everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 15 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 15
พญายมราช
พักนี้เมืองฉางหนิงมีข่าวลือเพิ่มมาอีกข่าว ว่ากันว่าหลายวันก่อนครึ่งเซียนซ่งผู้ร่อนเร่ผ่านมาไม่เพียงทำนายแม่นยำถึงเก้าในสิบ แต่ยังตามหาเด็กจากสกุลจูผู้มีฐานะร่ำรวยทางตะวันออกซึ่งถูกลักไปขายจนพบอีก
แม้ไม่รู้ว่าข่าวลือมีมูลมาจากที่ใด แต่เห็นได้ชัดว่าครึ่งเซียนซ่งทำนายได้แม่นยำยิ่ง ระหว่างที่เสาะหาเด็กยังเกิดเหตุพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีสีสันยิ่งกว่านิทานเสียอีก
หลายวันมานี้เมืองฉางหนิงบังคับใช้กฎเคร่งครัด คนมีเส้นสายอย่างลู่เหล่าลิ่วอาจพอรู้ข่าวคราววงในอยู่บ้าง แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดาแล้วกลับไม่รู้สิ่งใดเลย
บัดนี้ทุกคนต่างว่างงาน ย่อมมีเวลาหยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดคุยกันสนุกปาก
เรื่องราวของซ่งเสวียนถูกเล่าขานจากทางตะวันออกไปถึงฝั่งตะวันตกของเมือง ทั้งยังมีคนไปสืบข่าวจากเรือนของเศรษฐีสกุลจูโดยตรง สุดท้ายถึงพบว่าเขาตามหาบุตรสาวที่ถูกลักพาตัวไปขายเมื่อสามปีก่อนกลับมาได้จริงๆ บัดนี้ในเรือนกำลังจัดงานรื่นเริงขนานใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองกันอยู่
มิหนำซ้ำยังมีคนเคยพบหญิงสาวที่ได้รับการช่วยเหลือกลับมาผู้นั้นด้วย นางอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี อิริยาบถงดงาม เมื่อพูดถึงครึ่งเซียนซ่งก็เอ่ยเรียกว่าท่านผู้มีพระคุณ ดูซาบซึ้งใจจนน้ำตาแทบจะกลั่นเป็นสาย
หลังชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ซ่งเสวียนก็เปลี่ยนจากการวางตัวเงียบเชียบเรียบร้อยมาเปิดแผงรับทำนายชะตา นอกจากจะย้ายร้านเข้าไปในตลาดแล้ว เขายังเลือกเปิดในช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านมากที่สุดด้วย
เขาเขียนธงทำนายชะตาด้วยอักษรตัวโตว่า
‘ดูโหวงเฮ้งทำนายชะตา ชี้ปริศนาแนะแนวทาง’
ข้างกันยังมีตัวอักษรใหญ่กว่าเขียนเอาไว้ว่า
‘ครึ่งเซียนซ่ง’
ทำราวกับกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นฉายาเขา
วิธีสร้างชื่อเสียงของเขาง่ายดายยิ่ง ไม่ได้ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋นคนอื่นๆ เลยสักนิด
ซ่งเสวียนเพียงสุ่มเลือกคนสีหน้าอมทุกข์สักคนที่อยู่ในฝูงชนแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นท่านดูหม่นหมอง สีหน้าเคร่งเครียด เกรงว่าช่วงนี้จะมีปมอันยากจะแก้ไข ไม่ทราบว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่”
เวลานี้ในหมู่ฝูงชนก็จะมีคนที่ลู่เหล่าลิ่วส่งมาคอยกระตุ้นอยู่ “เจ้าเป็นนักพรตเต๋ามาจากที่ใดกัน ไม่กลัวแปดเปื้อนโชคร้ายรึ”
“เจ้าไม่รู้อะไร นี่คือครึ่งเซียนซ่งเชียวนา คนที่เขาว่าทำนายสิบครั้งถูกต้องเก้าครั้งผู้นั้น”
ชาวบ้านเมืองฉางหนิงส่วนมากเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับซ่งเสวียนมาก่อน พอได้ยินคำพูดเมื่อครู่ก็เริ่มรุมเข้ามาร่วมชมความคึกคักทันที
แล้วชื่อเสียงของเขาก็ถูกสร้างขึ้นด้วยประการฉะนี้
รอกระทั่งฝูงชนมารุมล้อมเนืองแน่นจนแทบไม่มีช่องให้น้ำไหลผ่าน ความสามารถหลักของซ่งเสวียนก็ได้เปิดใช้งาน
เขาอ่านความทรงจำและใช้กลเม็ดหลอกลวงคนไปด้วย
ซ่งเสวียนไม่จำเป็นต้องเล่นกลพิสดารอย่างนักต้มตุ๋นคนอื่นๆ ก็ทำนายได้ถูกต้องทุกประการ ผู้มารุมล้อมได้ฟังถึงกับพากันจุปาก
ชื่อเสียงของซ่งเสวียนยิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก
ทุกวันเขาจะทำนายชะตาเพียงสองชั่วยาม ครบกำหนดแล้วก็เก็บร้าน ไม่ยอมเกินเวลาแม้เพียงนิด สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปจนถึงวันที่สาม หน้าแผงของเขาก็มีบุรุษผู้หนึ่งมายืนอยู่
อีกฝ่ายสวมอาภรณ์ผ้าไหมอย่างคนที่เกิดในตระกูลเศรษฐี ในมือมีสร้อยประคำพระพุทธห้อยอยู่เส้นหนึ่ง ลูกประคำถูกลูบถูจนเงาวับ เห็นได้ชัดว่าเป็นของติดกาย ยามเดินเหินท่วงท่าเขาดูสง่างามน่าเกรงขาม ด้านหลังมีผู้ติดสอยห้อยตามสองสามคน แต่ละคนอกผายไหล่ผึ่ง รูปร่างกำยำ
ซ่งเสวียนหรี่ตา ก่อนจะสังเกตเห็นรองเท้าขุนนางที่ผู้ติดตามหลายคนนั้นสวมอยู่
คนที่เขารอมาแล้ว
ซ่งเสวียนเพิ่งส่งชายที่ต้องการทำนายชะตาแปดอักษรคนหนึ่งกลับไป เวลานี้กำลังเริ่มเก็บร้านอย่างไม่เร่งร้อน
บุรุษผู้นั้นก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อกดมือของซ่งเสวียนเอาไว้ “อาจารย์โปรดรั้งฝีเท้าก่อน”
ซ่งเสวียนมองปลายนิ้วที่กำลังแตะต้องตัวเขานิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน กลับเป็นอีกฝ่ายที่รู้สึกว่าตนปฏิบัติตัวค่อนข้างไม่เหมาะสมจึงผละออกพร้อมถอยกลับไปก้าวหนึ่ง
ตอนนี้ซ่งเสวียนถึงเอ่ยตอบเขา “หมดเวลาแล้ว ไม่ทำนายแล้ว เชิญมาพรุ่งนี้เช้า”
บุรุษผู้นั้นวางป้ายคำสั่งของทางการลงบนโต๊ะ “ยังต้องขอให้อาจารย์ช่วยอะลุ้มอล่วย”
ซ่งเสวียนไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตามอง เพียงดันป้ายคำสั่งนั้นคืนไป “กลับไปเถิด ข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้าน มิบังอาจล่วงเกินทางการ”
พูดไม่ทันขาดคำซ่งเสวียนก็รู้สึกหนักอึ้ง ผู้ติดตามด้านหลังสองคนกำลังกดบ่าเขาเอาไว้ ส่วนบุรุษผู้นั้นเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาจารย์แล้ว”
ซ่งเสวียนถูกหิ้วปีกไปยังเหลาสุราใกล้เคียง ทั้งชั้นสองคล้ายถูกอีกฝ่ายเหมาเอาไว้หมด แม้แต่เงาคนสักคนยังไม่มี มีเพียงสุราอาหารเต็มโต๊ะ
บุรุษผู้นั้นนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน หลังรินเองดื่มเองไปสามจอกก็ยิ้มพลางเอ่ย “ได้ยินเรื่องเล่าขานของอาจารย์ซ่งมานาน เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนเสียที ข้าขอลงโทษตนเองด้วยการดื่มสามจอก”
กระทั่งตะเกียบซ่งเสวียนก็ไม่ได้แตะต้องสักนิด “ท่านกล่าวหนักไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้รู้วิชาอาคมในยุทธภพ จะกล้าให้คนของทางการลำบากได้อย่างไร”
อีกฝ่ายเห็นซ่งเสวียนเอ่ยเช่นนี้ก็วางจอกสุราลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มสามส่วน “อาจารย์ ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
“ใต้เท้าเป็นทหาร” ซ่งเสวียนกอดแส้ขนจามรีอันโปรดของตน ท่าทางนิ่งสงบนั้นดูสูงส่งเหนือชาวบ้านทั่วไปอยู่บ้าง “เบื้องบนมีดารามงคล ใบหน้าดุดัน เส้นทางขุนนางคล่องตัว ชะตาวังสุ่มเสี่ยง โหงวเฮ้งของใต้เท้าเกรงว่าจะได้โชคลาภวาสนาจากภยันตราย”
รอยยิ้มของบุรุษผู้นั้นพลันเลือนหาย สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน
ซ่งเสวียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเป็นใคร คนผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการหลัวที่เบื้องบนส่งลงมาปราบโจรป่า…พญายมราช* นั่นเอง
คนของจวนว่าการที่ลู่เหล่าลิ่วซื้อตัวไว้ช่วยกระพือข่าวความพิสดารของซ่งเสวียนไปถึงหูผู้บัญชาการหลัว และสิ่งที่พวกเขารอก็คือช่วงเวลานี้นี่เอง อันที่จริงตั้งแต่เท้าของผู้บัญชาการหลัวเหยียบข้ามประตูเมือง อันธพาลท้องถิ่นที่ดักรออยู่หน้าจวนว่าการก็แล่นมาบอกข่าวคราวพวกเขาแล้ว
นี่คือข้อดีของการร่วมมือกับผู้มีอำนาจในท้องถิ่น
พญายมราชผู้นั้นจ้องเขาเขม็ง “อาจารย์ยังดูอะไรได้อีก”
“ข้าดูได้ว่าหว่างคิ้วของใต้เท้ามีความกังวลขุ่นมัว คาดว่าที่มาหาข้าคงไม่ใช่เรื่องดีอันใด” ซ่งเสวียนแย้มยิ้ม “หากท่านยังต้องการถามอีกล่ะก็ เกรงว่าคงต้องล่วงเกินแล้ว”
พญายมราชต้องการถามอีกดังคาด ซ่งเสวียนจึงอาศัยความทรงจำส่วนหนึ่งที่ได้มาก่อนหน้ากล่าวเรื่องไม่สลักสำคัญที่พญายมราชปิดบังเอาไว้โดยแต่งเติมให้ฟังดูลึกลับยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าเขาใช้ลักษณะของฟ้าดินมาหลอกลวงคนโดยกล่าวอ้างในนามของดวงชะตา
พญายมราชผู้นั้นใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว สุดท้ายก็หัวเราะลั่น “อาจารย์มีความสามารถดังคาด ไม่ขอปิดบัง ข้าคือหลัวฉางซานผู้บัญชาการทหารเมืองอันติ้ง ที่มาในครานี้เพราะได้ยินอภินิหารของท่านจึงใคร่ขอหารือ”
ซ่งเสวียนทำสีหน้าจนใจ “ใต้เท้าสถานะสูงส่ง ข้าจะมีสิทธิ์อันใดปฏิเสธเล่า”
พูดกันตามตรงซ่งเสวียนไม่คิดจะปฏิเสธสักนิด เขาทำตัวให้เข้าถึงยากมามากเพียงพอแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ตั้งตารอคอยอยู่
พญายมราชไม่รีบร้อนบอกความต้องการของตน เพียงชวนให้ซ่งเสวียนดื่มสุรากินอาหาร ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้ดุดันโหดเหี้ยมดังคำเล่าลือสักนิด
หลังดื่มสุราไปไม่น้อย พญายมราชก็เข้ามาโอบบ่าซ่งเสวียนพลางเอ่ยเสียงอ้อแอ้ “อะ…อาจารย์ซ่ง พูดตามตรงเลยนะ ครานี้ข้าเผชิญปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว”
สีหน้าและน้ำเสียงของซ่งเสวียนไม่เปลี่ยน “ปัญหาใดรึ”
พญายมราชหัวเราะ “ฮี่ๆ” แล้วว่า “อาจารย์ซ่งก็ทำนาย…ทำนายชะตาได้ไม่ใช่หรือ หากท่านทำนายถูกข้าจะบอกท่าน”
ซ่งเสวียนเห็นเขาเมามายจนลิ้นพันกันไปหมดจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้า ท่านเมาแล้ว”
“เมา? ข้าไม่เมา” พญายมราชทุบอกตนเองระบายความทุกข์ออกมา “อาจารย์ ท่านไม่เข้าใจ เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง หากเกิดข้อผิดพลาดใดขึ้นมา พี่น้องข้าทั้งหมดต้อง…หัวหลุดจากบ่าไปพร้อมกับข้าแน่”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็เรอจนกลิ่นสุราคละคลุ้ง
“อาจารย์ซ่ง ข้าอยากตามหาคนผู้หนึ่ง หากท่านช่วยข้าตามหาจนพบ อย่าว่าแต่ค่าครูเลย ต่อให้ต้องการภูเขาเงินภูเขาทองข้าก็ยกมาให้ท่านได้”
ซ่งเสวียนเห็นว่าเขาคล้ายจะเมามากแล้วจริงๆ จึงเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าโปรดยื่นมือออกมา”
พญายมราชหงายมือวางไว้บนโต๊ะ ทว่าชั่วขณะที่ซ่งเสวียนยื่นมือไปแตะกลับถูกอีกฝ่ายจับมือเอาไว้พร้อมหัวเราะหยอกเย้า “อาจารย์ซ่ง หาคนต้องดูลายมือด้วยหรือ ข้าไม่ยักเคยได้ยินมาก่อนเลย นี่ท่านเห็นว่าข้าดูสง่างามไม่ธรรมดาจึงคิดจะเอาเปรียบกันสินะ”
ซ่งเสวียนสีหน้าไม่เปลี่ยน “ใต้เท้ากล่าวให้ขันแล้ว ดวงชะตาแปดอักษร ดูโหงวเฮ้งลายมือ ไม่ว่าสิ่งใดล้วนใช้คำนวณทำนายชะตาได้ทั้งสิ้น เพียงขึ้นอยู่กับทักษะคนเท่านั้น”
พญายมราชถือจอกสุราหัวเราะร่า หลังผ่านไปครู่หนึ่งถึงยอมปล่อยมือซ่งเสวียน
ซ่งเสวียนล้วงกระดองเต่าออกมาเขย่ารอบหนึ่ง จากนั้นก็ถามถึงดวงชะตาแปดอักษรของคนที่อีกฝ่ายตามหา
เป็นดังคาด รายละเอียดตรงกับดวงชะตาแปดอักษรของจีอวิ๋นซีทุกประการ
ครานี้ซ่งเสวียนจึงค่อยๆ เอ่ย “ขอบังอาจถามใต้เท้า คนที่ท่านต้องการตามหาเป็นมิตรหรือศัตรู”
พญายมราชเผยอเปลือกตาขึ้น “เป็นมิตรแล้วอย่างไร เป็นศัตรูแล้วอย่างไร”
“หากเป็นศัตรู ข้าก็ขอยินดีกับใต้เท้าด้วย แต่หากเป็นมิตร เกรงว่าข้าคงต้องแสดงความเสียใจกับท่านแล้ว” ซ่งเสวียนเลื่อนเหรียญทองแดงไปบนโต๊ะทีละเหรียญ ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย
สีหน้าของพญายมราชเปลี่ยนไปทันที “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ซ่งเสวียนเอ่ยต่อ “คนที่ใต้เท้าต้องการตามหาดวงดาวแห่งชะตาเลือนราง ไอโลหิตพุ่งขึ้นฟ้า เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นแล้ว”
“ท่านพูดจริงหรือ” พญายมราชดูสงสัย
ซ่งเสวียนนับนิ้วช้าๆ “ข้าเป็นเพียงคนทำนายชะตา จะเชื่อหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับตัวใต้เท้าเอง กระนั้นข้าขอโน้มน้าวใต้เท้าสักประโยค เคราะห์ของคนผู้นั้นจบสิ้นไปนานแล้ว บัดนี้น่ากลัวว่าจะตายตกไปเรียบร้อย หากคนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับใต้เท้าก็อย่าได้ตามหาต่อจะดีกว่า ใต้เท้ามีเคราะห์หนึ่งอยู่ เกรงว่าจะกระทบถึงเรื่องนี้”
พญายมราชเอ่ย “ข้าจะหาหรือไม่ท่านไม่ต้องสนใจ ในเมื่อท่านมีความสามารถก็บอกข้ามาว่าต้องไปหาที่ใด”
ซ่งเสวียนเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “ยามนี้คนผู้นั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ หาในป่าโบราณ หาในธารว่างเปล่า”
พูดจบก็เดินออกไปอย่างผึ่งผาย ผู้ติดตามสองคนของพญายมราชยืนตัวตรงอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นซ่งเสวียนเริ่มเคลื่อนไหวก็ยื่นมือออกมากั้น
ซ่งเสวียนไม่พูดอะไร เพียงเห็นพญายมราชส่งสายตามา สองคนนั้นก็ยอมล่าถอย ทั้งยังยัดก้อนเงินใส่มือให้เขาถุงหนึ่ง
“ส่งอาจารย์กลับ” พญายมราชว่า “อาจารย์ วันหน้าข้าจะไปให้ท่านชี้แนะอีก”
“ได้” ซ่งเสวียนหรี่ตา หลังกระซิบบางอย่างกับผู้ติดตามสองคนนั้นเป็นการทิ้งท้ายก็หันกายจากไป
รอจนซ่งเสวียนหายลับตาไปแล้ว พญายมราชที่ยังอยู่ในห้องถึงเอ่ยเรียก “เข้ามาให้หมด”
เมื่อเหล่าผู้ติดตามเข้ามาก็เห็นพญายมราชนั่งเท้าคาง ส่วนมืออีกข้างถือตะเกียบคีบถั่วลิสงกิน
แม้ไอสุราลอยคลุ้งอยู่ทั่วร่าง ทว่าดวงตากลับกระจ่างชัด ไหนเลยจะมีความเมามายปนอยู่
“หมอดูผู้นั้นไปแล้วรึ”
“เรียนใต้เท้า ไปแล้วขอรับ”
พญายมราชกล่าวลอยๆ “ประหลาดนัก หมอดูผู้นั้นมีความสามารถจริง”
ทุกคนล้วนไม่กล้าเอ่ยตอบ
พญายมราชคีบกับข้าวกินอีกสองสามคำแล้ววางตะเกียบ “พวกเจ้ารีบออกนอกเมือง ไปตามหาทางตะวันออกเฉียงใต้ให้ข้า”
เวลานี้ท้องฟ้ามืดมิด อาศัยแสงจันทร์เสาะหาคล้ายไม่ใช่แผนการที่ดีนัก เพียงแต่ปกติแล้วพญายมราชขึงขังน่าเกรงขามยิ่ง ไม่มีใครกล้าสงสัยมากความ
ผู้ติดตามค้อมกายเอ่ย “เช่นนั้นเรื่องเสาะหาในเมือง…”
“ชะลอไปก่อนสักสองวัน ไม่รีบ” พญายมราชเอ่ย “ ‘หาในป่าโบราณ หาในธารว่างเปล่า’ ขอดูหน่อยเถิดว่าข้าจะอะไรพบบ้าง”
* พญายมราช ในภาษาจีนคือหลัวเหยียนหวาง ที่ผู้บัญชาการหลัวได้ฉายานี้มาเป็นเพราะชื่อแซ่ของเขามีคำว่า ‘หลัว’ เหมือนกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
