everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 11 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
จันทร์กระจ่าง
วันต่อมาข้างนอกฟ้าสว่างแล้ว นอกเรือนมีคนเคาะประตูเสียงดังลั่นพลางร้องเรียกเขา “ครึ่งเซียนซ่ง ครึ่งเซียนซ่ง ท่านอยู่หรือไม่”
ซ่งเสวียนตื่นขึ้นมาด้วยความโกรธ เนื่องจากมีคนมาทำเสียงดังให้รำคาญ เขาจึงสุมไฟโทสะเอาไว้เต็มท้องขณะออกไปเปิดประตู ทว่าสิ่งที่พุ่งเข้ามาทักทายก่อนกลับเป็นกำปั้น
ชายฉกรรจ์กำลังใช้กำปั้นทุบประตูอยู่ข้างนอก คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ซ่งเสวียนจะออกมาต้อนรับโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง สถานการณ์จึงกลายเป็นว่าตนพลั้งต่อยอีกฝ่ายเข้าหมัดหนึ่ง ชายฉกรรจ์รีบหดมือกลับด้วยอาการประดักประเดิด
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเสื้อผ้าของซ่งเสวียนยับย่น ผมบนศีรษะกระเซอะกระเซิงไปหมด อีกฝ่ายนวดบ่าที่โดนเขาต่อยพลางมองกลับมา พอเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยก็อดบ่นไม่ได้ “ลู่เหล่าลิ่ว! เจ้ามีเรื่องด่วนอะไรถึงต้องมารบกวนคนนอน!”
ลู่เหล่าลิ่วผู้นั้นลูบผมพลางเอ่ยอย่างเกรงใจ “ท่านครึ่งเซียน นี่เที่ยงวันแล้ว”
ซ่งเสวียนไม่คิดว่าตนจะหลับจนสายโด่ง ทำเอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
สุดท้ายเพียงเชิญลู่เหล่าลิ่วนั่งลง ส่วนตนก็ไปวักน้ำล้างหน้า
ลู่เหล่าลิ่วเอ่ย “ท่านครึ่งเซียน ตั้งแต่ท่านไปเมืองอันติ้งคราวก่อน พวกเราเฝ้ารออยู่ครึ่งค่อนปี ในที่สุดท่านก็ยอมกลับมาพำนักที่เมืองฉางหนิงของเราเสียที”
ซ่งเสวียนหยิบผ้ามาซับหน้า “ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก พูดมาเถิดว่าเรื่องที่วานให้เจ้าไปทำน่ะได้ทำหรือยัง”
ลู่เหล่าลิ่วพูดรัวต่อกัน “ทำแล้วๆ ถนนสายนี้และตรอกเล็กตรอกน้อยมีที่ใดไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่านบ้าง พรุ่งนี้ข้าจะยกป้ายมาให้ท่าน ท่านรอเพียงพิธีเปิดอันยิ่งใหญ่ก็พอ”
ซ่งเสวียนหุบยิ้ม “หมอดูต้องใช้ป้ายที่ใดกัน อีกอย่างข้ากลัวว่าจะอยู่ไม่ได้นานน่ะสิ”
ลู่เหล่าลิ่วเกาศีรษะ “ถนนสายนี้ของเราวุ่นวายนัก ซ้ำยังเป็นพวกคลุกคลีอยู่ทุกชนชั้นด้วยกันทั้งสิ้น หากท่านไม่ติดป้ายเอาไว้จะหาตัวพบได้อย่างไรเล่า”
เขาเคาะโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ “ทำการค้าทำนายชะตา เจ้าไปซื้อกระเทียมพวงใหญ่ที่สุดมาแขวนหน้าประตูให้ข้า คนเห็นปุ๊บก็รู้แล้ว”
ลู่เหล่าลิ่วฟังแล้วอดแสดงท่าทีชื่นชมไม่ได้ “ประเสริฐ อาจารย์ประเสริฐแท้ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้วก็จากไปดั่งสายลม
ซ่งเสวียนมองเงาในอ่างน้ำแล้วจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย เขาเปลี่ยนมาสวมชุดนักพรตเต๋าสีขาว กลายเป็นอาจารย์ทำนายชะตาผู้มีความงามดูอมตะดุจเซียนอีกครั้ง
เขากินอาหารเช้าเล็กน้อยแล้วเปิดประตูห้องข้างเคียงออกไป
จีอวิ๋นซีเองก็ตื่นเช้า ย่อมได้ยินความเคลื่อนไหวข้างนอกครบทุกประโยค
อีกฝ่ายเอ่ยถามทั้งที่นอนอยู่บนตั่งว่า “เมื่อครู่คนผู้นั้นคือใคร”
“ลู่เหล่าลิ่ว เป็นหัวหน้าอันธพาลท้องถิ่นในเมือง” ซ่งเสวียนว่า “นานมาแล้วข้าเคยช่วยเขาหลบเลี่ยงคดีสังหารคนคดีหนึ่ง เจ้าเด็กนี่จึงติดค้างหนี้น้ำใจข้าเรื่อยมา เรือนนี้ข้าก็ซื้อจากมือเขาเช่นกัน ไม่ได้เข้ามาอยู่ปีสองปีแล้วล่ะ”
ขณะพูดซ่งเสวียนก็วางอาหารเช้าบนโต๊ะเล็กก่อนยกมันมาตั้งตรงหน้าจีอวิ๋นซี ทั้งยังรินชาร้อนให้อีกถ้วยหนึ่งด้วย
“แต่เขาไม่รู้ว่าท่านก็อยู่ที่นี่เช่นกัน” ซ่งเสวียนว่า “ฉะนั้นไม่ต้องสนใจเขาหรอก”
จีอวิ๋นซีถาม “เจ้าคิดจะทำอาชีพเดิมอยู่ที่นี่หรือ”
ซ่งเสวียนพยักหน้า “หนึ่งคือเพื่อเลี้ยงชีพ สองคือเพื่อจะได้ปิดบังตัวตน เพียงแต่สถานะของคุณชายสูงส่งนัก ไม่ทราบคุณชายจะคุ้นชินหรือไม่”
คำพูดนี้แฝงนัยเย้าแหย่เล็กน้อย ทว่าจีอวิ๋นซีกลับยังมีสีหน้าอ่อนโยน ไม่ได้ต่อต้านสักนิด นั่นยิ่งทำให้ซ่งเสวียนเกิดลังเลขึ้นมา
นับแต่คืนนั้นซ่งเสวียนก็ไม่รู้ว่าตนเป็นอะไร มักสนุกสนานยามได้พูดจากระเซ้าจีอวิ๋นซี
ไม่รู้ว่าจีอวิ๋นซีรู้ถึงจุดนี้หรืออย่างไร เพราะตั้งแต่ตื่นมาเขาก็ทำตัวเรียบร้อยว่านอนสอนง่าย กระทั่งถ้อยคำที่ซ่งเสวียนเย้าแหย่ก็ยอมรับไว้ทั้งหมด ราวกับประกายโลหิตไอสังหารในคืนนั้นเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งของซ่งเสวียน
“ข้าสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าผู้ใด ไยจะคุ้นชินมิได้” สีหน้าของจีอวิ๋นซีแลดูอ่อนโยน “อีกอย่างข้าอยู่ในห้องนี้ ลงจากเตียงไม่ได้ นั่งยืนล้วนเบื่อหน่าย มิสู้ลองฟังดูสักหน่อย”
บัดนี้เขาถอดเกี้ยวหยกอาภรณ์แพรออก สวมชุดผ้าป่านสีขาวหลวมโพรก ใช้เพียงเชือกมัดเรือนผมยาวเอาไว้ด้านหลัง น้อยครั้งที่หว่างคิ้วจะปรากฏความโหดเหี้ยมให้เห็น ดูคล้ายเด็กหนุ่มที่ปลีกวิเวกกลางป่า มองแล้วชวนให้รื่นตายิ่งกว่ายามปกติ
ซ่งเสวียนถึงกับไม่มีอารมณ์จะใช้ถ้อยคำเหน็บแนมเขาไปชั่วขณะ
ไม่นานซ่งเสวียนก็เริ่มดำเนินกิจการทำนายชะตาบนถนนสายนี้ กระเทียมที่ลู่เหล่าลิ่วผู้นั้นซื้อมาใหญ่เท่ากำปั้นบุรุษ เขาแขวนเอาไว้สูงลิ่วหน้าประตูร้านของซ่งเสวียน
นับแต่นั้นก็มีคนมาขอให้เขาทำนายชะตาอย่างต่อเนื่อง
ในหมู่ชาวบ้านตามเมืองทางเหนือเหล่านี้ ซ่งเสวียนนับว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว เขาได้รับการขนานนามว่าดูสิบเป็นจริงไปเสียเก้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจึงทำกิจการอยู่เมืองอันติ้งได้เนิ่นนาน ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่จดจำชื่อเสียงของครึ่งเซียนซ่งผู้นี้ได้
ทั้งทำนายวาสนา วิเคราะห์ชะตาบุตร ถามเรื่องดวงรับราชการ พยากรณ์ฤกษ์มงคล ทำนายว่าโชคดีหรือร้าย ถึงขั้นมีคนเชิญเขาไปไล่ผีกำจัดปีศาจ ไม่ก็สอบถามวิธีการมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาว
ซ่งเสวียนตระเตรียมถ้อยคำเหลวไหลชุดหนึ่งเอาไว้นานแล้ว เพียงแต่จีอวิ๋นซีฟังอยู่ในห้องมากเข้าก็ยิ่งแยกแยะตื่นลึกหนาบางของเขาไม่ออก
บางครั้งจีอวิ๋นซีก็รู้สึกว่าซ่งเสวียนเป็นผู้มีพลังวิเศษ แต่ฟังไปฟังมาสิ่งที่เขากลับฟังดูคลุมเครือกำกวม ลึกลับซับซ้อนไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋น
หากจะบอกว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋น สิ่งที่เขาพูดก็ดันตรงกับประสบการณ์จริงของคนเหล่านั้นทุกประการ หากจะบอกว่าบางเรื่องสามารถประเมินจากรูปลักษณ์ภายนอกของคนได้ จีอวิ๋นซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่อาศัยดวงตาไม่มีทางมองออก ทว่าซ่งเสวียนกลับพูดได้ตรงเผง
บางครั้งเมื่อจีอวิ๋นซีจงใจหยั่งเชิง ซ่งเสวียนกลับกลบเกลื่อนว่า “คุณชายมองข้าเป็นเพียงนักต้มตุ๋นก็พอ”
คำกล่าวนั้นทำให้จีอวิ๋นซีสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเก่า
ในเรือนมีเพียงพวกเขาสองคน จีอวิ๋นซียังออกแรงขยับตัวไม่ได้ ดังนั้นนอกจากทำนายชะตาแล้วซ่งเสวียนก็ยังต้องดูแลทำงานบ้านทั่วไป ทั้งทำอาหารและปัดกวาดเช็ดถูล้วนเป็นหน้าที่เขา
สุดท้ายซ่งเสวียนจึงตัดสินใจติดป้ายประกาศที่นอกประตูเสียให้รู้แล้วรู้รอด หนึ่งวันขอรับทำนายเพียงสามชะตา และนั่นก็ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกว่าเขามีความสามารถมากกว่าเดิม
ว่ากันว่าสันดานมนุษย์ต่ำช้าคงเป็นเช่นนี้ ยิ่งของหายากมีน้อยยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนั้นดี ไม่แปลกที่ผู้มาขอให้เขาทำนายชะตาจะยิ่งเกิดความเคารพมากขึ้น
ฝ่ายจีอวิ๋นซียิ่งเคลือบแคลงในตัวตนที่แท้จริงของซ่งเสวียนขึ้นไปอีก
หากบอกว่าซ่งเสวียนเป็นผู้หยั่งรู้จริงๆ ก็กระดากปาก เพราะในยามปกติเขาออกจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายชาวบ้านร้านตลาด ทั้งเนื้อทั้งตัวนอกจากใบหน้าแล้วก็ไม่มีส่วนใดใกล้เคียงกับคำว่า ‘เซียน’ ได้อีก
แต่หากจะบอกว่าเป็นหนึ่งในนักต้มตุ๋นที่มีอยู่ดาษดื่น การกระทำของเขาก็ดูลึกลับซับซ้อนเกินไป
จีอวิ๋นซีพักฟื้นร่างกายอยู่นานหลายวัน ในตอนที่เขาลงจากเตียงมาเดินเหินได้เล็กน้อย ข้างนอกนั่นก็มีเสียงของซ่งเสวียนกำลังคลายความสงสัยให้ฮูหยินผู้เฒ่าคนหนึ่งอยู่
บุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนขี้โรค สองวันก่อนซื้อตัวสะใภ้คนหนึ่งมาแต่งงานแก้เคล็ด ใครจะรู้ว่าเดิมทีชายขี้โรคนั่นนอนป่วยหนักอยู่บนเตียง หลังจากทรมานกับสภาพจิตใจกระเจิดกระเจิงครั้งนี้เขาก็สิ้นลมในคืนวันแต่งงาน
ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมกล่าวโทษสะใภ้ บอกว่านางนำพาโชคร้ายมาให้ทำให้บุตรชายที่มีชีวิตอยู่ดีๆ ต้องมาตายตกไป
ยามนี้นางขังสะใภ้ไว้ในเรือน เตรียมให้ซ่งเสวียนไปทำพิธีล้างเคราะห์คลายสิ่งชั่วร้าย
ซ่งเสวียนฟังฮูหยินผู้เฒ่าบ่นนั่นนี่อยู่สักพักค่อยเริ่มเทียบดวงชะตาแปดอักษรและดูโหงวเฮ้งให้นาง หลังคำนวณชะตาอยู่ครู่ใหญ่เขาถึงแสดงสีหน้าตกอกตกใจใหญ่โตออกมา “ฮูหยิน บุตรชายคนนี้ของท่านเก่งกาจทีเดียว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเศร้าเสียใจ จู่ๆ ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็ตะลึงงัน “เก่งกาจอย่างไรรึ”
“คุณชายของท่านคือเซียนมาเกิดผิดที่ ลงมาจุติในครรภ์ของมนุษย์ธรรมดาเสียได้”
เดิมฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเศร้าโศกที่สูญเสียบุตรชาย ใบหน้าหม่นหมองยากจะคลาย ทว่าเมื่อซ่งเสวียนกล่าวเช่นนี้นางก็รีบซักไซ้ “สิ่งที่ท่านเซียนพูดมาเป็นความจริงรึ”
“บุตรชายของท่านมีปานเจ็ดดาราอยู่บนบ่าใช่หรือไม่” ซ่งเสวียนถาม
“ใช่แล้วๆ ท่านรู้ได้อย่างไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าตบเข่าฉาด “ท่านครึ่งเซียนช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก”
ซ่งเสวียนใบหน้าอมยิ้มสามส่วน เดิมทีเขาก็มีหน้าตาชวนมองอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งดูมีราศีดุจมาจากสวรรค์ “ฮูหยิน เดิมบุตรชายท่านเป็นเสมียนของท่านเทพดาราพั่วจวิน แต่ทำผิดเล็กน้อยจึงถูกปลดลงมารับความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ ที่ผ่านมาจึงป่วยไข้อยู่เสมอ บัดนี้เขารับโทษครบกำหนดแล้วถึงได้กลับขึ้นสวรรค์ไป ปานนั่นก็คือเครื่องหมายที่ท่านเทพดาราประทับเอาไว้”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังจนเคลิบเคลิ้ม ซ่งเสวียนเลือกเรื่องเล็กเรื่องน้อยของบุตรชายนางออกมาพูดทีละเรื่อง ซ้ำยังแจกแจงแต่ละจุดได้พิสดารกว่าคนธรรมดาทั่วไป เหลือแค่ไม่ได้เอาเรื่องปัสสาวะรดที่นอนตอนเด็กๆ ของเขาออกมาพูดให้เป็นตุเป็นตะเท่านั้น
ซ่งเสวียนเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าสติกระเจิงไปแล้วจึงเอ่ยปลอบ “ท่านก็ไม่ต้องเศร้าเสียใจแล้วล่ะ ชาติก่อนท่านทำคุณงามความดีไว้มากจึงได้มีวาสนาเป็นแม่ลูกกับเซียนชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านควรเก็บรักษาเรื่องนี้เป็นความทรงจำที่ดีมากกว่านะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถามอีก “เช่นนั้นแล้วสะใภ้…”
ซ่งเสวียนหัวเราะ “เมื่อครู่ข้าทำนายชะตาแปดอักษรของนางแล้ว ก็นับว่าเป็นผู้มีบุญ เพียงแต่สวรรค์มาเรียกตัวคุณชายกลับไป นางจะห้ามปรามได้อย่างไรกัน”
คิ้วของฮูหยินค่อยๆ คลายลง เห็นได้ชัดว่าเชื่อคำพูดของซ่งเสวียน ความทุกข์ในใจมลายหายไปกว่าครึ่ง
ก่อนไปนางขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ทั้งยังเพิ่มเงินก้อนให้ซ่งเสวียนอีกเล็กน้อย “วันฝังร่างบุตรชายข้าก็รบกวนท่านครึ่งเซียนด้วย”
ซ่งเสวียนพยักหน้า อีกสองวันบุตรชายของฮูหยินผู้นี้จะทำพิธีฝังร่างอย่างเป็นทางการ ควรมีผู้หยั่งรู้อินหยางไปดูแลพิธี
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวจบก็จากไปด้วยความพึงพอใจ
ซ่งเสวียนนั่งฟังฮูหยินผู้นั้นบ่นมาตลอดช่วงเช้า ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะส่งอีกฝ่ายออกไปได้ เวลานี้จึงทอดถอนใจเล็กน้อย เขาย้ายขึ้นไปนอนบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ควานหาหนังสือนิยายเล่มหนึ่งมาไขว่ห้างอ่าน
จีอวิ๋นซีที่เดินออกมาจากห้องอดถามไม่ได้ “บุตรชายนางเป็นเซียนบนสวรรค์ลงมาเกิดจริงหรือ”
ซ่งเสวียนพูดไปเรื่อย “จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านคิดว่าเซียนเป็นพืชพรรณธัญญาหารหรือ จะพบเห็นง่ายดายอะไรปานนั้น”
“เช่นนั้นเจ้า…” จีอวิ๋นซีพลันหรี่ตา “เจ้าหลอกนางรึ”
ซ่งเสวียนยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ข้าหลอกลวงคนมามากมายแล้ว”
“เจ้าคำนวณชะตาได้มิใช่หรือ”
“คำนวณชะตาได้แล้วหลอกคนไม่ได้หรือ” ซ่งเสวียนวางหนังสือนิยายลง สีหน้าเผยถึงความเหนื่อยหน่าย “เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร บอกว่าบุตรชายของนางอายุขัยสั้นให้ยอมรับชะตากรรมเสียหรือให้บอกว่าสะใภ้ของนางเป็นดาววิบัติอัปมงคล เปิดโต๊ะทำพิธีหลอกเอาเงินจากน้ำพักน้ำแรงของนางก้อนโต จากนั้นก็จับสะใภ้นางไปโยนแม่น้ำเสีย” เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “สวรรค์ลิขิตยากคาด ใจคนยากคะเน คนเราเดิมทีก็ใช้ชีวิตไม่ง่ายแล้ว ไยข้าต้องซ้ำเติมให้พวกเขาลำบากอีกเล่า”
จีอวิ๋นซีฟังจบก็นิ่งงัน สุดท้ายเพียงบ่นเบาๆ “ใจดีเกินเหตุ”
ซ่งเสวียนยิ้มรับก่อนจะกลับไปอ่านเรื่องราวหยาบกระด้างของคนดีมีความสามารถอีกครั้ง
จีอวิ๋นซีลอบสังเกตท่าทางตอนอีกฝ่ายอ่านหนังสือ ซ่งเสวียนยังคงสวมชุดสีขาวตัวเดิม คิ้วตาผ่อนคลาย สีหน้าเกียจคร้าน นอนแกว่งตัวเรื่อยๆ บนเก้าอี้หวาย
อากัปกิริยาเยี่ยงอันธพาลดังกล่าว เมื่อย้ายมาอยู่บนตัวซ่งเสวียนกลับดูสูงส่งสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
