เรื่องเด่นวันนี้
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 8 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 8
ออกจากป่า
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ซ่งเสวียนกล่าวมิใช่คำปด พวกเขาทั้งหมดจึงเดินอาดๆ ไปยังห้องเก็บฟืน
เวลานี้ห้องเก็บฟืนมีเพียงแสงอาทิตย์สาดเฉียงเข้ามาจากช่องว่างที่หน้าต่าง ละอองฝุ่นลอยระบำอยู่ในลำแสง ส่วนจีอวิ๋นซีกำลังพิงผนัง ดวงตาหลุบลง ใบหน้าด้านข้างงดงามไม่ต่างอะไรกับใบหน้าตรง
ซ่งเสวียนพอรู้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาดี แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่ารูปลักษณ์จะน่าดึงดูดเพียงนี้ มาลองใคร่ครวญดูคงเป็นเพราะฮ่องเต้อภิเษกสมรสกับสตรีรูปงาม บุตรชายถึงได้เกิดมาเป็นเด็กหนุ่มงามหมดจดดั่งหยกดั่งแพรไหม
เพียงแต่รองหัวหน้ามีตาหามีแววไม่ เขาเดินเข้าไปถามเสียงดัง “ข้าถามหน่อย เจ้าเป็นบุตรชายแม่ทัพพิทักษ์อุดรรึ”
จีอวิ๋นซีไม่เข้าใจ เขาหันมองซ่งเสวียน อยากรู้ว่าในน้ำเต้าของอีกฝ่ายขายยาอะไร* ไว้
ในสายตาคนอื่นกลับดูเหมือนจีอวิ๋นซีกำลังถามซ่งเสวียนว่าขายความลับอะไรของตนไปบ้าง
รองหัวหน้าเป็นคนป่าเถื่อน เขาชักดาบออกมาพาดบนคอจีอวิ๋นซีแล้วกระชากเสียงเอ่ย “หากเจ้าไม่พูด เหล่าจื่อจะบั่นหัวเจ้าเสีย”
จีอวิ๋นซีจึงตอบ “ข้าไม่ใช่”
“บิดาเจ้าเป็นใคร” หัวหน้าใหญ่ถามแทรก
จีอวิ๋นซีย่อมไม่พูดความจริง มิหนำซ้ำยังตอบกลับด้วยความเงียบ
หัวหน้าใหญ่ครุ่นคิดพลางส่งสายตาให้รองหัวหน้า ฝ่ายหลังจึงค้นตัวจีอวิ๋นซีอย่างหยาบโลน
ของมีค่าในตัวจีอวิ๋นซีโดนค้นไปแล้วรอบหนึ่งตั้งแต่ตอนที่ถูกจับมา เขาระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เครื่องประดับใดๆ ล้วนปราศจากร่องรอยว่าทำมาจากในวัง ตอนนี้ทั้งตัวเหลือเพียงถุงผ้าไหมที่ซ่งเสวียนให้เขาครานั้น เพราะมันไม่มีราคาค่างวดจึงถูกปล่อยทิ้งเอาไว้
รองหัวหน้าส่งถุงผ้าไหมให้หัวหน้าใหญ่ ก่อนจะมองซ่งเสวียนด้วยสีหน้าสงสัยไม่คลาย “ไม่ใช่ว่าเจ้าหลอกลวงพวกเรานะ”
หัวหน้าใหญ่เปิดถุงผ้าไหมออก เมื่อพบว่าข้างในคือเงินใบมีดที่ถูกธนูปักจนผิดรูป สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปทันใด “คุณชายไม่เคยหลอกพวกเรา”
ยุคนี้คุณชายตระกูลพ่อค้าร่ำรวยล้วนพกกุญแจทองหยกงามติดกาย มีเพียงทายาทแม่ทัพเท่านั้นที่พกเงินใบมีดเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ต่อให้ไม่ใช่บุตรชายแม่ทัพพิทักษ์อุดรก็ต้องเป็นทายาทของแม่ทัพใหญ่สักนาย
ดังนั้นความเชื่อใจที่มีอยู่แล้วสามส่วนจึงอดเปลี่ยนเป็นเจ็ดส่วนไม่ได้
ทั้งสามกลับมายังโถงข้างโดยไม่พูดอะไร หัวหน้าใหญ่เดินวนเวียนไปมา ทั้งกายแผ่กลิ่นอายกระวนกระวายว้าวุ่น
รองหัวหน้าเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่ใหญ่มีสิ่งใดให้ลังเลอีก ในเมื่อพวกเราล่วงเกินเขาไม่ได้ก็เอาของคืน ปล่อยตัวเขากลับไปก็สิ้นเรื่อง”
หัวหน้าใหญ่ส่ายหน้าอีก “จะปล่อยเขาลงจากเขาอย่างเอิกเกริกไม่ได้ เรายังไม่ถึงเวลาแตกหักกับจวนว่าการ”
หัวหน้าใหญ่เดินวนอีกหลายรอบ ในที่สุดก็หยุดฝีเท้าก่อนหันมาพูดกับซ่งเสวียนว่า “น้องซ่งยอมบอกเรื่องนี้แก่เราสองพี่น้อง คาดว่าเจ้าคงเป็นคนเปิดเผยจริงใจคนหนึ่ง”
“หัวหน้าใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว เพียงแต่หัวหน้าทั้งสองล้วนเป็นยอดบุรุษ ไม่เคยดูแคลนข้าน้อยซึ่งเป็นบัณฑิตต้อยต่ำ ข้าจึงไม่อยากให้หัวหน้าทั้งสองถูกคนวางแผนตลบหลัง ต้องประสบภัยพาลก็เท่านั้น” เรื่องฝีปากซ่งเสวียนเก่งกาจเสมอมา หากบนเขานี้มีเพียงรองหัวหน้าที่ตรงไปตรงมา เขาคงไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองคิดเช่นนี้
ทว่าหัวหน้าใหญ่ตรงหน้าเป็นพวกภายนอกหยาบกระด้างภายในละเอียดอ่อน คิดอ่านสิ่งใดล้วนถี่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นบุรุษยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ซ่งเสวียนย่อมไม่กล้าประมาทเป็นธรรมดา
หัวหน้าใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้เป็นเพราะข้าประมาทไปชั่วขณะ นำพาหายนะมาให้ เดิมทีไม่เกี่ยวข้องกับน้องซ่งเลย แต่เจ้ายินยอมบอกเรื่องนี้แก่เราสองพี่น้องย่อมถือเป็นน้ำใจยิ่ง เพียงแต่บัดนี้หากมีคนรู้น้อยยิ่งดี คงต้องรบกวนน้องซ่งอีกสักคราแล้ว”
ซ่งเสวียนผายมือออกมาเล็กน้อย “หัวหน้าใหญ่เชิญกล่าว”
“คงต้องขอให้น้องซ่งอารักขาคุณชายท่านนั้นลงเขา เดินทางไปให้ไกลแสนไกล” หัวหน้าใหญ่คิดคำนวณอย่างดี เขาทั้งไม่ยินยอมล่วงเกินแม่ทัพหลินและทางการ หากเป็นเช่นนี้ก็บอกเพียงว่าตัวประกันสองคนหลบหนีไปเอง ในเมื่อจวนว่าการไม่เคยบอกกล่าวเรื่องภายใน อีกฝ่ายย่อมไม่อาจกล่าวโทษเขาได้
เรื่องพวกนี้เขาย่อมไม่กล้าส่งโจรป่าไปทำ หากถูกทางจวนว่าการจับได้ แผนตบตาทั้งหมดก็จะถูกเปิดโปงทำให้เรื่องราวแย่ลงไปอีก ฉะนั้นคนที่ถูกจับขึ้นเขามาโดยไม่มีผู้ใดจำได้อย่างซ่งเสวียนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เท่านี้ก็นับว่าหัวหน้าใหญ่ขึ้นมาเดินบนเส้นทางที่ซ่งเสวียนปูเอาไว้โดยสมบูรณ์แล้ว
“เพียงแต่เรื่องนี้คงต้องรบกวนน้องซ่งมากทีเดียว พวกเราสองพี่น้องขอขอบใจเจ้าล่วงหน้า”
ซ่งเสวียนลอบยินดีอยู่ในใจ แต่สีหน้าท่าทางกลับยังคงสงบราบเรียบไม่เปลี่ยน “เรื่องเล็กน้อยราวกับยกมือเท่านั้น ไยต้องถึงขั้นเอ่ยปากขอบคุณ”
วันนั้นหลังตกลงกันเรียบร้อย หัวหน้าทั้งสองก็เชื้อเชิญซ่งเสวียนมาร่วมงานเลี้ยงมื้อหนึ่ง เพียงแต่กลัวจะทำเสียเรื่องพวกเขาจึงไม่ดื่มสุรา กระนั้นก็ยังยินดีปรีดาทั้งเจ้าภาพและแขก
หัวหน้าใหญ่ลอบนำข้าวของติดกายจีอวิ๋นซีมาห่อส่งให้ซ่งเสวียนอย่างลับๆ ทั้งยังมอบก้อนเงินประทับตราสองถุงให้เป็นค่าเดินทางพร้อมกระซิบว่า “น้องซ่ง เจ้าเป็นคนใจถึงและเป็นผู้มีพระคุณของค่ายโจรเรา หากวันหน้าพบกันข้าต้องดื่มกับเจ้าให้สาแก่ใจสักยก ไม่เมาไม่เลิกรา”
ซ่งเสวียนชื่นชมจิตใจของอีกฝ่ายนัก…แน่นอนว่าย่อมชื่นชมก้อนเงินลายเกล็ดหิมะหนักๆ สองถุงนั้นยิ่งกว่า ปากจึงกล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ซ่งเสวียนถือถุงเงินหนักอึ้งบอกลาหัวหน้าทั้งสอง หลังกลับมายังห้องเก็บฟืนก็ส่งห่อของให้จีอวิ๋นซีแล้วยิ้มเอ่ย “คุณชาย เก็บของๆ ลงเขาไปกับข้า”
จีอวิ๋นซีเงยขึ้นมองเขา ดวงตานั้นสุกสกาวขึ้นหลายส่วน “ซ่งเสวียน ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นลูกไม้ของเจ้า”
ซ่งเสวียนรีบกดนิ้วลงบนริมฝีปากจีอวิ๋นซีแล้วเอ่ยเสียงเบา “ออกไปก่อนค่อยพูด”
รอจนฟ้ามืดสนิทซ่งเสวียนก็ผลักประตูห้องเก็บฟืน เป็นดังคาด ประตูที่เดิมเคยลงกลอนไว้กลับเปิดออกอย่างง่ายดาย
ซ่งเสวียนถือกล่องเก็บของด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างจูงจีอวิ๋นซี ค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางที่ร่วมกันวางแผนกับหัวหน้าทั้งสอง
ทั้งคู่ไม่กล้าเดินทางหลัก กล้าเพียงใช้ทางเล็กด้านข้างเพื่อลงจากเขา
เดิมทีบริเวณนี้ก็ไม่ได้มีถนน เป็นเพียงทางดินที่ถูกคนเหยียบย่ำจนกลายเป็นแนวอยู่ในป่า เหนือศีรษะมีกิ่งไม้ใบไม้พาดสลับซ้อน ตัดแสงจันทร์ให้กลายเป็นจุดเล็กย่อย
จู่ๆ จีอวิ๋นซีก็เอ่ยทำลายความเงียบ “ซ่งเสวียน เจ้าโน้มน้าวโจรป่าพวกนั้นด้วยวิธีใดกัน”
ในตอนที่ซ่งเสวียนบอกว่าจะพาเขาลงเขา อีกฝ่ายถามแค่เรื่องเกี่ยวกับขุนนางที่ชายแดน ไม่ได้บอกแผนการโดยละเอียดแต่อย่างใด เพียงกำชับให้จีอวิ๋นซีตอบสนองตามสถานการณ์
ซ่งเสวียนยังคงเดินไปด้านหน้า เขาเองก็ไม่ชอบที่ราตรีนี้เงียบงันเกินไป “ข้าบอกว่าท่านเป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหลิน” จากนั้นก็สารภาพคำพูดเหลวไหลทั้งหมดที่ตนเคยกล่าวไป
จีอวิ๋นซีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะมองจุดสำคัญของแผนการนี้ออก เขาอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “ต้องขอบคุณที่เจ้าฝีปากเก่งกล้าจนพวกเขาเชื่อ และขอบคุณที่กล้าเปลี่ยนบิดาให้ข้าด้วย”
ซ่งเสวียนหัวเราะตาม “เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ขอคุณชายโปรดให้อภัย”
ตลอดทางซ่งเสวียนไม่เคยหันหลังกลับมา จีอวิ๋นซีได้ยินเพียงเสียงนุ่มนวลกระจ่างหูของเขา น้ำเสียงไม่เร่งร้อนไม่ยืดยาดนั้นรับกับแสงจันทร์อย่างพอดิบพอดี
ไม่รู้สิ่งใดดลใจ จีอวิ๋นซีพลันเอ่ยถามว่า “ซ่งเสวียน เจ้ารู้ว่าข้าคือใครใช่หรือไม่”
ซ่งเสวียนชะงักฝีเท้า
ในป่าพลันได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้
จีอวิ๋นซีสังเกตเห็นหลังคอเรียวยาวของซ่งเสวียน เมื่อผิวขาวเนียนละเอียดอยู่ใต้แสงจันทรายิ่งดูคล้ายหยกนุ่มไร้รอยด่าง ต้องถูกลูบไล้เล่นมาเป็นร้อยพันครั้งจึงเกิดเป็นพื้นผิวเรียบลื่นทอแสงเรืองเช่นนี้ได้
“ใช่แล้ว” ลูกกระเดือกของซ่งเสวียนขยับเล็กน้อย เขายังคงไม่หันกลับมา เพียงค่อยๆ คลายมือที่จับจีอวิ๋นซีออก “ซ่งเสวียนมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงส่งคุณชายเข้าเมืองไปได้ ซ่งเสวียนก็จะขอลา”
ว่าแล้วซ่งเสวียนก็ก้าวออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเดินไม่พูดจา จีอวิ๋นซีลากขาที่บาดเจ็บของตนกะเผลกตามไป
ชั่วขณะที่จีอวิ๋นซีเอ่ยออกมา เขาก็กระจ่างแจ้งทุกเบาะแส
หากมิใช่เพราะล่วงรู้สถานะองค์ชายของอีกฝ่าย เขาจะปั้นน้ำเป็นตัวสร้างคำโกหกเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร จะวางแผนเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร
ผู้อื่นอาจคาดเดาสถานะของจีอวิ๋นซีไม่ถูก แต่ซ่งเสวียนสามารถทำนายชะตาได้ กระทั่งคราวเคราะห์หลายครั้งหลายครายังไม่รอดพ้นสายตา แล้วจะตรวจไม่พบสถานะได้อย่างไร
ไม่รู้ในใจซ่งเสวียนคิดสิ่งใดอยู่ ทั้งคู่เพียงเดินทางต่อไปเช่นนี้จนกระทั่งมาถึงตีนเขา ต้นไม้พลันเบาบางลง สิ่งที่สายตามองเห็นมีเพียงม่านรัตติกาลมืดมิดกับจันทราเป็นเงินยวง
พวกเขาเพิ่งก้าวเท้าออกจากป่าก็ปะทะเข้ากับคนผู้หนึ่ง “ซ่งเสวียน!”
* มาจากสำนวน ‘ในน้ำเต้าขายยาอะไร’ หมายถึงมีความคิดหรือแผนการบางอย่างซ่อนอยู่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
