everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 14 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 14
เห็นใจ
ซ่งเสวียนอ่านความทรงจำมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกร้อนลวกจนต้องหดมือกลับ
จีอวิ๋นซีที่อยู่บนเตียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขนตาสั่นกระเพื่อมเบาๆ คล้ายนอนหลับไม่สบาย
“จะเป็น…” ซ่งเสวียนเสียงแหบพร่า ได้แต่มองใบหน้าอ่อนโยนละเมียดละไมของจีอวิ๋นซีพลางปากอ้าพะงาบๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็พูดต่อไม่ออก
จะเป็นเขาไปได้อย่างไร
เจ้าก้อนน้อยในความทรงจำที่ดูนุ่มนิ่ม เชื่องเชื่อ งดงาม เอาแต่ตามติดเขาทั้งวันเพื่อถามนั่นถามนี่ เหตุใดจู่ๆ จึงกลายเป็นเด็กหนุ่มตรงหน้าไปได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายซ่อนดาบไว้ใต้รอยยิ้มหรือฝีมือในการสังหารคนโดยไม่กะพริบตา ล้วนไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงกับเจ้าก้อนน้อยแม้เพียงเศษเสี้ยว
ทว่าสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นไปนั้นก็ไม่มีทางเป็นเท็จ
เขาเคยเชื่อคำกล่าวของคนรับใช้ผู้นั้น คิดว่าเจ้าก้อนน้อยกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับบิดามารดาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ส่วนตัวเขา ซ่งเสวียนควรเป็นคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง หากคิดจะช่วยเหลือเจ้าก้อนน้อยออกมาจากสกุลซ่งที่ถูกเนรเทศทั้งตระกูลคงไม่ใช่เรื่องง่าย คิดบุกไปหาอีกฝ่ายถึงจวนก็รังแต่จะเป็นการเพิ่มภาระเสียมากกว่า
ทว่าบัดนี้…
เจ้าก้อนน้อยคือจีอวิ๋นซี องค์ชายสามในปัจจุบัน
ว่าแต่ผู้ที่เป็นถึงองค์ชายสามถูกส่งไปขังไว้ในจวนสกุลซ่งได้อย่างไร แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่สกุลซ่งถูกฮ่องเต้ลงโทษในภายหลัง
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือดูจากสภาพของจีอวิ๋นซีในตอนนี้ ซ่งเสวียนรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีนัก
ซ่งเสวียนยังคงจำตอนที่พวกเขาอยู่ในห้องเก็บฟืนได้แม่น รวมถึงภาพความทรงจำในวัยเด็กเหล่านั้นของจีอวิ๋นซี
นั่นคือประสบการณ์หลังจากเขากลับไปวังหลวง
และเป็นเพราะสถานที่เช่นนั้นเอง เจ้าก้อนน้อยผู้เคยขานเรียกเขาว่า ‘พี่เซวียน’ พลางยิ้มหวานผู้นั้นถึงได้กลายเป็นจีอวิ๋นซีผู้โดดเดี่ยวและมีแผนการเต็มท้อง
ซ่งเสวียนเม้มปากแน่น คืนนี้ต้องเป็นคืนที่เขาข่มตานอนไม่หลับแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้นจีอวิ๋นซีตื่นมาด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญกลับเป็นซ่งเสวียนผู้มีใต้ตาดำคล้ำ แววตาสับสน…อาหารเองก็ดูน่าจะกระเดือกไม่ลงทั้งโต๊ะ
ข้าวหุงออกมาเละเหมือนโจ๊ก ผัดถั่วแขกไหม้จนอยู่ในสภาพดำครึ่งเขียวครึ่ง ทำเอาเห็นแล้วหมดความอยากอาหาร
จีอวิ๋นซีคุ้ยหาชิ้นผักที่ยังดูสมบูรณ์ แต่เพิ่งตักเข้าปากก็ต้องคายพรวดออกมาทันใด เพราะข้างในเหมือนใส่เกลือลงไปสักครึ่งกระปุก
จีอวิ๋นซีนึกสงสัยว่าซ่งเสวียนวางแผนจะทำให้เขาสำลักตายใช่หรือไม่
เขาโบกมือตรงหน้าอีกฝ่าย ทว่าต้องเรียกอยู่นานกว่าคนที่คล้ายวิญญาณหลุดลอยผู้นั้นจะรู้ตัว “ซ่งเสวียน?”
ซ่งเสวียนตื่นจากภวังค์ เมื่อเห็นอาหารหน้าตาชวนหดหู่ทั้งโต๊ะก็อดตะลึงไม่ได้ “นี่ข้าทำหรือ”
“หรือคิดว่าข้าเป็นคนทำล่ะ” จีอวิ๋นซีเอ่ยตอบ
สีหน้าของซ่งเสวียนเจือไว้ด้วยความอิหลักอิเหลื่อหลายส่วน เขาเลือกผักชิ้นหนึ่งมากิน แต่แล้วก็ต้องสำลักออกมาอย่างแรง เขารีบยัดข้าวเข้าปากตามเข้าไปหลายคำแล้วเอ่ย “ถือว่าเป็นผักดองเค็มก็แล้วกัน”
จีอวิ๋นซีจ้องซ่งเสวียนเขม็ง เมื่อคืนเขารออยู่นาน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่าย หลังตื่นขึ้นมาเห็นเพียงมีผ้าห่มคลุมอยู่บนตัว
สรุปแล้วซ่งเสวียนเลือกทางใดกันแน่
ทั้งลงมือสังหารข้าไม่ลงและไม่ยินยอมผูกสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ
ดูเหมือนว่าสุดท้ายก็ควรจะเป็นเช่นนี้
ทุกคนรอบกายข้าล้วนเป็นเช่นนี้
นักต้มตุ๋นอย่างเขาไม่ควรเป็นข้อยกเว้นจึงจะถูก…
คิดมาถึงตรงนี้จีอวิ๋นซีก็รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาวางตะเกียบพร้อมเอ่ยเสียงเย็น “ข้าอิ่มแล้ว”
ในตอนที่กำลังจะลุกจากโต๊ะเขากลับได้ยินซ่งเสวียนถามเสียงเบาว่า “คุณชาย…อยากกลับเมืองหลวงหรือไม่”
จีอวิ๋นซีชะงักกิริยา ในใจพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา อยากแยกกันไปคนละทางจริงๆ สินะ
“แล้วเหตุใดข้าจะไม่กลับไป” จีอวิ๋นซีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ข้าเป็นองค์ชาย ที่นั่นมีทุกสิ่งที่สมควรเป็นของข้า แล้วเหตุใดข้าต้องไม่กลับไป”
ต่อจากนี้ซ่งเสวียนคงจะบอกลาข้าแล้ว จีอวิ๋นซีคิด
“หากคุณชายไม่รังเกียจ ซ่งเสวียนยินดีคุ้มกันท่านตลอดทางกลับเมืองหลวง”
แต่ซ่งเสวียนกลับเอ่ยเช่นนี้
จีอวิ๋นซีถึงกับนิ่งงัน “ซ่งเสวียน?”
ซ่งเสวียนยังไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับจีอวิ๋นซีที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างไรดี
ยังไม่ต้องพูดถึงอุปนิสัยของจีอวิ๋นซีที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ว่ากันแค่เรื่องที่จีอวิ๋นซีช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขากลับทิ้งอีกฝ่ายไปหลายปีโดยไม่สนใจไยดี ซ้ำร้ายหลายวันก่อนยังเกือบจะทิ้งจีอวิ๋นซีเอาไว้คนเดียวกลางทุ่ง เท่านี้ก็ไม่มีหน้าไปยอมรับกับจีอวิ๋นซีแล้วว่าเขาคือ ‘พี่เซวียน’ ผู้นั้น
ยิ่งคิดถึงความยากลำบากที่จีอวิ๋นซีต้องแบกรับมาตลอดหลายปี เขาก็อดรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดไม่ได้
คนผู้นั้นคือสหายเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเคยมีในวัยเด็ก ทั้งยังเป็นเด็กน้อยที่เขาเคยประคองไว้ในอุ้งมือและทะนุถนอมอย่างดี
แล้วจะปล่อยให้คนอื่นมารังแกเขาเช่นนั้นได้อย่างไร
จีอวิ๋นซีเห็นเขาไม่ตอบก็หัวเราะออกมา “เจ้าคงไม่ได้กำลังเห็นใจข้าอยู่กระมัง”
“ไม่ใช่ ข้า…” ซ่งเสวียนเพิ่งเอ่ยปากก็พลันถูกจีอวิ๋นซีคว้าคอเสื้อเข้ามาประจันหน้า
ซ่งเสวียนไม่กล้าพูดอะไรต่อ เวลานี้ทั้งคู่ชิดใกล้กันยิ่ง กระทั่งลมหายใจของจีอวิ๋นซีเขาก็ยังรู้สึกได้
จีอวิ๋นซียิ้มแย้มแจ่มใส “ข้าไม่ถือสาหรอกหากเจ้าจะสงสารข้า ซ่งเสวียน กลับกันเจ้าควรใจดีให้มากกว่านี้อีก ไม่ว่าเจ้าจะเลือกข้าด้วยเหตุใดก็ช่าง…” เขาเอ่ย “แต่ในเมื่อเอ่ยปากแล้วก็อย่าได้คิดทิ้งข้าแล้วกัน”
“ได้” ซ่งเสวียนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกขยำจนกลายเป็นก้อนกลม
เจ้าก้อนน้อยต้องหวาดกลัวการถูกทิ้งเพียงใดกันนะ
“ไม่อย่างนั้น…” น้ำเสียงของจีอวิ๋นซีแหบพร่า ครึ่งประโยคหลังถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ
ไม่อย่างนั้นจะอะไร
จีอวิ๋นซีมองมือตนเอง
ไม่อย่างนั้นจะสังหารเขาอย่างนั้นหรือ
ซ่งเสวียนไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของจีอวิ๋นซี เขาตัดสินใจมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขาติดหนี้ชีวิตจีอวิ๋นซีไว้หนึ่งชีวิตและติดหนี้น้ำใจเจ้าก้อนน้อยอีกมากมาย
เขาไม่รู้ว่าจีอวิ๋นซีต้องการอะไร
หากจีอวิ๋นซียังอาลัยอาวรณ์สถานะอันสูงส่งของตน เขาก็ต้องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อคุ้มกันอีกฝ่ายกลับไป ช่วยให้จีอวิ๋นซีได้เป็นองค์ชายสามผู้สวมอาภรณ์แพรไหม กินอาหารเลิศรสอย่างเหมาะสม
หากจีอวิ๋นซีไม่ยินยอมกลับไป เช่นนั้นเขาก็จะเลี้ยงดูเจ้าก้อนน้อยเป็นอย่างดี ให้เขาได้เป็นเด็กน้อยไร้ซึ่งความกังวลใจให้มากที่สุด
เขาเป็นแค่คนมีวิชาผู้หนึ่งในยุทธภพ สิ่งที่พอจะทำเพื่อจีอวิ๋นซีได้ก็คล้ายจะมีเพียงเรื่องนี้
หลังจากนี้…มีแต่ต้องค่อยดูค่อยทำกันไปทีละก้าวแล้ว
เย็นย่ำก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
ชั่วขณะที่ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ติดกันราวกับฟ้าผ่า ซ่งเสวียนก็รู้ว่าข้างนอกจะต้องเป็นเจ้าคนหยาบกระด้างลู่เหล่าลิ่วเป็นแน่
พอเข้ามาลู่เหล่าลิ่วก็ดูคลั่งดุจควายไล่ขวิด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ ครั้งนี้จวนว่าการเอาจริงแล้ว”
ซ่งเสวียนช่วยถามเขากลับ “เอาจริงอย่างไร”
“กองทหารที่เบื้องบนส่งมาจะเข้าเมืองวันนี้ ท่านไม่รู้อะไร ผู้นำทัพมาคือพญายมราชผู้บัญชาการทหารเมืองอันติ้ง”
ซ่งเสวียนชะงักเล็กน้อย “พญายมราช?”
พญายมราชผู้บัญชาการทหารเมืองอันติ้ง เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาเช่นกัน
เห็นว่าคนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตเสียยิ่งกว่าอะไร แม้แต่ทหารคนสนิทก็ตีจนตายไปแล้วสองนาย ทั้งคนเลวคนดีไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวฝีมือของเขา ไม่แปลกที่จะได้ฉายา ‘พญายมราช’ มา
เพียงแต่คนผู้นี้คล้ายกลัวพระกลัวเทพอยู่บ้าง ทุกปีล้วนเสียก้อนเงินจำนวนมากไปกับการทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายตามวัดพุทธและอารามเต๋า
ตอนที่ซ่งเสวียนอยู่ในเมืองอันติ้งก็เคยเห็นวัดพุทธทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้อีกฝ่าย
“พวกเราอยู่ห่างไกล ทางเมืองหลวงระดมกำลังทหารไม่ทันจึงเลือกที่จะส่งเขามา ได้ยินว่าเมื่อวานยังไม่ทันได้เข้าเมือง พญายมราชผู้นั้นก็ขึ้นเขาไปทลายรังโจรป่าเสียเกลี้ยง” ลู่เหล่าลิ่วดื่มน้ำจนพอแล้วเล่าต่ออย่างกระตือรือร้น “โจรป่ากลุ่มนั้นก็โชคร้ายเสียจริง ต้องมาประมือกับเขาเสียได้ เกรงว่าแม้แต่ศพยังอาจจะเหลือไม่ครบทั้งร่าง”
ซ่งเสวียนหน้าเครียดขึ้ง “เขาไม่เหลือผู้ใดไว้สอบสวนเลยหรือ”
“สอบสวน? สอบสวนอะไร องค์ชายสามตายไปแล้ว สอบสวนต่อก็เปล่าประโยชน์” ลู่เหล่าลิ่วทำหน้าสงสัย “อ้อ จริงสิ ย่อมต้องสอบสวน อย่างไรหัวหน้าสองคนของค่ายโจรป่านั้นก็หนีไปหมดแล้ว”
ซ่งเสวียนทวนท้ายประโยคอีกครั้ง “หัวหน้าสองคนหนีไปหมดแล้วหรือ”
“ก็ใช่น่ะซี ข้าว่าหัวหน้าพวกนั้นพอมีไหวพริบอยู่นา ไม่รู้ว่าไปได้ข่าวมาจากที่ใด รีบเก็บข้าวของหนีไปตอนกลางคืน ตอนนี้จวนว่าการกำลังตามหาตัวกันให้ทั่วเขาทั่วป่าไปหมด”
หนีได้ดี
ซ่งเสวียนอดชื่นชมในใจเงียบๆ ไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขาแต่งตัวเป็นบัณฑิต คนในค่ายโจรป่าที่พอรู้ชื่อแซ่และจดจำหน้าตาท่าทางของเขาได้ เกรงว่าจะมีเพียงหัวหน้าสองคนนั้นกับอู๋ซื่อผู้รับหน้าที่คอยเฝ้าพวกเขา
ส่วนโจรป่าคนอื่นๆ คงรู้เพียงมีว่ามีบัณฑิตคนหนึ่งช่วยพาองค์ชายสามหนีไป ส่วนชื่อแซ่รูปลักษณ์โดยละเอียดเป็นอย่างไรย่อมไม่อาจพูดได้ชัดเจน
อู๋ซื่อถูกจีอวิ๋นซีจัดการไปนานแล้ว ขอเพียงหาตัวหัวหน้าทั้งสองคนไม่พบก็ไม่มีใครรู้ว่าบัณฑิตผู้นั้นคือซ่งเสวียน
ลู่เหล่าลิ่วคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นประหม่า “จริงสิ ท่านครึ่งเซียน สองสามวันนี้พี่น้องหลายคนตั้งใจจะปิดร้านกัน ได้ยินว่าเบื้องบนปิดเมืองตามหาคน ไม่แน่ว่าพอมาถึงละแวกเราอาจจะค้นหากันแบบพลิกแผ่นดิน ท่านระวังไว้หน่อยแล้วกัน หากมีทหารมาค้นก็อย่าได้พูดจามีพิรุธล่ะ”
ลู่เหล่าลิ่วพูดถึงกิจการใต้ดินที่อยู่บนถนนสายนี้ หรือไม่ก็กิจการผิดกฎหมายบางอย่าง คนเหล่านี้ล้วนมีของที่ไม่อาจเปิดเผยได้อยู่ในมือ ไม่ค้นก็ดีไป แต่หากค้นขึ้นมาคงเจอโทษตายสถานเดียว
ซ่งเสวียนกลับมุ่งความสนใจไปที่อีกจุด “ปิดเมืองหาคน?”
ลู่เหล่าลิ่วพยักหน้า “เหมือนจะหาตัวหัวหน้าสองคนนั้น เมืองทางเหนือสองสามเมืองเกรงว่าจะต้องปิดเมืองหาคนกันหมด”
ซ่งเสวียนฟังคำพูดท่อนนี้ของลู่เหล่าลิ่วก็ตระหนักได้ทันที ความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้บางทีอาจไม่ใช่เพียงเพื่อค้นหาโจรป่าที่หนีไป
พวกเขาคิดตามหาองค์ชายสามที่หนีลงมาจากเขาต่างหาก
ซ่งเสวียนขมวดคิ้ว “เหล่าลิ่ว เจ้าข่าวสารว่องไว พญายมราชที่เป็นผู้รับผิดชอบงานครานี้น่ะ พอได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าขุนเขาที่ค้ำจุนอยู่เหนือศีรษะของเขาคือผู้ใด”
“เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ลู่เหล่าลิ่วเดาะลิ้น “เราไม่ได้ใกล้ชิดกับคนของทางการเสียหน่อย”
ซ่งเสวียนเม้มปาก สัมผัสได้ว่าพญายมราชผู้นี้ต้องมีที่มาไม่ดีแน่นอน
เพียงแต่พญายมราชมีความเชื่อเรื่องผีเรื่องเทพอยู่บ้าง อุปนิสัยดังกล่าวนับว่าปะทะคมดาบของซ่งเสวียนเข้าพอดี เขาจึงอดคิดแผนการในใจไม่ได้
“ท่านครึ่งเซียน จู่ๆ จะหาเรื่องให้ข้าไปสืบข่าวเชิงลึกเพื่ออะไร” ลู่เหล่าลิ่วอดถามไม่ได้ “ถึงอย่างไรองค์ชายก็ตายไปแล้ว ทั้งนอกทั้งในไม่รู้ว่ามีดวงตากี่คู่จ้องมองอยู่ ข่าวเมื่อครู่กว่าจะได้มาทำเอาหืดขึ้นคอ สองสามมาวันนี้พวกลูกลิงของข้าหลายตัวก็เกือบถูกจับไปแล้ว”
“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบาก” ซ่งเสวียนระบายยิ้มพร้อมโยนเงินให้ก้อนหนึ่ง “เพียงแต่เรื่องนี้เจ้าต้องจับตาดูเอาไว้จริงๆ รอให้คลื่นลมสงบข้าจะเลี้ยงสุราพวกพี่น้องเจ้า”
“ท่านครึ่งเซียนเกรงใจเกินไปแล้ว” ลู่เหล่าลิ่วได้เงินก็หัวเราะคิกคักแล้วว่า “ทำงานให้ท่าน ข้าจะไม่เต็มที่ได้อย่างไรกัน”
ซ่งเสวียนหรี่ตาเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา “ที่ข้าสงสัยใคร่รู้เพราะคิดจะทำการค้าหาเงินสักก้อนจากเรื่องนี้ เพียงแต่ยังต้องให้เจ้าช่วยอะไรสักหน่อย”
ลู่เหล่าลิ่วตกใจ เขารู้จักซ่งเสวียนมานาน ในใจย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง ทั้งยังชอบทำการค้ากับขุนนางระดับสูงและตระกูลร่ำรวย ล้วงเงินจากหม้อน้ำมัน* เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ย่อมรู้ว่าซ่งเสวียนคิดการค้าออกอีกคราแล้ว
เพียงแต่ลู่เหล่าลิ่วกลับยังลังเลอยู่บ้าง “ท่านครึ่งเซียน ข้ารู้ว่าท่านเป็นผู้มากความสามารถ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องในบ้านของฮ่องเต้ ท่านจะเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือไม่”
ซ่งเสวียนสะบัดแขนเสื้อ ยิ้มแย้มสบายอารมณ์ “โชคลาภหาได้จากวิกฤต เรื่องทั้งหลายข้าล้วนเป็นคนทำ ไม่มีทางปล่อยให้สาวถึงตัวเจ้าแน่นอน หรือเจ้ายังไม่เชื่อใจข้า? อีกอย่างขืนปล่อยให้พวกเขาสืบหาต่อไปไม่จบไม่สิ้น ถนนสายนี้ของเรามีพี่น้องตั้งมากมาย ไม่แน่ว่าอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นกับใครสักคน” เขาเคาะกระดาษยันต์ที่วางกระจัดกระจายบนโต๊ะ “ข้าคำนวณมาแล้ว หากต้องการเลี่ยงภยันตราย มิสู้กวนน้ำในบ่อนี้ให้ขุ่นไปเลยจะดีกว่า”
เมืองฉางหนิงคือหนึ่งในเมืองที่วุ่นวายที่สุดในแถบทางเหนือ ถนนมืดที่พวกเขาอยู่เกี่ยวโยงถึงผู้คนจำนวนมาก ซ้ำยังเป็นเส้นสายกิจการของลู่เหล่าลิ่วในหลายปีมานี้ ใต้พรมมีความลับซ่อนอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าใด ซ่งเสวียนมั่นใจว่าลู่เหล่าลิ่วจะต้องไม่ยอมให้ถนนสายนี้ถูกค้นแน่ถึงได้พูดออกมา
และเป็นดังคาด ลู่เหล่าลิ่วพิพักพิพ่วนอยู่สักพักก็กัดฟันพยักหน้า “ข้าเชื่อแล้ว ท่านว่ามาเถิด จะให้ข้าช่วยอย่างไร”
* ล้วงเงินจากหม้อน้ำมัน หมายถึงการหาเงินในสถานการณ์ที่ยากลำบากหรืออันตรายมาก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
