everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 10 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 10
ชะตาร้าย
ซ่งเสวียนหยุดฝีเท้าหันกายกลับมา ในพงหญ้าคล้ายมีเงาคนรางๆ นอนฟุบอยู่
“คุณชาย? คุณชาย? จีอวิ๋นซี?”
เดิมเขาเดาว่าจีอวิ๋นซีเพียงสะดุดล้ม คิดไม่ถึงว่าจะนอนแน่นิ่งกับพื้นไม่ขยับเขยื้อน
อาการป่วยสาหัสของจีอวิ๋นซีพลันผุดเข้ามาในหัว ซ่งเสวียนตะลึงงันก่อนจะรีบเข้าไปพยุงอีกฝ่าย
เขาเห็นจีอวิ๋นซีกัดริมฝีปากล่างแน่น ใบหน้าซีดเผือด ท่ามกลางความปวดศีรษะและความตายที่คืบคลานมาใกล้ อีกฝ่ายได้แต่ส่งเสียงครวญครางคล้ายไม่มีสติ
ซ่งเสวียนสูดปาก รีบยื่นมือเข้าไปคลำหาขวดยาในอกเสื้อของจีอวิ๋นซี จากนั้นก็เทยาเม็ดหนึ่งมายัดใส่ปากอีกฝ่าย
รอกระทั่งสถานการณ์ของจีอวิ๋นซีผ่อนคลายลงเล็กน้อย ลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านมา ซ่งเสวียนพลันตระหนักได้ว่าตนเหงื่อเย็นท่วมกาย
หลายวันมานี้เกิดเรื่องราวไม่หยุดหย่อน ห้องเก็บฟืนก็มีลมแทรกเข้ามาได้ทุกสารทิศ ประกอบกับจีอวิ๋นซีมีอาการบาดเจ็บอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อต้องทนทรมานเช่นนี้ร่างกายที่ป่วยกระเสาะกระแสะมานานจะทนรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องธรรมดา
ซ่งเสวียนหวนนึกถึงจีอวิ๋นซีผู้น่าสงสารที่อยู่ในห้องเก็บฟืน อีกฝ่ายมักจะขออภัยเสียงเบาราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ระแวงเขาอยู่เสมอ
แต่แล้วก็นึกถึงจีอวิ๋นซีที่ยกมือฆ่าคน ถือมีดสั้นยิ้มบางให้เขา
เดิมเขาคิดเพียงจะพาจีอวิ๋นซีหลบหนีออกมา จากนั้นก็แยกย้ายทางใครทางมัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงหมอดูที่ท่องไปในยุทธภพ หากต้องมาพัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีของผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจเหล่านี้ ต่อให้มีสักกี่ชีวิตก็คงไม่พอใช้
ภาพที่จีอวิ๋นซีฆ่าคนตามอำเภอใจยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำความเชื่อนี้ของเขา
เพียงแต่บัดนี้…จะให้เขาทิ้งจีอวิ๋นซีนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่กลางทุ่งหญ้าโดยไม่ดูดำดูดีก็ใช่เรื่อง
ความรู้สึกของซ่งเสวียนสับสนเหลือประมาณ
ขณะเข้าไปประคองจีอวิ๋นซีที่นอนหมดสติ ซ่งเสวียนก็อดหัวเราะขื่นให้ตนเองไม่ได้
ตั้งแต่ได้พบเด็กหนุ่มผู้นี้ ข้าก็ต้องวนเวียนอยู่รอบกายเขาไม่ห่าง ไม่รู้ว่าไปติดหนี้แค้นกันมาแต่ชาติปางใด
ช่างเถิดช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นองค์ชาย หากตายไปเกรงว่าตัวข้าจะหนีความผิดไม่พ้น
ช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระต้องส่งถึงแดนสุขาวดี* นี่ก็เหลือแค่ต้องพาไปส่งอีกหน่อยเท่านั้น
ทว่าตอนที่เขาคิดจะพยุงคนบนพื้นกลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยลอยมาแต่ไกล ตามมาด้วยเงาร่างสีดินเหลืองที่พุ่งเข้าหาราวกับลูกธนู
มันคือเจ้าหมาโง่ที่ไม่ได้เจอกันหลายวันนั่นเอง ตอนถูกลักพาตัวขึ้นเขา ซ่งเสวียนสั่งให้เจ้าหมาโง่ซ่อนตัวอยู่ในป่า รอจนกว่าเขาจะกลับลงมาออกตามหามันอีกครั้ง
ไม่นึกเลยว่าพอลงจากเขามาแล้วจะได้พบกับมันทันที ซ่งเสวียนไม่แน่ใจว่านี่เป็นแค่ความบังเอิญหรือเจ้าหมาโง่จะเป็นสุนัขเทพจริงๆ
เจ้าหมาโง่ไม่เห็นเขานานก็ยิ่งกระตือรือร้น มันส่ายหน้าสะบัดหาง เดิมทีมันมีท่าทีดุร้ายอยู่บ้าง แต่บัดนี้กลับเหลือเพียงหน้าตาโง่ๆ
ซ่งเสวียนทั้งตกใจทั้งยินดีรีบกอดเจ้าหมาโง่ไว้เต็มอ้อมแขน ซ้ำยังลูบมันแรงๆ อยู่หลายครั้ง “เจ้าน่ะแสนรู้ที่สุด วันนี้ข้าไม่มีขนมติดตัว เอาไว้เข้าเมืองแล้วจะซื้อไก่ให้เจ้ากินทั้งตัวเลย”
เจ้าหมาโง่แลบลิ้นราวกับฟังรู้เรื่อง
ซ่งเสวียนมองคนที่อยู่บนพื้นแล้วถอนหายใจ “ครานี้ข้าอัญเชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่กลับไปกับพวกเราด้วย จะยกยังยกไม่ขึ้นเลย”
เจ้าหมาโง่ได้ยินคำนั้นก็ไม่ลีลา ตรงเข้าไปงับชายเสื้อของจีอวิ๋นซีออกแรงลากไปข้างหน้า ทำท่าราวกับต้องการจะเคลื่อนตัวคนไปทั้งอย่างนี้
“เจ้าหมาโง่! เดี๋ยวก่อน!” ซ่งเสวียนรีบปราม
เจ้าหมาโง่หยุดการกระทำทันที มันเพียงยืนนิ่งมองซ่งเสวียนด้วยความน้อยอกน้อยใจ
ซ่งเสวียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จัดการมัดกล่องเก็บของเอาไว้กับตัวเจ้าหมาโง่ ส่วนตนหันไปแบกจีอวิ๋นซีขึ้นมา หนึ่งคนหนึ่งสุนัขเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล
“ขอให้พวกเราได้เข้าเมืองกันเร็วหน่อยเถิด ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะต้องแขวนท้องหิวไปพร้อมกับเจ้าแล้ว” ซ่งเสวียนว่า
จีอวิ๋นซีถูกกลิ่นยาที่น่าจะขมเหลือคณาปลุกให้ตื่น
อาจเพราะประสบเหตุยากลำบากใหญ่หลวง ความเหนื่อยล้าที่เคยสั่งสมอยู่ในกายจึงตีกลับขึ้นมา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนปวดเมื่อยไปหมด เพียงขยับนิ้วเล็กน้อยก็รู้สึกอ่อนเพลียแล้ว
เขากวาดมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ กระเบื้องแตกหัก ห้องซอมซ่อ เตียงเก่าผุ โชคดีที่ยังพอสะอาดอบอุ่น แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาคุ้นเคย
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงฝีเท้านอกห้องดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นซ่งเสวียนที่ยกชามยากลิ่นรุนแรงเข้ามา
จีอวิ๋นซีเห็นเขาจึงแย้มยิ้ม น้ำเสียงแหบพร่าจากการป่วยไข้ “นึกว่าเจ้าจะปล่อยให้ข้าตายเสียอีก โจรป่าผู้นั้นจะได้มีคนลงหลุมเป็นเพื่อน”
ซ่งเสวียนขมวดคิ้วหลังเห็นว่าเขาตื่นแล้ว จากนั้นก็กระแทกชามยาลงข้างเตียงอย่างแรง กระทั่งยาในนั้นยังหกออกมาเล็กน้อย
“หมอบอกว่าท่านจับไข้ ทั้งยังมีโรคเก่ากำเริบ” ในที่สุดซ่งเสวียนก็เอ่ยปาก สีหน้าเทียบกับครั้งแรกที่พบกันแล้วมีความเย็นชาอยู่หลายส่วน “บอกให้ท่านพักฟื้นสักหลายวัน”
จีอวิ๋นซีสีหน้าไม่เปลี่ยน “ขอบคุณที่เจ้าใส่ใจ”
ว่าจบเขาก็ยกชามยาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ทำเหมือนสิ่งที่อยู่ในชามเป็นเพียงน้ำเปล่า ไม่ใช่ยาที่ยากจะกระเดือกลงคอ
ซ่งเสวียนอดเหน็บแนมเขาไม่ได้ “ท่านก็ไม่กลัวข้าวางยาพิษ”
จีอวิ๋นซีตอบโดยไม่ยี่หระ “หากเจ้าคิดทำร้าย ตอนนี้ศพข้าคงเย็นชืดแล้ว”
ซ่งเสวียนเห็นสีหน้าเขาเป็นปกติก็คิดได้ หมอที่เรียกมาดูอาการจีอวิ๋นซีบ่นอยู่นานทีเดียว บอกว่าจีอวิ๋นซีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดา โรคเล็กน้อยของผู้อื่นล้วนพรากชีวิตเขาได้ทั้งสิ้น ห้ามทำเรื่องทรมานร่างกายเด็ดขาด
ห้ามทำเรื่องทรมานร่างกายอย่างนั้นหรือ
ซ่งเสวียนนึกถึงความคล่องแคล่วเด็ดขาดยามเขาเชือดคอคนในมีดเดียว เกรงว่านั่นจะเป็นการทรมานไม่น้อย
เดิมซ่งเสวียนคิดจะพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นหว่างคิ้วของจีอวิ๋นซีขมวดเล็กน้อย “ซ่งเสวียน ยานี้ขมนัก”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองออกแล้ว ซ่งเสวียนเป็นพวกพ่ายต่อท่าทีอ่อนโยนมากกว่าแข็งกร้าว ขอเพียงผู้อื่นพูดจาดีด้วย ซ่งเสวียนก็ยากจะมีโทสะ
ซ่งเสวียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อเห็นดวงตารื้นน้ำคู่นั้นมองมา กอปรกับเรียวคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ดูคล้ายตุ๊กตากระเบื้องซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานเหลือแสน
หนามในท้อง* ก็พลันสลายไปสิ้น
ซ่งเสวียนจัดการรินน้ำชาบนโต๊ะมายัดใส่มืออีกฝ่าย “ทนหน่อย”
จีอวิ๋นซีถือถ้วยน้ำชารสหยาบกระด้าง ค่อยดื่มทีละอึกเล็กๆ ทว่าใบหน้ากลับแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มหลายส่วน ราวกับน้ำที่กำลังดื่มอยู่คือน้ำหวาน
ซ่งเสวียนอ้าปาก สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินออกไป
จีอวิ๋นซีไม่เคยกลัวใครทำสายตาเย็นชาใส่ หรือจะบอกว่าเมื่อเทียบกับความเอื้ออารีจอมปลอมแล้ว เขายินดีเห็นซ่งเสวียนเอ่ยเสียงเย็นพลางต้มยาให้เขามากกว่า
อาจพูดได้ว่าสมัยนี้วิญญูชนเสียเปรียบคนถ่อยได้ที เขามั่นใจว่าซ่งเสวียนผู้นี้แม้ลึกลับซับซ้อน อ้าปากล้วนมีแต่คำโป้ปด ทว่าเบื้องหลังกลับเป็นคนใจดี ขี้สงสาร ทั้งยังมากความสามารถ
ในเรื่องนี้จีอวิ๋นซีไม่ได้มองผิดแม้เพียงเสี้ยว
ผ่านไปหลายชั่วยาม* ซ่งเสวียนเชิญหมอเฒ่ามาตรวจซ้ำ เมื่อทราบว่าหลายวันมานี้จีอวิ๋นซีป่วยไข้ติดต่อกันสองครั้ง แต่ละครั้งล้วนอาการสาหัส หมอเฒ่าก็ถึงขั้นส่ายหน้าจนเคราขาวโพลนปลิวไหว
หมอผู้นั้นหยิกใบหูของซ่งเสวียนแทนการเตือน สั่งห้ามไม่ให้เขาปล่อยน้องชายเดินเหินและยิ่งไม่อาจทำงานใช้แรง ควรพักฟื้นอยู่บนเตียงเท่านั้น
ไม่ผิด หมอเฒ่าคิดว่าจีอวิ๋นซีเป็นน้องชายของซ่งเสวียน ซ่งเสวียนเองก็ได้แต่ฝืนใจรับบท ‘พี่ชายผู้สะเพร่า’ ไปเช่นนี้
จีอวิ๋นซีเองก็ร่วมสนุกไปกับเขา ยามอยู่ต่อหน้าหมอเฒ่าก็จีบปากจีบคอเรียกพี่ชาย วางตัวเป็นน้องชายแท้ๆ ของซ่งเสวียน
กระทั่งส่งหมอเฒ่าไปแล้วซ่งเสวียนถึงเอ่ย “ตาเฒ่านั่นแก่จนเลอะเลือน ไม่นึกว่าท่านจะเลอะเลือนไปกับเขาด้วย กล้ารับบุตรต่ำช้าให้บิดาหรือไร”
หากเป็นผู้อื่นก็แล้วไปเถอะ แต่จีอวิ๋นซีเรียกเขาเป็นพี่ชาย เกรงว่านี่จะเป็นการรับเขาเป็นโอรสของฮ่องเต้
จีอวิ๋นซีหัวเราะแฝงไว้ซึ่งแววเสียดสี “เดิมทีก็เป็นบิดาต่ำช้า ไยจะรับบุตรอีกคนมิได้”
ซ่งเสวียนตกใจ “ท่านก็กล้าพูดจริงเชียว ต่ำช้าไม่ต่ำช้าอันใด อย่าได้พูดเหลวไหล”
แต่หลังซ่งเสวียนพูดจบก็พลันนึกถึงตอนที่เคยสัมผัสอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ภาพความทรงจำที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเหล่านั้นทำเอาเขาไม่กล้าพูดสิ่งใดต่อ
เป็นถึงองค์ชายสาม ต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปรานก็เถอะ แต่ฮ่องเต้ทอดทิ้งให้โอรสเผชิญกับการถูกรังแกไม่จบสิ้นเพียงลำพังในวังได้อย่างไร
จีอวิ๋นซีกลับเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียเอง เขายิ้มเอ่ย “หมอเฒ่าท่านนี้มีฝีมืออยู่บ้าง ตรวจพบด้วยว่าโรคหัวใจของข้าเป็นมาแต่กำเนิด”
“เขาเป็นหมอพเนจร อาศัยอยู่ที่ถนนด้านหลัง” ซ่งเสวียนบอก แต่แล้วก็ต้องเม้มปากเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของจีอวิ๋นซี “วางใจเถิด ปากเขาปิดสนิทอยู่ หมอพเนจรเช่นนี้แม้แต่พวกเดนตายก็เคยเย็บแผลให้มาแล้ว ย่อมเข้าใจกฎดี”
จีอวิ๋นซีโชคดียิ่งนัก หากเป็นผู้อื่นคงไม่อาจพาเขาเข้ามาปะปนอยู่ในเมืองฉางหนิงได้อย่างสงบสุข
สำหรับซ่งเสวียนแล้วเรื่องนี้กลับง่ายดายนัก ตอนอายุสิบสองเขาก็คลุกคลีกับผู้คนในเมือง หลายปีมานี้ยังสนิทสนมกับผู้คนทางเหนือจนได้ประโยชน์มาบ้าง ชาวบ้านธรรมดาบางคนไม่รู้ลู่ทาง แต่เขากลับกระจ่างในลู่ทางต่างๆ ดี
นักต้มตุ๋นอย่างเขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในจวนว่าการ แต่กับพวกทำอาชีพที่ไม่อาจออกสู่แสงสว่างกลับพอให้เคารพกันอยู่
อย่างถนนที่พวกเขาสองคนอยู่ตอนนี้ก็เป็นถนนมืดสายหนึ่ง แม้ภายนอกบ้านเรือนจะดูเหมือนกัน แต่สิ่งที่ซ่อนเอาไว้ภายในกลับเป็นคนที่ไม่มีชื่อในทะเบียนเรือนและไม่ได้เข้าเมืองมาจากทางประตูหลัก
พวกเดนตาย ขอทาน จอมยุทธ์พเนจร พ่อค้าของเถื่อน และบัดนี้มีนักต้มตุ๋นหนึ่งคนกับองค์ชายตกอับหนึ่งพระองค์เพิ่มเข้ามา
แมวย่อมมีทางแมว หนูย่อมมีทางหนู สิ่งที่ซ่งเสวียนคิดคือพาจีอวิ๋นซีมาอยู่ในรูหนูนี้ก่อน รอจนคลื่นลมสงบแล้วค่อยวางแผนกัน
* ส่งพระต้องส่งถึงแดนสุขาวดี เป็นสำนวน หมายถึงเวลาช่วยใครก็ควรช่วยจนถึงที่สุด
* หนามในท้อง มักใช้เปรียบเทียบกับความรู้สึกไม่สบายใจ ความกังวล หรือความเจ็บปวดทางใจ
* ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีน เทียบได้กับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
