือจะทำไม่ได้ บอกเจ้าให้…ไม่ต้อง…ไม่ต้องพูดถึงข้ารับใช้ของเจ้า…ต่อให้เป็นเจ้า! ข้าก็ย้ายเจ้าไปอยู่ในรายชื่อผู้ติดตามได้! เรื่องยากสักแค่ไหนเชียว…”
หัวใจของเฉินเฉาเกอยิ่งเต้นรัวเร็ว รีบร้อนประคองสี่เสียงให้นั่งดีๆ แล้วยิ้มประจบพลางเอ่ย “ท่านใต้เท้ากล่าวถูกต้อง กล่าวถูกต้อง…”
“ชิ…” สี่เสียงรินสุราให้ตนเองแล้วดื่มเองอีกถ้วย ก่อนถอนใจเฮือกหนึ่ง “จะว่าไป…เป็นพวกเจ้าก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ยกตัวอย่างข้ารับใช้ของเจ้าคนนั้นแล้วกัน คนทางนี้มีใครเห็นเขาเป็นคนบ้าง ไม่ว่าผู้ใดล้วนออกคำสั่งกับเขา แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์เมื่อครู่ก็ยังไม่เห็นเขาในสายตา ข้าไม่โง่งม หากอยู่ที่หลิ่งหนานของพวกเจ้า เขาทั้งเป็นบ่าวของใต้เท้าเสนาบดี ยังรับใช้ข้างกายเจ้าอีก ในจวนเขาเป็นเพียงบ่าว แต่ออกจากเรือนผู้อื่นล้วนเอาใจเขาราวกับคุณชายทีเดียว! บ่าวของอัครเสนาบดีเท่ากับขุนนางขั้นเจ็ด หลักการเป็นเช่นนี้มิใช่หรือไร
แต่นั่นคือตอนอยู่ที่หลิ่งหนานของพวกเจ้าเท่านั้น มาถึงเมืองหลวง บ่าวของตระกูลเสนาบดีแห่งหลิ่งหนานอันใด ใครจะเคยได้ยิน” สี่เสียงค่อยตระหนักได้ขึ้นมา รู้ว่าตนเองเอ่ยคำเลยเถิดแล้วก็พลันตบปากตนเองเบาๆ “ชะ! ดูปากของข้าสิ…ดื่มมากเข้าหน่อยก็ไม่มีหูรูด คุณชายเฉินอย่าได้ถือสาเป็นอันขาด ใต้เท้าเสนาบดีแห่งหลิ่งหนานเป็นขุนนางที่หาได้ยาก พวกเราเลื่อมใสในชื่อเสียงมาเนิ่นนาน…”
เฉินเฉาเกอฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า คำพูดนี้หยาบกระด้างทว่าไม่ไร้เหตุผล มาเมืองหลวงหนึ่งเดือนแล้วเขายังมีอันใดไม่เข้าใจอีกเล่า เขาเติบโตที่หลิ่งหนานตั้งแต่เล็ก ชาวหลิ่งหนานรู้จักเพียงหลิ่งหนานอ๋องไม่รู้ว่าฮ่องเต้คือใคร เฉินเฉาเกอเป็นคุณชายของท่านเสนาบดี ไปที่ใดล้วนมีคนนับหน้าถือตา กระทั่งหลิ่งหนานอ๋องยังมีวาจาท่าทีเป็นมิตรกับเขา วันปกติทั่วไปแม้ไม่กล้าพูดว่าเรียกลมเรียกฝน แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องมายกยอปอปั้นขันทีเช่นนี้ เฉินเฉาเกอกวาดตามองสี่เสียงที่เมามายมึนงงข้างกายปราดหนึ่ง ในใจยิ่งรู้สึกขยะแขยง
หลังจากเข้าเมืองหลวงมาเฉินเฉาเกอถึงได้เปิดหูเปิดตา เขาที่แต่ก่อนคิดว่าพอมีฐานะอยู่บ้างมาถึงใจกลางเมืองหลวงที่มีขุนนางระดับสูงและคนสูงศักดิ์มากมายถึงได้รู้ว่าแท้จริงเขาไม่ใช่อันใดทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันนี้ยังมีฐานะหนึ่งเพิ่มขึ้นมา…สหายร่วมเรียนของตัวประกัน ผู้อื่นหวาดกลัวหลบเลี่ยงยังแทบไม่ทัน จะมีใครที่ไหนยอมสนใจเขา
หนึ่งเดือนนี้เฉินเฉาเกอนับว่าลิ้มรสทั้งความเย็นชาและอบอุ่นของผู้คนจนอิ่มแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดในใจไป่เริ่นมีเพียงความคั่งแค้น เอาแต่ต้องการไต่เต้าขึ้นสูง ตอนนั้นเขายังเคยปรามไป่เริ่น บนโลกใบนี้มีแต่ชื่อเสียงและผลประโยชน์สองอย่างนี้เท่านั้นที่สกปรกที่สุด ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่น ตอนนี้เฉินเฉาเกอรู้สึกเพียงว่าตอนนั้นตนเองช่างสูงส่งจนน่าขันโดยแท้ เขาพลันฉุกคิดถึงคำพูดที่บิดาเอ่ยกับเขาก่อนออกจากหลิ่งหนานว่า ‘ไปครั้งนี้ยากลำบากหมื่นแสนต้องระมัดระวังทุกอย่าง หลังจากอดทนผ่านไปได้อนาคตจะไร้ข้อจำกัด’
เฉินเฉาเกอนึกถึงปณิธานยิ่งใหญ่ของตนในยามนั้น ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เป็นเพราะมิตรภาพหลายปีกับไป่เริ่นตนเองจึงรับปากไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ตอนนี้คิดดู ช่าง…
สี่เสียงไม่รู้ความรู้สึกของเฉินเฉาเกอในเวลานี้ ตนเองทางหนึ่งกินเนื้อแกล้มสุราทางหนึ่งร้องงึมงำ “คุณชายเฉินไยจึงไม่พูด อ้อ…ข้าเข้าใจแล้ว คุณชายเฉินคิดถึงบ้าน ก็จริง…หลิ่งหนานเป็นที่ที่ดี แม้ข้าไม่เคยไปหลิ่งหนานแต่เคยได้ยินคนพูดถึงทิวทัศน์ของแดนใต้ ที่นั่นดีกว่าเมืองหลวงมากนัก สี่ฤดูดุจวสันต์และไม่คล้ายที่พวกข้านี่…พายุทรายพัดตั้งแต่หัวปียันท้ายปี…คุณชายเฉินอยู่ที่นี่สักสองสามปีก็จะรู้ ถึงตอนนั้นใบหน้าเล็กขาวสะอาดของท่านนี้…ก็จะเหมือนกับของข้า เหมือนเป็น…”
สี่เสียงเมามาย สองตาไร้แวว พึมพำขึ้น “หากข้าเป็นเจ้า…ข้ากลับไปนานแล้ว คน…คนอื่นเป็นสหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาท…วันข้างหน้ามีอนาคตล้ำเลิศ เจ้า…เจ้าเล่า อนาคตไม่แน่…ไม่แน่…ก็จะตาย…ตามกันไป”
สี่เสียงพ่ายแพ้แก่ฤทธิ์สุรา ซบศีรษะกับแขนนอนหลับไป
เฉินเฉาเกอเบือนหน้าไปมองสี่เสียงด้วยสีหน้าซับซ้อน ในใจลังเลสุดแสน เพียงแต่สี่เสียงเมามายมากแล้วถึงอยากพูดคุยก็คุยไม่ได้แล้ว เฉินเฉาเกอลุกขึ้นเปิดประตูห้องรับรองให้ขันทีน้อยสองคนที่ติดตามสี่เสียงเข้ามา เอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าสี่ดื่มมากไป นอนหลับเสียแล้ว”
ขันทีน้อยผู้หนึ่งพยักหน้า “ไม่เป็นอันใด เพียงแต่กลับวังหลวงเช่นนี้ไม่ได้ ประเดี๋ยวพวกข้าจะส่งท่านเลขาธิการสี่ไปที่คฤหาสน์ทางเขตตะวันตกของเมือง”
เฉินเฉาเกอพยักหน้ามองดูขันทีน้อยสองคนแบกสี่เสียง เขาหลับตาลงกัดฟันและเข้าไปขวางหน้าไว้ ก่อนหยิบถุงเหอเปา ออกมาจากอก ในมือคล้ายมีน้ำหนักพันชั่ง เขาส่งถุงเหอเปาให้ขันทีน้อยผู้นั้นอย่างช้าๆ พลางเอ่ยเสียงเบา “รบกวนใต้เท้าน้อย เมื่อใต้เท้าสี่ตื่นขึ้นมอบถุงเหอเปานี้กับเขาด้วย บอกว่าข้า…ยังมีเรื่องหนึ่งต้องรบกวนใต้เท้ากลัดกลุ้มใจ”
ขันทีน้อยผู้นั้นรีบร้อนรับคำแล้วรับมา ก่อนประคองสี่เสียงลงบันไดไป
ครึ่งชั่วยาม ให้หลังสี่เสียงและพวกก็มาถึงเรือนคั่นสอง แห่งหนึ่ง ขันทีน้อยเลิกม่านเกี้ยวขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา “ท่านเลขาธิการสี่ พวกเรามาถึงแล้ว”
สี่เสียงก้าวออกมาจากเกี้ยว บนใบหน้าไร้ซึ่งความเมามายแม้เพียงครึ่ง เขาเร่งร้อนเข้าประตูเรือนไปมุ่งตรงไปที่โถงหลัก เจียงเต๋อชิงที่อยู่ด้านในกำลังพินิจพิจารณาชาอย่างเรื่อยเฉื่อย ครั้นเห็นสี่เสียงเข้ามาก็พลันคลี่ยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง”
สี่เสียงรีบร้อนเดินเข้าไปใกล้แล้วแสดงคารวะ จากนั้นก็ชงชาให้เจียงเต๋อชิงพลางเอ่ยเสียงค่อย “อาจารย์วางใจ ทุกอย่างล้วนจัดการเรียบร้อย”
โปรดติดตามตอนต่อไป…