ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 108-109 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 108-109 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 109

แคว้นหนานถู

เมื่ออาหารเช้าผ่านพ้นไปแล้ว ซ่งเสวียนก็ให้จีอวิ๋นซีเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองแล้วพาไปยังจวนว่าการ

เจ้าเมืองยังคงเป็นคนเดิมกับเมื่อหกปีก่อน คาดว่าแม้อยู่เมืองซื่อฟางจะมีอำนาจจำกัด ทว่าก็ยังคงเป็นอาณาเขตอันร่ำรวยสุขสบายอยู่ ขุนนางท้องถิ่นคงไม่ขอย้ายสังกัดกันโดยง่าย

เมื่อหกปีก่อนเจ้าเมืองเคยพบกับจีอวิ๋นซีแล้วคราหนึ่ง บัดนี้ย่อมจดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น เขาตกใจจนดวงตาแทบถลน ยิ่งได้ยินว่ามาเพราะเรื่องของหนานหรงจวินด้วยแล้วเขาก็ยิ่งใจคอไม่ดี ตัวสั่นงันงก กลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดใดขึ้นแล้วเป็นการไปล่วงเกินองค์ชายสามองค์นี้เข้า

“เช่นนี้ก็เท่ากับว่าหนานหรงจวินผู้นั้นไม่มีหลักฐานอันใดมาพิสูจน์ตัวตนของตนเองเลยน่ะสิ” ซ่งเสวียนฟังคำอธิบายของเจ้าเมืองแล้วก็อดย่นคิ้วไม่ได้ “เช่นนั้นเหตุใดใต้เท้าจึงเชื่อว่าเขาคือคนสนิทขององค์ชายสามเล่า”

“เรื่องนี้…” เจ้าเมืองถูกถามจนสมองงงงันไปชั่วขณะ ได้เพียงเอ่ยอย่างทื่อๆ ว่า “เรื่องนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ เขาพูดจริงๆ ว่าเป็นคนสนิทขององค์ชายสามและยังเป็นคนเคียงหมอนขององค์ชายสาม…”

จีอวิ๋นซีจ้องมองนิ้วมือตนเอง ทันใดนั้นก็เอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าจำไม่ได้ว่าคนเคียงหมอนข้ามีคนเช่นนี้อยู่”

บรรยากาศรอบตัวเขากดดันหนักหน่วง สีหน้าเย็นเยียบ ชวนให้เจ้าเมืองสั่นสะท้านขึ้นมา

ซ่งเสวียนเห็นว่าเรื่องราวเริ่มแปลกพิกลจึงบอกให้จีอวิ๋นซีออกไปอย่างอ้อมๆ “องค์ชายมิสู้ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่ หากประทับอยู่ที่นี่ใต้เท้าจะพานนึกเรื่องราวไม่ออก”

ยามอยู่ต่อหน้าคนนอกซ่งเสวียนทำตัวเคารพจีอวิ๋นซี แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังทำเอาเจ้าเมืองถึงกับถลึงตาโต

ยิ่งเห็นจีอวิ๋นซียอมออกไปแต่โดยดี เจ้าเมืองก็ยิ่งเปลี่ยนจากสีหน้าตกตะลึงมาเป็นไม่อยากเชื่อ “อาจารย์ซ่ง…นี่…”

ซ่งเสวียนไหนเลยจะมีเวลามาพูดจาเหลวไหลกับเจ้าเมือง เขาเพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใต้เท้ายื่นมือออกมาเถิด ข้าจะดูลายมือให้ใต้เท้าสักหน่อย”

เจ้าเมืองยิ่งมีท่าทีคล้ายพระพุทธรูปหนึ่งจั้งสองฉื่อลูบเศียรไม่ถึง* “เวลานี้ยังจะดูลายมืออันใดอีก…”

ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของซ่งเสวียนแล้วเขาก็ไม่อาจปฏิเสธ ได้แต่ยื่นมือออกไปโดยดี

ซ่งเสวียนใช้มือข้างหนึ่งจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วพูดว่า “ใต้เท้าลองพูดถึงตอนที่พบหน้าหนานหรงจวินอีกครั้งหนึ่งเถิด”

เจ้าเมืองเอ่ยปากงึมงำ แล้วก็เริ่มพูดสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง

กระทั่งเขาพูดจบ ซ่งเสวียนจึงปล่อยมือแล้วเอ่ยเบาๆ “ใต้เท้ามิได้โป้ปด”

เจ้าเมืองผู้นั้นเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ได้ยินดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก “อาจารย์ซ่งเข้าใจคน ขุนนางผู้น้อย ขุนนางผู้น้อยก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ขออาจารย์ช่วยอธิบายแทนผู้น้อยต่อหน้าองค์ชายสามด้วย…”

เขาถูกทำให้ตกใจกลัว ยามอยู่ต่อหน้าซ่งเสวียนนั้นแม้แต่คำว่า ‘ขุนนางผู้น้อย’ ก็ถูกนำมาใช้แล้ว

ซ่งเสวียนหัวเราะ “ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องกังวล ผิดถูกคดตรงองค์ชายสามย่อมไตร่ตรองอย่างกระจ่าง”

เจ้าเมืองค่อยผ่อนลมหายใจโล่งอก

ซ่งเสวียนกำชับอีกว่า “เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไรก็ขอใต้เท้าเก็บเอาไว้กับตัว กับภายนอกนั้นกล่าวเพียงว่าหนานหรงจวินผู้นั้นเป็นนักต้มตุ๋นผู้โอหังบังอาจก็พอ”

เจ้าเมืองรีบพยักหน้าหงึกหงักเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าว ถ้อยคำนี้หากไปอยู่ที่อื่นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เมื่อมาอยู่ในเมืองซื่อฟางแล้วกลับเป็นเหตุเป็นผล อย่างมากก็ทำให้พวกนักเล่านิทานเหล่านั้นได้มีเรื่องเกี่ยวกับการต้มตุ๋นอันโอหังบังอาจของยอดฝีมือเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง

ซ่งเสวียนเดินออกมาจากห้องก็เห็นจีอวิ๋นซีพิงกรอบประตูอยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็พลันเอ่ยหยอกเย้า “อะไรกัน อาจารย์กับท่านเจ้าเมืองยังมีเรื่องใดที่ไม่อาจบอกกล่าวแก่ผู้อื่นหรือ ถึงกับไม่อยากให้ข้าเห็นเชียว”

ซ่งเสวียนเคาะศีรษะจีอวิ๋นซีเบาๆ “ยิ่งโตก็ยิ่งปากเปราะจริงเชียว ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนกล้าพูดจาเหลวไหลออกมาได้” ว่าแล้วเขาก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “เอาไว้ขึ้นรถม้าแล้วข้าจะพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”

 

หนานหรงจวินผู้นี้มีจุดประหลาดพิกลอยู่จริงๆ เพียงแต่ความประหลาดนี้ต่างจากของซ่งเสวียน

ซ่งเสวียนเพียงอ่านความทรงจำได้ ทว่าหนานหรงจวินผู้นี้คล้ายแทรกความคิดส่วนหนึ่งเข้าไปในสมองของผู้อื่นได้ และทำให้คนผู้นั้นเชื่อในความคิดนี้อย่างไม่มีข้อสงสัย

ซ่งเสวียนเคยเห็นตอนที่หนานหรงจวินมาเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองแล้ว เพียงพูดจาทักทายไม่กี่ประโยค ครั้นมองสบตากับคู่สนทนาด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนพึมพำอะไรเบาๆ อีกสองสามประโยค

ความทรงจำของเจ้าเมืองก็คล้ายจะพร่าเลือนไปชั่วขณะ หลังจากนั้นหนานหรงจวินผู้นั้นก็ยังคงพูดคุยยิ้มแย้ม แต่ระหว่างที่พูดคุยนั้นเจ้าเมืองเองก็ปฏิบัติต่อหนานหรงจวินอย่างคนสนิทเคียงกายจีอวิ๋นซีไปเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาไม่ว่าหนานหรงจวินจะวางอำนาจโอหังเพียงใด เจ้าเมืองก็ล้วนมิได้นึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย

รอจนหนานหรงจวินผู้นี้จากไปแล้ว ซ่งเสวียนจึงได้สอบถามเจ้าเมืองถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างละเอียด เขาก็คล้ายจะรู้สึกได้อย่างเลือนรางเช่นกันว่าความคิดนี้เป็นดั่งสายธารที่ไร้ตาน้ำ ไม่มีที่มาที่ไป

ทว่าตอนที่หนานหรงจวินผู้นี้ยังอยู่ เขาก็คล้ายไม่เคยคิดเลยว่าความคิดเหล่านี้มาจากที่ใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด

มิน่าเล่าหนานหรงจวินจึงได้เอาแต่พูดว่าซ่งเสวียนเป็นคนจำพวกเดียวกับตน

นี่คือครั้งแรกที่ซ่งเสวียนพบว่ามีคนที่คล้ายคลึงกับตนอยู่บนโลก ทว่าอีกฝ่ายกลับมีที่มาลึกลับ ทั้งยังเป้าหมายไม่ชัดเจน เขาจึงดีใจไม่ออกจริงๆ

จีอวิ๋นซีเห็นซ่งเสวียนเหม่อลอยไปไกลก็อดทนเป็นอย่างดี ไม่เพียงไม่ส่งเสียงรบกวน กลับยังรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเอง

ซ่งเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พูดเรื่องหนานหรงจวิน แต่กลับล้วงเอามีดสั้นในอกเสื้อออกมาส่งให้ถึงมือจีอวิ๋นซี “เจ้าให้คนไปสืบดูก่อนเถิด ว่าของสิ่งนี้มีที่มาหรือไม่”

จีอวิ๋นซีรับมีดสั้นเล่มนั้นไป พินิจดูอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง แววตาก็บังเกิดความประหลาดใจขึ้น “มีดสั้นเล่มนี้เจ้าเอามาจากที่ใด”

ซ่งเสวียนตอบไปตามความจริง “ข้าเอามาจากหนานหรงจวิน ตอนนั้นเพียงหยิบบางอย่างจากในห้องของเขามาป้องกันตัว ไม่คิดว่าตอนออกมาจะเอามันมาด้วย”

จีอวิ๋นซีดึงมีดสั้นออกมาจากฝักครึ่งหนึ่ง มีดนั้นวาววับเป็นประกายราวกับหิมะ ลวดลายบนฝักมีดบิดเบี้ยวแปลกประหลาด เป็นลวดลายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในต้าเหยา

“ไม่ต้องสืบแล้ว ข้ารู้” จีอวิ๋นซีมีสีหน้าสงบนิ่ง “นี่คือลวดลายของแคว้นหนานถู ซ้ำยังเป็นลวดลายเฉพาะของนักบวชแคว้นหนานถูอีกด้วย” เขาจับจ้องลวดลายนั้นแล้วเอ่ยว่า “หากนี่คือของของหนานหรงจวินจริง เช่นนั้นเขาก็คือนักบวชใหญ่แห่งแคว้นหนานถู”

ซ่งเสวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย

แคว้นหนานถูมีเขตแดนติดกับต้าเหยา แม้จะยอมสยบให้ต้าเหยาเป็นการชั่วคราว ทว่าทุกๆ สองสามปีก็มักจะเกิดการปะทะกันที่หนานเจียงขึ้น

แคว้นหนานถูได้รับการเรียกขานเป็นแคว้นได้ไม่นาน อารยธรรมส่วนใหญ่ล้าหลังกว่าต้าเหยาเล็กน้อย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแคว้น แต่ก็ยังคงรักษาขนบดั้งเดิมของชาวเผ่านอกด่านเอาไว้ไม่น้อย ซ้ำการปกครองและระบอบต่างๆ นั้นก็แตกต่างจากต้าเหยาโดยสิ้นเชิง

อย่างนักบวชทั้งสิบสองคนของพวกเขา

แคว้นหนานถูมีนักบวชสิบสองคน ซึ่งแต่ละคนรับผิดชอบดูแลเรื่องต่างๆ ของแคว้น หากว่ากันตามจริงก็ไม่แตกต่างจากขุนนางใหญ่ในสภาขุนนางของต้าเหยา แต่ทั้งหมดนั้นได้รับคำบัญชาจากเทพให้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นนักบวชใหญ่

ฮ่องเต้ของแคว้นหนานถูมิได้สืบสันตติวงศ์โดยสายเลือด ทว่าได้รับการสืบทอดจากคำทำนายของนักบวชใหญ่ พวกเขาจะถูกคัดเลือกมาจากบุรุษวัยผู้ใหญ่ทั่วแคว้น สิบสองนักบวชดูแลเรื่องการปกครองภายในแคว้น ส่วนฮ่องเต้นั้นจะเป็นผู้องอาจเชี่ยวชาญการศึกเสียมากกว่า

นักบวชใหญ่มีตัวตนลึกลับและสูงส่งที่สุด เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งเทพของแคว้นหนานถู ปรากฏตัวราวกับเทพหายตัวราวกับผี มิอาจพบเห็นได้โดยง่าย

นอกจากนี้การคัดเลือกนักบวชใหญ่…ก็นับเป็นความลับหนึ่งของแคว้นหนานถูเรื่อยมา

ราษฎรของแคว้นหนานถูมักจะเรียกขานนักบวชใหญ่ของตนว่าเป็นเทพสวรรค์กลับชาติมาเกิด แต่การกล่าวเช่นนี้มักถูกชาวต้าเหยาแค่นจมูกดูแคลนด้วยคิดว่าฮ่องเต้ของตนต่างหากคือโอรสสวรรค์ที่ถูกลิขิตมาอย่างแท้จริง

หลักการนั้นง่ายดายนัก คำกล่าวของราษฎรต้าเหยามีแนวคิดว่าฮ่องเต้ได้รับอำนาจมาจากสวรรค์…แล้วเหตุใดเทพสวรรค์ที่ลงมายังโลกมนุษย์เช่นพวกเจ้ายังต้องยอมสยบเป็นข้ารับใช้ต่อฮ่องเต้ของพวกเราเช่นนี้เล่า หากพิจารณาจากทั้งหมดนี้แล้วความคิดเช่นนี้ย่อมไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน

หลายปีมานี้ซ่งเสวียนร่อนเร่พเนจรไปทั่ว พื้นที่บริเวณเขตแดนแคว้นหนานถูเขาก็เคยไป ได้ยินคำเล่าลือเรื่องที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อย โดยเฉพาะหลายปีมานี้สถานการณ์ที่หนานเจียงคับขันขึ้นทุกขณะ เมืองซื่อฟางก็มีหนังสือเกี่ยวกับแคว้นหนานถูเพิ่มขึ้นมามาก เขาจึงยิ่งรู้มากขึ้น

จีอวิ๋นซียังคงพินิจมีดสั้นเล่มนั้นอย่างถี่ถ้วน ตัวเขาเชี่ยวชาญการใช้มีดสั้นจึงสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่ง “ฝีมือการทำมีดสั้นเช่นนี้มีเพียงช่างที่ทำเครื่องเซ่นบูชาเทพโดยเฉพาะของแคว้นหนานถูเท่านั้นที่จะหลอมตีออกมาได้ และมีเพียงเหล่านักบวชเท่านั้นที่ใช้ เครื่องบูชาแต่ละอย่างจะใช้ลวดลายแตกต่างกัน นอกจากนั้นลวดลายนี้ก็มีแต่นักบวชใหญ่เท่านั้นที่จะใช้ได้…” จีอวิ๋นซีว่า แต่ก็คิดอีกแล้วพูดออกมาอีกว่า “แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่โจร แต่การจะขโมยของติดตัวของนักบวชใหญ่แห่งแคว้นหนานถูได้ก็นับว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง”

“ไม่หรอก” ซ่งเสวียนพลันเอ่ยปาก ดวงตาเขาฉายแววเข้มขึ้น “เขาคือนักบวชใหญ่แห่งแคว้นหนานถูนั่นล่ะ”

เขามีความรู้สึกเช่นนี้

* พระพุทธรูปหนึ่งจั้งสองฉื่อลูบเศียรไม่ถึง เป็นสำนวน กล่าวถึงพระพุทธรูปขนาดสูงใหญ่มาก ไม่มีทางที่คนจะลูบจับเศียรพระได้ ใช้อุปมาว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น จับต้นชนปลายไม่ถูก

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com