everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 114-115 #นิยายวาย
บทที่ 115
คำมั่นสัญญา
ซ่งเสวียนนึกถึงบัญชีติดค้างอันพร่าเลือนเหล่านั้นของเสี่ยงหรงมาตลอดทาง รีบร้อนรุดไปยังหอฮวาซย่า
ขณะนี้เสี่ยงหรงนั่งอยู่ใต้แสงเทียนแต่เพียงลำพัง นางกำลังเดินหมากรุกทหาร** กับตนเอง
เสี่ยงหรงรู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว พิณหมากภาพอักษรไม่มีสิ่งใดที่นางทำได้คล่องแคล่ว แต่กลับเดินหมากรุกทหารได้เก่งกาจนัก ไม่ต้องคิดซ่งเสวียนก็รู้ว่านางร่ำเรียนมาจากผู้ใด
ตอนที่ซ่งเสวียนมามีร่องรอยบ่งบอกว่าฝนเพิ่งตกไป บัดนี้เมื่อผลักประตูเปิด กลิ่นดินชื้นๆ ที่ปะปนอยู่ในอากาศก็พัดตามเขาเข้ามาในเรือนด้วย
เสี่ยงหรงเห็นเขาก็นิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเล่า”
ซ่งเสวียนมาอย่างรีบร้อน ย่อมไม่มีคำพูดเกินจำเป็นให้มากความ “เจ้ารู้หรือไม่ว่านายเก่าของเจ้าผู้นั้นเป็นอย่างไรอยู่ที่ใด”
ทันทีที่เสี่ยงหรงได้ยินเช่นนั้นหมากซึ่งถูกหนีบอยู่ในมือก็ร่วงลง นางจ้องซ่งเสวียนเขม็ง หว่างคิ้วแฝงด้วยความเคร่งเครียดอยู่หลายส่วน “ซ่งเสวียน เจ้าล้ำเส้นแล้ว”
นางไม่ได้ค้นหาความจริงจากถ้อยคำที่กล่าวไปเรื่อยของซ่งเสวียน ซ่งเสวียนเองก็ไม่ได้ซักไซ้เรื่องในอดีตของนาง นี่เป็นกฎอันมิได้มีลายลักษณ์อักษรระหว่างพวกเขาสองคนไปแล้ว
เสี่ยงหรงไม่อยากผิดใจกับซ่งเสวียน นางจึงเพียงก้มหน้า เดินหมากต่อไป
ซ่งเสวียนยื่นมือไปปัดหมากบนกระดานของนางจนเละเทะไปหมด
เสี่ยงหรงเงยหน้าพึ่บ นางโกรธขึ้นมาแล้ว “ซ่งเสวียน!”
ซ่งเสวียนสีหน้าจริงจัง “เจ้าฟังข้าให้จบก่อน จากนั้นจะตีจะฆ่าก็สุดแล้วแต่เจ้า เช่นนี้ได้หรือไม่”
เสี่ยงหรงเม้มปาก คล้ายยอมรับไปโดยปริยาย
“หนานหรงจวินไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ที่เขามาก็เพื่อตามหาองค์ชายองค์นั้น” ซ่งเสวียนจับจ้องมองนางอย่างจริงจัง “สาเหตุนั้นเจ้าคงกระจ่างอยู่แล้วเช่นกัน หากมิใช่ต้องการซื้อตัวไปก็คงอยากกำจัดให้สิ้นซาก”
โอรสองค์โตในฮ่องเต้องค์ก่อน ผู้รุกรานพื้นที่กว่าครึ่งของแคว้นหนานถู เทพสงครามจีอวิ๋นฉี
และรองแม่ทัพผู้ทระนงองอาจอันดับหนึ่งของเขาก็คือฮวาอู๋ฉยง
ทุกคนเคยคิดว่าจีอวิ๋นฉีผู้เยาว์วัยแต่ไม่ธรรมดานั้นจะเป็นคู่ปรับที่ยากจะรับมือที่สุดของรัชทายาทในการแย่งชิงบัลลังก์มังกร แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ตกตะลึง
หลังศึกที่ชางไหวครานั้นสิ้นสุดลง ฮวาอู๋ฉยงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จีอวิ๋นฉีปลดธงทัพหยุดกลองศึก* หลายปีมานี้ราวกับกลายเป็นเพียงเงา เงียบงันและทำให้ผู้อื่นไม่อาจเข้าใจ
ก็เป็นสี่ปีก่อนนี้เอง ที่แม้แต่ตัวจีอวิ๋นฉีเองก็ยังหายสาบสูญไปจากสายตาผู้คนโดยสมบูรณ์
มีคนบอกว่าจีอวิ๋นฉีหลบหนีไปอย่างลับๆ และยังมีบอกด้วยว่าจีอวิ๋นฉีเข่นฆ่าคนมากเกินไปจนเสียสติไปแล้ว
ทั้งยังมีคนบอกด้วยว่าเนื่องจากฮวาอู๋ฉยงซึ่งเป็นคนของเขาตายไป จีอวิ๋นฉีจึงเข้าใจสัจธรรมโลกอย่างถ่องแท้ ดังนั้นจึงปลีกวิเวกไป
ความจริงในครานั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้แต่ซ่งเสวียนเองก็ยังเป็นเพียงคนที่ส่องเสือดาวผ่านปล้องไม้ไผ่** เขารู้เรื่องราวในอดีตเพียงน้อยนิดจากปากของเสี่ยงหรงเท่านั้น
ตอนที่เขาพบกับเสี่ยงหรง เสี่ยงหรงเป็นคนมืดมน โง่เง่า และหยาบกระด้างเหมือนบุรุษ ร่อนเร่พเนจรไปทั่วเมืองซื่อฟาง ถูกคนหลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัว แม้แต่ข้าวก็ยังไม่มีจะกิน
ส่วนฮวาอู๋ฉยงที่ถูกนักเล่านิทานคุยโวจนกลายเป็นหลี่หยวนป้า*** ที่ยังมีชีวิตนั้นกลับมาลงเอยในสภาพนี้ได้อย่างไรคือเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรเสี่ยงหรงก็จะไม่มีวันพูด
ยามนี้ซ่งเสวียนก็ยังคงไม่ซักไซ้ เขาเพียงจ้องมองเสี่ยงหรงนิ่งๆ “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดองค์ชายองค์นั้นจึงตัดสินใจจากไป และบัดนี้ยังประทับอยู่ที่เมืองซื่อฟางหรือไม่ แต่ว่าเสี่ยงหรง ข้าต้องการการรับรองว่าจีอวิ๋นฉีจะไม่มีทางทรยศต้าเหยา”
เสี่ยงหรงยืนขึ้นทันที ดวงตาของนางมีประกายสังหารพลุ่งพล่าน “ซ่งเสวียน เจ้ามีสถานะอันใดกัน จึงอาจหาญกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ชั่วชีวิตนี้ของนายท่าน ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเป็นอันขาด”
หลายปีมานี้เสี่ยงหรงเก็บงำความเฉียบคมของตนเอาไว้ บนตัวของนางเริ่มมีท่าทางและความคิดอย่างสตรีขึ้นมาบ้างแล้วจึงไม่ค่อยเผยท่าทีเช่นนี้ออกมาให้เห็น
ทว่าในชั่วขณะนี้เสี่ยงหรงเป็นราวกับกระบี่โบราณที่สึกกร่อนด้วยลมด้วยน้ำค้างแข็งในสนามรบ ดวงตาวาวโรจน์ของนางสานสบกับดวงตาของซ่งเสวียน
“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนตัวเปล่า เป็นเพียงซ่งเสวียน จึงได้มาเพียงเพื่อต้องการคำมั่นสัญญา” ซ่งเสวียนว่า
“เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าคือซ่งเสวียนแล้วข้าจะไม่ต่อยเจ้านะ” นางว่า “ถอนคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าเสีย”
“ข้าไม่ถอน” ซ่งเสวียนไม่ยอมถอยสักนิด “คำถามนี้ของข้าต้องการถามเขาก็ต้องให้เขาเป็นผู้ตอบ หากมิได้คำตอบขององค์ชาย…ข้าก็ไม่อาจปิดบังอดีตของเจ้าต่อองค์ชายสาม”
ยามที่เอ่ยถ้อยคำนี้ สีหน้าของซ่งเสวียนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ดวงตาของเสี่ยงหรงแทบมีเลือดหยดออกมา
นางไม่คิดว่าซ่งเสวียนจะเอาเรื่องในอดีตมาใช้ข่มขู่นางจริงๆ
นิสัยของนางตรงไปตรงมา เก็บคำพูดไม่อยู่ ทั้งยังเชื่อใจซ่งเสวียนอย่างสุดหัวใจ บางคราปากไวหรือดื่มสุราเข้าไปก็จะพูดเรื่องเก่าของตนให้ซ่งเสวียนฟัง แต่นางก็ไม่เคยใส่ใจมาก่อน
กลับไม่คิดว่าจะมีวันที่ซ่งเสวียนหยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาบีบบังคับนาง
สีหน้าของซ่งเสวียนดูผ่อนคลายเบาสบาย แต่ในใจใช่ว่าจะไม่ทุกข์
เขาต้องการให้จีอวิ๋นฉีสัญญา มิเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ต่อไปอย่างวางใจได้
คนของแคว้นหนานถูกำลังตามหาจีอวิ๋นฉี จุดยืนของจีอวิ๋นฉีไม่ชัดเจน วันใดที่เขากับแคว้นหนานถูร่วมมือกัน เมื่อนั้นราษฎรต้าเหยาก็มิอาจมีชีวิตต่ออย่างปกติสุขได้ สรรพชีวิตล้มตายมอดไหม้
เสี่ยงหรงเชื่อมั่นในตัวจีอวิ๋นฉีอย่างหมดสิ้นทั้งหัวใจ
ทว่าซ่งเสวียนกลับไม่อาจเชื่อมั่นในตัวคนที่ไม่เคยพบพานคนหนึ่งได้
จีอวิ๋นฉีอยู่ในเมืองซื่อฟาง ฮวาอู๋ฉยงก็อยู่ในเมืองซื่อฟาง เห็นได้ชัดว่าซ่งเสวียนมั่นใจในเรื่องนี้ หากยังปิดบังต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้วโกหกจีอวิ๋นซีอีก เกรงว่าเขาคงยากจะสงบจิตใจได้แล้ว
ซ่งเสวียนไม่มีทางเลือก ได้แต่เลือกเส้นทางเช่นนี้
เสี่ยงหรงโกรธมากอย่างเห็นได้ชัด นางดึงดาบถังออกมาจากแจกัน จ่อมันที่คอของซ่งเสวียนอย่างคล่องแคล่ว
ยามถือดาบมือของนางไม่เคยสั่น ทว่าชั่วขณะนี้ซ่งเสวียนกลับเห็นคมดาบนั้นสะท้านน้อยๆ
“ซ่งเสวียน เจ้ามันสารเลว” เสี่ยงหรงเอ่ยเบาๆ
ซ่งเสวียนไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังแกร๊กเสียงหนึ่ง ชั้นวางของโบราณนั้นขยับเอง เสี่ยงหรงตัวสั่นเบาๆ สายตาของซ่งเสวียนก็หันเหจุดสนใจไปเช่นกัน
ด้านหลังชั้นวางของโบราณมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
เขาสวมชุดสีครามปักดิ้นทอง รูปร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้ามีเค้าลางของจีหุยอยู่สามส่วน ทว่ากลับดูแข็งกร้าวกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดูงามสง่าอย่างแม่ทัพนายพลอยู่หลายส่วน
ไม่ต้องพูดจามากความ ซ่งเสวียนเพียงมองใบหน้านี้ก็รู้ว่าเขาคือผู้ใด
องค์ชายใหญ่จีอวิ๋นฉี
“อู๋ฉยง กลับมาเถิด” จีอวิ๋นฉียิ้มพลางเอ่ย เสียงของเขาทำให้ซ่งเสวียนรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ใด
เสี่ยงหรงก้มหน้าหลุบตาลง เก็บมือกลับอย่างรวดเร็ว
ซ่งเสวียนถวายบังคม เอ่ยเสียงเบา “ถวายบังคมองค์ชาย”
“อาจารย์ซ่ง?” จีอวิ๋นฉียังคงมีสีหน้าอ่อนโยน เขาเดินไปหาเก้าอี้นั่งเอง
“มิบังอาจ” ซ่งเสวียนว่า
“อาจารย์ซ่งต้องการคำพูดประโยคหนึ่งจากข้าเสียให้ได้มิใช่หรือ” จีอวิ๋นฉีว่า “ข้าจีอวิ๋นฉี ชั่วชีวิตนี้จะต่อสู้กรำศึกเพียงเพื่อต้าเหยา ไม่มีทางเดินทัพเพื่อแคว้นหนานถูเด็ดขาด หากถ้อยคำนี้มีความเท็จแม้สักครึ่งประโยค ขอให้…” จีอวิ๋นฉีคิด สายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวฮวาอู๋ฉยง “ขอให้อู๋ฉยงตัดหัวข้าด้วยมือของนางเอง”
เสี่ยงหรงเบิกตากว้างทันควัน “นายทะ…”
นางเอ่ยไปครึ่งคำก็คิดได้ว่าตนเรียกขานอีกฝ่ายด้วยคำนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงก้มศีรษะลงอย่างสลดใจ
ซ่งเสวียนตาเป็นประกายวาว ก้มหน้าเอ่ย “ขอบพระทัยในคุณธรรมสูงส่งขององค์ชาย จากใจของผู้น้อยซ่งเสวียน”
จีอวิ๋นฉียิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าควรขอบคุณอาจารย์จึงจะถูก ที่ยอมเชื่อใจลมปากลอยๆ ของข้า”
“…กระหม่อมเชื่อในผู้ที่เคยเป็นวีรชนแห่งต้าเหยา และเชื่อในเสี่ยงหรง” ซ่งเสวียนเอ่ยเบาๆ “นางเคยกล่าวว่าองค์ชายทรงเป็นคนรักษาสัญญา”
เสี่ยงหรงถลึงตาใส่เขา นางเคยพูดอีกว่านายท่านเป็นคนใจดีมาก แล้วเหตุใดเขาไม่เชื่อด้วยเล่า
จีอวิ๋นฉีนิ่งงัน ยามได้ยินนาม ‘เสี่ยงหรง’ จากปากผู้อื่น มันทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
‘ฮวาเสี่ยงหรง’ อ่อนโยนกว่านามฮวาอู๋ฉยงมากนัก อย่างน้อยก็เป็นนามของสตรี
จีอวิ๋นฉีพลันเอ่ย “ได้พบอาจารย์ครั้งแรกก็ควรมีของขวัญแรกพบจึงจะถูกต้อง”
ซ่งเสวียนอึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความนัยคำพูดของเขา
จีอวิ๋นฉีล้วงเอาเครื่องประดับที่ทำจากหยกชิ้นหนึ่งมาจากในอกเสื้อ เขามอบมันถึงมือซ่งเสวียน “ยินดีกับความเจริญก้าวหน้าด้วย ขอให้วันหน้าของอาจารย์ราบรื่นดั่งแพรไหม”
ซ่งเสวียนมิได้ปฏิเสธ เขารับหยกประดับมา จากนั้นก็ทำความเคารพ ก่อนไปย่างก้าวของเขากลับชะงักอยู่ที่ประตูเล็กน้อย เขาก้มลงเอ่ยปากออกมาคำหนึ่งว่า “ขออภัยด้วย”
ทั้งสามล้วนรู้ดีว่าถ้อยคำนี้ต้องการเอ่ยกับผู้ใด
ริมฝีปากของเสี่ยงหรงขยับน้อยๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น นางมองเงาร่างของซ่งเสวียนหายลับประตูไป
“เจ้ายังยินยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อเขาหรือไม่” จีอวิ๋นฉีถาม
เสี่ยงหรงส่งเสียง “อืม” เบาๆ
จีอวิ๋นฉีมองนางครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มนั้นยังคงเป็นเฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อน “ยังโง่งมเช่นเดิมเลยนะ” เขาเอ่ย
** หมากรุกทหาร เป็นหมากกระดานชนิดหนึ่ง ตัวหมากแต่ละตัวจะเป็นตำแหน่งต่างๆ ในกองทัพ ตั้งแต่ผู้บัญชาการไปจนถึงนายทหาร อีกทั้งยังมีหมากธงทัพ หมากระเบิดใหญ่ และหมากกับระเบิด หลักการโดยคร่าวๆ คือตัวหมากที่ตำแหน่งใหญ่กว่าเท่านั้นจึงจะสามารถกินตัวหมากที่ตำแหน่งเล็กกว่าได้ ต้องกำจัดหมากกับระเบิด 3 ตัวของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดจึงจะมีสิทธิ์กำจัดหมากธงทัพ หากกำจัดหมากธงทัพของฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จจึงจะถือว่าชนะ
* ปลดธงทัพหยุดกลองศึก หมายถึงหยุดทัพ หยุดการศึก ไม่รบต่อ ในปัจจุบันใช้ในความหมายของการหยุดกระทำการใดที่เป็นการจู่โจมหรือหยุดกิจกรรมต่างๆ ลง
** ส่องเสือดาวผ่านปล้องไม้ไผ่ เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มองเห็นหรือรับรู้เรื่องต่างๆ เพียงบางส่วน จึงไม่อาจเข้าใจเรื่องราวนั้นอย่างถ่องแท้ เหมือนกับมองเสือดาวผ่านปล้องไม้ไผ่เล็กๆ ทำให้เห็นได้เพียงส่วนเล็กๆ ของเสือดาว จึงอาจเข้าใจผิดไปว่าสัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์อื่นได้
*** หลี่หยวนป้า คือบุตรคนที่สี่ของหลี่หยวนปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถัง มีตำนานเล่าลือว่าเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอม หน้าตาดูขี้โรค แต่มีพละกำลังมหาศาล สองแขนมีพลังเท่ากับช้างสี่เชือก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
