everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 108-109 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 108
กินทีละน้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งเสวียนออกไปข้างนอกแต่เช้า
หลายเดือนที่อยู่ในเมืองซื่อฟางนั้นเขาไม่ค่อยได้ทำอาหารเท่าใดนัก ส่วนมากจะไปขอกินที่หอฮวาซย่าโดยไม่ต้องเสียเงิน บัดนี้จีอวิ๋นซีมา ทว่าในบ้านกลับไม่เหลือข้าวสารสักเม็ดหรือผักสักต้น ซ้ำยังมีจู้หยางเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง คงไม่ดีหากต้องให้สองปากท้องทนหิว เขาจึงต้องออกไปหาซื้ออาหารกลับมา
โชคดีที่เมืองซื่อฟางนั้นสามารถหาร้านขายอาหารเช้าได้ทั่วทุกหนแห่ง ซ่งเสวียนเดินไปยังโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งหนึ่งซึ่งคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี เขาสั่งขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวร้อนควันฉุยเพิ่งออกจากเตามาหกตำลึงกับชากุ้ยฮวาอีกหนึ่งกา ของว่างต่างๆ รวมทั้งผลไม้แห้งอีกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหน้าร้านมีคนเร่ขายฝูหลิงซวง* ก็ซื้อมาด้วยห่อหนึ่ง
หลงจู๊ที่ดูแลร้านขายอาหารเช้านั้นรู้จักซ่งเสวียน เห็นว่าคราวนี้อีกฝ่ายสั่งอาหารไปมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังจับจ่ายใช้เงินซื้อของกับเขาไปหลายเหรียญทองแดงจึงยิ้มพลางถามว่า “อาจารย์ซ่งมีแขกมาที่บ้านหรือ”
ซ่งเสวียนพยักหน้า ยิ้มพลางเอ่ย “ใช่แล้ว มีสหายมาหาข้าน่ะ”
หลงจู๊ฟังแล้วก็เอาสุราไหเล็กออกมาจากตู้ด้านล่างไหหนึ่ง “ในเมื่ออาจารย์ซ่งมีแขก สุราไหนี้ข้ามอบให้อาจารย์ก็แล้วกัน”
ซ่งเสวียนสัญจรอยู่ตามตรอกต่างๆ เรื่อยมา เขารู้ว่าหลงจู๊ผู้นี้ชื่นชอบการดื่มสุราเป็นที่สุด ทว่ากลับถูกภรรยาควบคุมเอาไว้ไม่อนุญาตให้ดื่ม สุราแสนรักที่แอบเก็บเอาไว้เช่นนี้ ไหนเลยจะรับไว้ได้โดยไม่เกรงใจ เขาจึงได้แต่ยิ้มแล้วปฏิเสธ “กว่าท่านจะเก็บของดีเช่นนี้เอาไว้ได้นั้นไม่ง่ายเลย ท่านเก็บเอาไว้เองดีกว่า ไม่ลงแรงไม่รับรางวัล ข้ารับเอาไว้เกรงว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษเอา”
หลงจู๊ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งแทนคำขอบคุณท่านน่ะ”
ซ่งเสวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย “คำกล่าวนี้มีที่มาจากเหตุใด”
หลงจู๊หันซ้ายหันขวา ก่อนจะลดเสียงเอ่ย “ท่านอย่าได้เสแสร้งอีกเลย เช้านี้ท่านสามฟู่ให้คนมาส่งข่าวแล้ว คุณชายที่มาจากเซิ่งจิงนั่นจากไปกลางดึก แม้แต่ทางจวนว่าการก็ยังรู้ข่าวภายหลัง ท่านสามบอกว่าครานี้อาจารย์เป็นผู้ลงมือปราบปราม ขอให้พวกเราจดจำเอาไว้ในใจสักหน่อย นี่ก็เพราะข้าได้ข่าวมาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเราก็คงไม่กล้าเปิดร้านหรอก”
ท่านสามฟู่ยึดถือธรรมเนียมยุทธภพเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจอวดโอ่ตนเพื่อครองความดีความชอบ น้ำใจของผู้ใดก็ล้วนต้องกล่าวให้กระจ่าง เถ้าแก่ร้านต่างๆ ในเมืองซื่อฟางส่วนมากก็อาศัยบารมีคนในแปดสำนัก จึงมีกลิ่นอายของชาวยุทธภพอยู่ด้วย ผู้ใดมีบุญคุณผู้ใดมีความแค้นในใจล้วนจดบัญชีเอาไว้ จดจำกันให้ขึ้นใจ
บัดนี้ซ่งเสวียนคลี่คลายความยากลำบากนี้ ไม่ว่าเขาจะลงมือด้วยเหตุใด ในใจก็ล้วนต้องจารจำบุญคุณเอาไว้ ย่อมพบเห็นเขาแล้วรู้สึกสนิทชิดเชื้อกว่ายามปกติอยู่หลายส่วน
ซ่งเสวียนไม่อาจปฏิเสธจึงรับสุรามาพร้อมกับขอบคุณหลงจู๊ผู้นั้น ทว่าเมื่อออกมาคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น
หนานหรงจวินจากไปกลางดึกเสียได้ นี่คือสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง
หรือว่าหนานหรงจวินจะรู้ข่าวที่จีอวิ๋นซีมาถึงเมืองซื่อฟางแล้ว เพราะกลัวว่าตนจะถูกเปิดโปงจึงรีบหนีไป
ทว่าคนผู้นี้มีสถานะอย่างไร มาเมืองซื่อฟางด้วยจุดประสงค์ใด มีจุดแปลกประหลาดอันใดกันแน่นั้นก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยากจะคลี่คลาย
ซ่งเสวียนมีเรื่องยุ่งยากอยู่ในใจ ฝีเท้าจึงหนักอึ้งอย่างยากจะเลี่ยง เขาเดินลากเท้าอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับมาถึงเรือนของตน เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นเงาร่างสีขาวนั่งอยู่ในลานเรือน ร่างนั้นโปร่งบางผ่ายผอม ดูเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก
ซ่งเสวียนจับจ้องไปที่ร่างนั้น มิใช่จีอวิ๋นซีแล้วจะเป็นผู้ใด
จีอวิ๋นซีสวมเพียงเสื้อตัวกลาง เรือนผมค่อนข้างยุ่งเหยิง เขานั่งอยู่ในลานเรือน ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ซ่งเสวียนรีบวางอาหารเช้าในมือเอาไว้ทางหนึ่ง ก่อนถามขึ้น “เหตุใดจึงออกมานั่งอยู่เช่นนี้”
จีอวิ๋นซีราวกับเพิ่งสะดุ้งตื่น “…เจ้าไปที่ใดมา”
ซ่งเสวียนชี้ของบนโต๊ะ “ข้าไปซื้ออาหารเช้ามาให้พวกเจ้า”
สีหน้าเย็นเยียบของจีอวิ๋นซีค่อยคลายลง ก่อนเผยความมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลือนราง คล้ายน้ำนิ่งสนิทในบ่อเก่าร้างกลับมามีชีวิตขึ้นในชั่วขณะที่มองเห็นเขา
“ข้าคิดว่าเจ้าไปแล้ว” เขาว่า
ซ่งเสวียนมองเห็นท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา ในใจรู้สึกสับสนปนเป เขาใช้มือข้างหนึ่งดึงจีอวิ๋นซีกลับเข้าห้อง หยิบเสื้อตัวนอกมาคลุมให้อย่างลวกๆ แล้วก็จับอีกฝ่ายนั่งลงเพื่อสางผมให้ “ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าจะไปที่ใดได้”
จีอวิ๋นซีเงียบงัน ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก บนใบหน้าแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ กลับยิ่งน่าเอ็นดู ซ้ำยังอบอุ่นจนชวนตะลึง
ซ่งเสวียนเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมจากบนโต๊ะมาส่งๆ เพื่อใช้ยึดมวยผมให้จีอวิ๋นซี แต่กลับพบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายวางเอาไว้บนโต๊ะเมื่อคืนยังคงเป็นปิ่นไม้ท้อที่ตัวเขาเองทิ้งเอาไว้ตั้งแต่หกปีก่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าของมันใช้สิ่งนี้เป็นประจำ
ซ่งเสวียนพูดเสียงเบาว่า “ให้เจ้าไว้เป็นที่ระลึก เพียงวางเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง มิได้ให้เจ้านำมาใช้ประจำเสียหน่อย”
จีอวิ๋นซีหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “ก็ข้าชอบยิ่งนัก”
เส้นผมนุ่มลื่นแทรกผ่านตามช่องระหว่างนิ้วของเขา หูของซ่งเสวียนพลอยร้อนผ่าวไปด้วย ราวกับประโยคบอกชอบนั้นมีความหมายลึกซึ้งอื่นใด ทำเอาสมองของเขาเกิดความคิดเหลวไหลมากมาย
ครานี้จีอวิ๋นซีเพียงหยุดอยู่แต่พอดี มิได้หยอกเย้าต่อ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น
ซ่งเสวียนรวบผมจนแน่นดีแล้วก็ไปจัดแจงตั้งโต๊ะอาหารเช้า
เดิมเขาคิดว่าจะเรียกจู้หยางมากินข้าวด้วยกัน แต่คิดไม่ถึงว่าจู้หยางจะแค่มาหยิบขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวก้อนหนึ่งแล้วมุดหายไปที่ใดก็ไม่รู้ ราวกับกลัวว่าจะต้องร่วมโต๊ะกับพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งเสวียนไม่มีทางเลือก ได้แต่รินน้ำชาพลางเอ่ย “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าชอบน้ำชาของร้านนี้ ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ หลายปีมานี้รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติที่ถูกปากเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่…”
ไม่รู้ว่าเพราะเติบโตมาที่เมืองเหิงหยางหรืออย่างไร รสชาติที่ถูกปากจีอวิ๋นซีนั้นจึงค่อนข้างหวาน แม้จะไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก ทว่าซ่งเสวียนก็ยังพอจะรับรู้ได้อยู่บ้าง
เป็นดังคาด จีอวิ๋นซีชิมขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวคำหนึ่งไป หว่างคิ้วก็คลายออกเล็กน้อย หางตาเองก็โค้งขึ้นน้อยๆ เช่นกัน
ซ่งเสวียนกินๆ หยุดๆ อยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าเบิกบานน้อยๆ ของจีอวิ๋นซีแล้วจิตใจก็เบิกบานสดใสตามไปด้วยหลายส่วน
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาเห็นว่าที่มุมปากของจีอวิ๋นซีมีเศษผงจากขนมแป้งนึ่งติดอยู่จึงยื่นมือไปเช็ดให้ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อยื่นไปถึงปากแล้วอีกฝ่ายจะสะดุ้งตกใจ
คล้ายว่ากิริยาของเขาไม่เหมาะสม
ซ่งเสวียนคิดจะดึงมือกลับ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าปลายนิ้วเปียกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ปลายลิ้นสีแดงสดของจีอวิ๋นซีไล้ผ่านปลายนิ้วของเขา สีหน้านั้นฉายแววได้ใจขึ้นมารางๆ
สีเลือดบนใบหน้าของซ่งเสวียนลามไล่จากใบหูไปจนทั่วใบหน้า เขารีบดึงมือกลับ “ข้า…มุมปากเจ้ามีอะไรติดอยู่น่ะ”
“หืม?” รอยยิ้มของจีอวิ๋นซียิ่งชัดเจนขึ้นอีก “ถ้อยคำนี้คล้ายมีผู้ใดเคยใช้แล้ว”
ซ่งเสวียนตะลึงงัน เมื่อวานบนรถม้าก็คล้ายมีฉากเช่นนี้ เพียงสลับบทบาทกันเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คล้ายกับว่าเขาจงใจหยอกเย้า ใบหน้าจึงยิ่งเห่อร้อนขึ้นไปอีก
ซ้ำจีอวิ๋นซีก็ยังจะพูดจาเหลวไหลอีก “พี่ชายกับข้าเป็นคนใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าใกล้ชิด อยากจับตรงที่ใดแตะที่ใดก็ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างหรอก เพียงพูดตรงๆ เป็นใช้ได้ ข้า…”
ซ่งเสวียนเขินอายจนแทบทนไม่ไหว เขาเอาขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวในมือมายัดใส่ปากจีอวิ๋นซี “พูดจาเหลวไหล…เจ้ากินของเจ้าไป ไยพูดมากเพียงนี้”
จีอวิ๋นซีอยากบอกว่าขนมแป้งนึ่งชิ้นนี้เจ้ากัดมาแล้ว
แต่ดูจากใบหูแดงซ่านของซ่งเสวียนกับสายตาที่แสร้งทำเป็นจริงจังแต่กลับหลุบมองต่ำนั้นแล้ว เขาก็หยุดปาก
ได้คืบจะเอาศอกคือความละโมบ
ในหนังสือก็มีกล่าวเอาไว้ไม่ใช่หรือ เดินห้าคืบ ถอยสองคืบ ถึงอย่างไรก็ได้เดินหน้าสามคืบ สิ่งนี้เรียกว่ากินไปทีละน้อย
เขาใช้เวลาหกปีในการช่วงชิงกรงขังที่ใหญ่ที่สุดมาได้ บัดนี้เพียงรอเชิญตัวการเข้ากับดัก ย่อมไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำให้ได้ในตอนนี้
เขาพูดเอาไว้นานแล้วว่าสำหรับซ่งเสวียน เขามีความอดทนมากเพียงพอ
ใช้โลกหล้าเป็นกรงขัง กักตัวซ่งเสวียนเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
จีอวิ๋นซีกลืนขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวลงท้อง แม้แต่เศษแป้งที่ปลายนิ้วก็กวาดเข้าปากไปด้วย สายตาที่เขาใช้มองซ่งเสวียนยิ่งดูลึกซึ้งขึ้น
ทว่าใบหน้าภายนอกนั้นกลับยังคงรอยยิ้มอบอุ่นดุจธารน้ำยามวสันต์
* ฝูหลิงซวง คือฝูหลิงบดเป็นผง โดยฝูหลิงหรือโป่งรากสนนั้นคือพืชหัวชนิดหนึ่ง หน้าตาคล้ายพวกหัวมันหัวเผือก การทำฝูหลิงซวงคือนำเนื้อด้านในของฝูหลิงซึ่งเป็นสีขาวมาต้ม ตากจนแห้ง และบดให้ละเอียด สามารถรับประทานโดยนำมาละลายในนมกับน้ำผึ้งก็ได้หรือแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย มีสรรพคุณช่วยขับน้ำ ขับความชื้น ช่วยเรื่องการนอนหลับ ลดภาวะอ่อนเพลีย ทั้งยังบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย
Comments
