everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 118-119 #นิยายวาย
บทที่ 119
มารผจญ
ช่วงสองสามวันแรกที่ซ่งเสวียนกลับมาเมืองหลวง เขาใช้ชีวิตอย่างสงบราบเรียบและอิสระยิ่ง สาเหตุหลักอาจเป็นเพราะในที่สุดจีอวิ๋นซีที่คอยยั่วเย้าปั่นป่วนเขาอยู่ตลอดคนนั้นได้ถูกภาระเรื่องราวมากมายมารั้งตัวไว้เสียที
ก่อนที่ฮ่องเต้องค์ใหม่จะสืบทอดราชบัลลังก์ จีอวิ๋นซีก็หนีหายโดยไม่สนใจสิ่งใด เรื่องต่างๆ มากมายที่สะสมคั่งค้างไว้นั้นอย่างไรก็ต้องมีคนคอยจัดการ จีอวิ๋นซีอาลัยรักอาวรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเหลือแสน ทว่าไม่ได้มีเวลาที่จะวนเวียนเกี่ยวพันอยู่ข้างกายซ่งเสวียนมากมายนัก
สิ่งนี้กลับทำให้ซ่งเสวียนรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง เนื่องจากเขาจะได้มีเวลาออกมาพบกับฟางชิวถัง
ซ่งเสวียนนั่งลงที่เหลาสุราแห่งหนึ่ง เขามองเห็นเงาร่างของฟางชิวถังจากที่ไกลๆ อีกฝ่ายยังคงมีรูปร่างเช่นเดิม ทว่ากิริยาท่าทางกลับแตกต่างจากกาลก่อน ยามที่ฟางชิวถังยกมือก้าวเท้าล้วนดูทะนงตนนัก ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเช่นจิ้งจอกยากแค้นเขี้ยวลากดินดังอดีต
แต่ก็ยังเป็นฟางชิวถังคนนั้น
ฟางชิวถังผลักประตูเข้ามาก็ได้ยินซ่งเสวียนเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อน “เศรษฐีจากที่ใดกัน อย่าได้อวดโอ่จนตาข้าบอดเสียก่อนเล่า”
ฟางชิวถังแค่นจมูก “นักพรตยากจนจากที่ใดกัน อย่าได้ทำให้เสื้อผ้าข้าสกปรกเสียก่อนเล่า”
ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว
ซ่งเสวียนก็หัวเราะเช่นกัน เขารินสุราให้อีกฝ่ายจอกหนึ่ง “เถ้าแก่ฟาง จากกันกลับมาอยู่ดีมีสุขหรือ”
ฟางชิวถังใช้กำปั้นต่อยเขาเบาๆ คราหนึ่ง “อิจฉาใช่หรือไม่ จดหมายก็ไม่มีมาสักฉบับ หากมิใช่ท่านสามฟู่คอยบอกข่าว ข้าก็คงไม่รู้ว่าเจ้ากลับไปที่เมืองซื่อฟางแล้ว บัดนี้ยังถูกเจ้าเด็กจีอวิ๋นซีนั่นกล่อมให้กลับมาอีก เจ้ามันนับเป็นสหายสายใดของข้ากันเล่า”
ซ่งเสวียนแกล้งเอ่ยหยอกเล่น “ข้าก็กลัวรบกวนเส้นทางทำมาหากินของท่านผู้อาวุโสน่ะซี บัดนี้กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่แล้ว ข้าคงมาฉกฉวยเอาของไปเปล่าๆ อยู่เรื่อยไม่ได้กระมัง”
ฟางชิวถังถีบเขาอีกคราหนึ่ง “เจ้านี่มันยิ่งเหน็บก็ยิ่งได้ใจ…”
ทว่าเท้าของฟางชิวถังเพิ่งวางลงก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย…” ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามา เงาร่างสีขาวของสัตว์ตัวหนึ่งกระโจนมาตรงหน้าเขาแล้วก็ถูกซ่งเสวียนหิ้วกลับไปด้วยมือเดียว
“เจ้าหมาโง่ อย่าซน” ซ่งเสวียนลูบเจ้าสุนัข
ฟางชิวถังเพ่งมอง เป็นเจ้าหมาโง่จริงดังคาด หลายปีมานี้เขาก็เคยเห็นมันอยู่สองสามครั้ง แม้จะแข็งแรงเติบโตขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน แต่มันก็มักจะมีท่าทางหางลู่หูตกเสมอ บัดนี้ซ่งเสวียนกลับมาแล้วมันก็กระโดดโลดเต้นร่าเริงขึ้นมาอีกครา วิ่งวนรอบกายซ่งเสวียนไม่หยุด
“เจ้าพามันออกมาได้อย่างไร” ฟางชิวถังเห็นเจ้าหมาโง่ส่ายหัวส่ายหาง วิ่งวนรอบซ่งเสวียนอย่างร่าเริงก็ถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “ปกติเห็นมันก็ดูน่าเกรงขามอยู่หรอก แต่เหตุใดจึงโง่เง่าจนกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า”
ซ่งเสวียนโยนเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งไปให้ เห็นเจ้าหมาโง่งับเอาไว้แล้วส่ายหางเอาใจเขาก็พานยิ้มแย้มเอ่ยตอบ “ข้าทิ้งมันอยู่ตัวเดียวนานถึงเพียงนี้ เพิ่งได้พบข้ามันก็คงติดข้าแจนั่นล่ะ หากไม่พามันมาข้าคงออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างสุนัขกับแมว” ฟางชิวถังหรี่ตา เขาจ้องมองเจ้าหมาโง่ สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เจ้าทิ้งสุนัขเอาไว้หกปี กลับมาอีกครามันก็ยังมาเลียเจ้าอย่างเบิกบานยินดี หากเจ้าทิ้งแมวเอาไว้ อย่าว่าแต่หกปีเลย ต่อให้เพียงครึ่งปีก็น่ากลัวว่ามันจะมาข่วนเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ซ่งเสวียนมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเลี้ยงแมวรึ”
ฟางชิวถังส่ายหน้า ถอนหายใจ “ยุ่งยากกว่าแมวนัก”
เมื่อนั้นทั้งคู่จึงค่อยพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีมานี้
ซ่งเสวียนยังคงเป็นเช่นเดิม คอยวางกับดักหลอกลวงผู้อื่น ถือเอาสี่สมุทรเป็นบ้าน ใช้ชีวิตยากจนไม่มีสิ่งใดติดกาย ทว่ากลับอิสระสำราญใจนัก
ฟางชิวถังอยู่เมืองหลวงใช้ชีวิตเสี่ยงภัยกว่ามาก เขาตอบรับเพื่อเป็นสายลับแทรกซึมอยู่ในฝั่งรัชทายาททรราชให้กับจีอวิ๋นซี ถูกสงสัยมาหลายครั้งหลายครา สุดท้ายในเวลาคับขันเขาก็จู่โจมรัชทายาทจนถึงชีวิต
บัดนี้ทุกคนล้วนคิดว่าเถ้าแก่ฟางรั้งม้าหน้าผา* สุดท้ายก็มายืนอยู่ฝั่งจีอวิ๋นซี ไม่มีใครคิดว่าเขาคือหมุดที่จีอวิ๋นซีตอกฝังลงในฝั่งตรงข้ามมาเนิ่นนานแล้ว สุดท้ายก็นับว่าได้ผลดีงามตามที่ร้องขอ ไม่ได้เสียเวลาหลายปีเหล่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์
หากกล่าวถึงประสบการณ์หลายปีมานี้อย่างจริงจัง แม้แต่ฟางชิวถังเองก็ยังรู้สึกว่าเสี่ยงเหลือเกิน เกรงว่าเพียงไม่ระมัดระวังสักนิด แม้แต่ชีวิตก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
ที่เรียกว่าความร่ำรวยต้องร้องขอท่ามกลางอันตรายนั้นก็เป็นเช่นนี้เอง
ซ่งเสวียนฟังแล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ เขาเอ่ยถามไปตามเรื่องตามราวประโยคหนึ่งว่า “เช่นนั้นความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับจี้เซียวก็จงใจให้เกิดขึ้นเพื่อการนี้ด้วยหรือ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ฟางชิวถังก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “อะไรกัน เรื่องนี้ลือออกไปถึงข้างนอกแล้วรึ”
“ยิ่งกว่านั้นเสียอีก” ซ่งเสวียนหัวเราะออกมา “การทะเลาะกันดั่งมังกรกับพยัคฆ์ต่อสู้กันของพวกเจ้าสองคนน่ะ เกรงว่าแม้แต่หนังสือนิทานยังเอาไปเขียนด้วยกระมัง”
“พวกนักเล่านิทานนี่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ จมูกไวยิ่งกว่าสุนัข” ฟางชิวถังด่าไปประโยคหนึ่งแล้วจึงว่า “เจ้าเด็กน้อยจี้เซียวน่ะ มารดามันกล้ามางัดกับข้าจริงๆ”
ครานี้ซ่งเสวียนประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ เขารู้ว่าจี้เซียวคิดอย่างไรกับฟางชิวถัง ไหนเลยจะมาตั้งตนเป็นศัตรูกับฟางชิวถังด้วยความตั้งใจจริง
ฟางชิวถังลูบจมูก “เรื่องนี้…ถึงอย่างไรข้าก็ไม่พูดแล้ว…นับว่าข้าสู้เขาไม่ได้ แต่เจ้าเด็กนั่นก็ยังเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องเล็กจิ๋วเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงายังจับแน่นไม่ปล่อย…มารดามันเถอะ ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องเจ้าลูกกระต่ายนั่นแล้ว” ฟางชิวถังพูดอีกสองประโยคอย่างไม่ปะติดปะต่อ เขารู้สึกรำคาญ จึงโบกมือสองสามคราแล้วก็รินสุราจอกใหญ่ให้ตนเองเต็มจอก “พูดเรื่องสนุกสนานดีกว่า คนถ่อยอย่างเจ้าเที่ยวร่อนเร่อยู่หกปี กลับมาก็จะได้รับตำแหน่งแล้วหรือ” ฟางชิวถังพูดเรื่องนี้แล้วก็หัวเราะฮี่ๆ ดวงตาจิ้งจอกดูไม่ประสงค์ดีเป็นพิเศษ “ข้าได้ยินมาหมดแล้ว ถึงกับเป็นราชครู…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเสวียนดูขมขื่นเล็กน้อย “สิ่งนี้คงเป็นชะตาลิขิตกระมัง”
ฟางชิวถังเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็รู้ว่าเขายังคงเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนคือไม่ได้มาเพื่อเกาะผู้ใดไต่เต้า “อะไรกัน น้องชายตัวดีของเจ้าอีกแล้วรึ ไม่ถูก ตอนนี้จะไปเรียกเช่นนั้นไม่ได้แล้ว อีกสองสามวันก็ต้องเรียกฝ่าบาทแล้ว” ปากฟางชิวถังพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับไม่เห็นความเคารพสักเท่าใด ทั้งยังหัวเราะพรวดออกมาอีก “ซ่งเสวียน เขาน่ะไม่ใช่คนที่เจ้าจะต่อกรด้วยอย่างง่ายดายได้ เขาน่ะเหนือชั้นกว่าจีอวิ๋นอี้ไม่เพียงแค่ระดับเดียวเสียด้วยซ้ำ ข้าฟางชิวถังไม่เคยยอมศิโรราบแก่ผู้ใด หากกล่าวถึงเรื่องฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิตแล้ว เช่นนั้นเขาก็คือคนที่ข้ายอมแพ้” ฟางชิวถังว่าพลางทำท่าชื่นชมเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนที่อยู่ในเมืองเซิ่งจิงนี้ฟางชิวถังผ่านประสบการณ์ใดมา กับจีอวิ๋นซีแล้วเขาจึงได้ดูคุ้นเคยและคล้อยตามอยู่หลายส่วน แต่ก็ดูมีความชิงชังแฝงอยู่ในความกริ่งเกรงด้วย
ในใจซ่งเสวียนกระจ่างชัดว่าบัลลังก์ฮ่องเต้ของจีอวิ๋นซีนั้นมิได้เพียงหยิบขึ้นมาได้เฉยๆ ระหว่างนั้นมีเรื่องราวมากมายที่จีอวิ๋นซีไม่ได้กล่าวถึง และเขาก็รู้อยู่แก่ใจบ้างแล้วเช่นกัน จึงได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ “ข้ารู้”
“เจ้ารู้แล้วยังกล้ากลับมาอีกรึ” ฟางชิวถังถลึงตาใส่เขา “ซ่งเสวียน เจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าไปได้เพราะเขายอมปล่อยมือหรือ หากแต่เป็นเพราะฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่ เขาจึงรั้งเจ้าไม่ได้ ทว่าตอนนี้…”
“ตอนนี้เขาต้องการข้า” ซ่งเสวียนเอ่ยต่อประโยคด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ชิวถัง ข้าตกลงกับเขาเอาไว้หกปี หกปีให้หลังจะทำอย่างไรเราค่อยตัดสินใจกันอีกครา แต่ตอนนี้เขาต้องการข้า”
ฟางชิวถังจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกยาว “ซ่งเสวียน สมน้ำหน้าเจ้าแล้วที่ถูกเขาพันธนาการเอาไว้ นี่ก็คือมารผจญของเจ้า”
ซ่งเสวียนคีบอาหารให้อีกฝ่าย เขายิ้มแย้มพลางเอ่ย “ก็ถือเสียว่าเป็นเช่นนั้นแล้วกัน”
ฟางชิวถังแค่นจมูก “คอยดูเถิด ก่อนเขาจะได้ขึ้นสู่บัลลังก์ คงได้มีเหตุนองเลือดคละคลุ้งอีกเป็นแน่”
ซ่งเสวียนชะงักกิริยาไปเล็กน้อย “เรื่องนี้คืออย่างไร”
“เขาอยากให้เจ้าเป็นราชครูก็ต้องกวาดเอาหินที่เจ้าจะสะดุดตามรายทางทั้งหลายทิ้งให้สะอาดเอี่ยม” ฟางชิวถังแววตาดูซับซ้อน “เจ้าคอยดูแล้วกัน ตอนนี้บรรดาขุนนางในราชสำนักรู้เพียงว่าเขาโหดเหี้ยม แต่ไม่รู้ว่าเขาสกปรกเพียงใด เอาไว้ครั้งนี้ผ่านพ้นพวกเขาก็จะได้รู้เอง”
จีอวิ๋นซีต้องการทำสิ่งใดให้สำเร็จ เขาก็จะต้องทำให้ได้และจะทำให้คนที่คัดค้านเขานึกเสียใจกันแทบไม่ทัน
* รั้งม้าหน้าผา หมายถึงได้สติกลับตัวทันเมื่อเผชิญอันตราย เช่นเดียวกับการดึงสายบังเหียนหยุดม้าตรงริมขอบผาชันได้ทันท่วงที
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
