everY
ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1 บทที่ 9 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
ประกายเลือด
“ซ่งเสวียน!”
ซ่งเสวียนได้ยินเสียงนี้ก็อดตากระตุกไม่ได้ เขาเงยหน้ามอง พบว่าเป็นอู๋ซื่อผู้รับหน้าที่ส่งข้าวให้พวกเขาหลายครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ความจริงก็บังเอิญนัก หัวหน้าทั้งสองของค่ายโจรต้องการให้ซ่งเสวียนกับจีอวิ๋นซีออกไปโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น ก่อนหน้านี้จึงให้อู๋ซื่อผู้รับหน้าที่เฝ้าห้องเก็บฟืนหยุดงานพักผ่อน บอกเพียงว่าคืนนี้ไม่ต้องเฝ้าแล้ว
คิดไม่ถึงว่าอู๋ซื่อผู้นี้นานๆ ทีจะมีเวลาว่างจึงลงเขามาดื่มสุราเข้าบ่อน เที่ยวเล่นจนดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางฟ้าค่อยใช้ทางเล็กเดินกลับค่าย
จากนั้นก็มาพบซ่งเสวียนและจีอวิ๋นซีโดยบังเอิญ
พวกเขาได้ยินอู๋ซื่อเอ่ยถาม “เจ้า…พวกเจ้าเหตุใดมาอยู่ที่นี่”
ซ่งเสวียนลอบคิดในใจว่าท่าไม่ดีแต่สีหน้ายังคงแย้มยิ้ม “หัวหน้าใหญ่รังเกียจว่าพวกเราสองคนเปลืองข้าว ไร้ประโยชน์ จึงตัดสินใจไล่ลงเขามา”
อู๋ซื่อดื่มสุรามาเล็กน้อย เวลาพูดจาจึงฟังดูเหมือนลิ้นคับปาก ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย “หัวหน้าใหญ่ไม่ได้ต้องการจะสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้าหรอกรึ”
ซ่งเสวียนว่า “ข้างล่างนี่ยังมีมารดาให้เลี้ยงดู หัวหน้าใหญ่ไม่อยากทำให้ข้าลำบากใจ”
“จริงรึ” อู๋ซื่อผู้นั้นสมองแล่นไม่ทันไปชั่วขณะ หลงเชื่อคำเขาเสียได้
ซ่งเสวียนยิ้มแย้มเป็นมิตร “ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร วันหน้าเรายังต้องไปดื่มสุราฟังเพลงด้วยกันอีกนา”
“ดี ดี” อู๋ซื่อได้ยินดังนั้นก็พอใจ ตบบ่าซ่งเสวียนแล้วเดินโงนเงนพลางเอ่ยว่า “ข้ากลับค่ายก่อน วันหน้าเราไปฟังเพลงกัน”
อู๋ซื่อเดินโซเซเฉียดผ่านบ่าพวกเขาสองคนไป ซ่งเสวียนผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
คิดไม่ถึงว่าเดินไปได้แค่สองก้าว จู่ๆ อู๋ซื่อผู้นี้ก็ชะงักฝีเท้าหันกลับมาใหม่ “ไม่ถูก!”
อู๋ซื่อเพิ่งหันมา ไอเย็นเยียบสายหนึ่งก็พุ่งปราดผ่าความมืดยามราตรี
ซ่งเสวียนหันไปมอง เห็นจังหวะที่ลำคอของอู๋ซื่อถูกปาดพอดิบพอดี
ชั่วขณะนั้นเลือดพุ่งสูงราวน้ำพุ สาดใส่ใบหน้าจีอวิ๋นซีจนแดงฉานไปครึ่งหนึ่ง
ใบหน้าอีกซีกยังคงขาวซีดเนียนละเอียดงดงาม
คอของอู๋ซื่อถูกปาดไม่อาจส่งเสียง ได้แต่มองตาเบิกโพลง ชี้ซ่งเสวียนกับจีอวิ๋นซีด้วยอากัปกิริยาที่ไม่รู้ว่าตกใจหรือโกรธ จากนั้นก็หงายหลังล้มตึงไป
สองตาซ่งเสวียนเบิกกว้าง เขารีบเดินเข้าไปดู ทว่าเห็นเพียงใต้ร่างของอู๋ซื่อมีเลือดนองเป็นแอ่งไปแล้ว ทั้งตัวชักกระตุกไม่หยุดขณะค่อยๆ สิ้นลม
เขาเงยหน้าขึ้น เห็นมีดสั้นในมือจีอวิ๋นซีมีเลือดหยดลงมา
สำหรับจีอวิ๋นซีแล้วการลงมือเมื่อครู่คล้ายจะรุนแรงเกินไป ทำเอาลมหายใจสับสนอยู่บ้าง มือที่ดึงชายเสื้อมุมหนึ่งขึ้นมาเช็ดมีดสั้นเองก็สั่นน้อยๆ
เพียงแต่สายตาของเขากลับเย็นเยียบ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ขับให้ใบหน้าเปื้อนเลือดที่อาบไล้แสงจันทร์ดูอันตรายอย่างน่าประหลาด
“ท่าน…” ไม่ว่าอย่างไรซ่งเสวียนก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณชายขี้โรคอย่างจีอวิ๋นซีจะหุนหันพลันแล่นฆ่าคนขึ้นมา เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจีอวิ๋นซีซ่อนมีดสั้นเช่นนี้เอาไว้ ทั้งยังมีความสามารถปลิดชีวิตคนได้อย่างง่ายดาย
จีอวิ๋นซีค่อยๆ เช็ดคราบเลือดบนใบหน้า สายตาเย็นเยียบดุจแสงจันทรา “ซ่งเสวียน ภัยนองเลือดในวันนี้ เจ้าก็ทำนายได้ใช่หรือไม่”
ซ่งเสวียนอ้าปากค้าง เมื่อความตื่นตระหนกจางหายไป สิ่งที่ตามมากลับเป็นความไม่เข้าใจและความโกรธกรุ่น “เขาไม่รู้อะไรเลย พวกเราเพียงกลบเกลื่อนสักสองประโยคก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดท่านต้องฆ่าเขาด้วย!”
บางทีเมื่อครู่อาจประหม่าเกินไป หรือเพราะคราบเลือดเดิมยังไม่ถูกเช็ดให้สะอาด แก้มของจีอวิ๋นซีจึงดูเห่อแดงผิดปกติ “แค่เลี่ยงมิให้ยืดเยื้อมากความเท่านั้น”
ใครจะรู้ว่าบนตัวอู๋ซื่อมีสิ่งใดส่งสัญญาณไปยังคนบนเขาหรือไม่ หรือบางทีอีกฝ่ายอาจจะเร่งเร้าให้พวกเขาสองคนกลับไปเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นอีก
หากพลาดคืนนี้ไปจะเกิดจุดพลิกผันใดบ้างก็อยากจะล่วงรู้
จีอวิ๋นซีคงเป็นพวกยอมฆ่าผิดดีกว่าปล่อยตัวใครไป
ความหนาวเหน็บกัดกินจิตใจของซ่งเสวียนอีกครั้ง เขาโพล่งออกมา “กลัวยืดเยื้อมากความหรือ มิสู้คุณชายสังหารข้าไปด้วยเลยดีกว่า คนรอบกายคุณชายต่างสงสัยกันนานแล้วว่าข้าคือคนที่ถูกส่งมาทำร้ายท่าน!”
ประกายสีเงินวาบผ่าน จีอวิ๋นซีใช้มีดสั้นเล่มนั้นจ่อคอของซ่งเสวียนจริงๆ
ซ่งเสวียนหนาวเยือกไปทั้งตัว เขาพอรู้ว่าบรรดาผู้สูงส่งทรงอำนาจเหล่านี้มักปฏิบัติต่อกันอย่างเลือดเย็นไร้ปรานี แต่ไม่คิดว่ากระทั่งเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีผู้หนึ่งจะโหดเหี้ยมได้ปานนี้ ถึงขั้นไม่พูดไม่จาแล้วพรากชีวิตคนผู้หนึ่งไป บัดนี้กระทั่งเขายังคิดจะสังหารไปด้วย
ทว่าจีอวิ๋นซีกลับเพียงใช้มีดเล่มนั้นตบคางเขาเบาๆ คล้ายหยอกล้อ ริมฝีปากยกยิ้มจนดวงตายิบหยี “หากเป็นไม่กี่วันก่อนเกรงว่ามีดนี้ของข้าคงจะกรีดลงไปจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าจะหักใจลงได้อย่างไรกัน ซ่งเสวียน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าเชียวนะ” จีอวิ๋นซีว่าแล้วเก็บมีดสั้น น้ำเสียงเบาสบายยิ่ง
จีอวิ๋นซีในยามนี้ดูเปี่ยมชีวิตชีวาที่สุดตั้งแต่ซ่งเสวียนพบเจอเขาตลอดหลายวัน
อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้จีอวิ๋นซีนิ่งเงียบอ่อนโยนเกินไป ซ่งเสวียนจึงหลงลืมไปว่าตอนเจอกันคราแรก จีอวิ๋นซีเป็นคนเฉียบขาดเพียงใด
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือหมาป่าตัวหนึ่ง เพียงแค่มีขนนุ่มคล้ายแกะปกคลุมไว้ทั่วตัว
ทั้งคู่สบตากันกลางทุ่งกว้าง ซ่งเสวียนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ไม่มีรอยยิ้มสนุกสนานเกียจคร้านเหมือนเคยอยู่อีก ต่างจากจีอวิ๋นซีที่มีสีหน้าเรียบสงบราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซ่งเสวียนย่อตัวลงเงียบๆ ช่วยปิดตาให้อู๋ซื่อ
เขาลากร่างอีกฝ่ายเข้าไปในพุ่มไม้ เนื่องจากไม่มีเวลากลบฝังจึงทำได้เพียงหาร่มไม้ให้อยู่แก้ขัด
ซ่งเสวียนเห็นเขาถูกปาดคอ ทั้งร่างมีแต่รอยเลือด ดูแล้วน่าอนาถเหลือเกิน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เอาเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่ตนพกมาไปสวมให้
เช่นนี้ค่อยทำให้สภาพของอีกฝ่ายดูเรียบร้อยขึ้นหน่อย
เสื้อคลุมนั้นซ่งเสวียนสวมไว้ตอนถูกลักพาตัวขึ้นเขามา บนแขนเสื้อปักเป็นรูปดอกเจี้ยนหลัน* นับว่าดูดีทีเดียว
จีอวิ๋นซีมองซ่งเสวียนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อู๋ซื่อแล้วเอ่ยขึ้นมา ยากจะฟังออกว่ากำลังชื่นชมหรือเสียดสี “เจ้าช่างเป็นคนดีเหลือเกิน ตายก็ตายไปแล้ว สะอาดหรือไม่ไยต้องเคร่งครัดอีก”
ซ่งเสวียนไม่สนใจ เขาหาต้นไม้ใบหญ้ามาคลุมศพ ล้วงไม้สงบจิตที่ด้านบนสลักยันต์ส่งวิญญาณจากอกเสื้อออกมาเผาตรงหน้าร่างไร้ลมหายใจ
ยันต์เหล่านี้ล้วนวาดลอกเลียนมาจากเหล่านักพรตเต๋า ไม่ก็อิงจากหนังสือโบราณที่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือปลอม ส่วนมากซ่งเสวียนเอาไว้ใช้ในการต้มตุ๋นคน เพียงแต่บัดนี้เวลาประจวบเหมาะ เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหันเขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับศพอย่างไร ในเมื่อได้แต่จัดการลวกๆ จึงต้องยอมเอายันต์ที่ครูพักลักจำเขียนมาใช้เสมือนจริง
จีอวิ๋นซีเห็นซ่งเสวียนเมินตนก็อดเอ่ยปากไม่ได้ “ซ่งเสวียน…”
ซ่งเสวียนมองเขาอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปตามลำพัง
เขาจึงได้แต่กลืนคำพูดครึ่งหลังลงท้อง
ปกติซ่งเสวียนจะมีท่าทีเกียจคร้านอ่อนโยน น้อยนักที่จะท่าทางเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง
นี่เป็นครั้งแรกที่จีอวิ๋นซีเห็นซ่งเสวียนเป็นเช่นนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี
จีอวิ๋นซีเดินตามไปสักพัก แต่ยิ่งเดินกลับยิ่งรู้สึกอ่อนแรง เมื่อเงยหน้าก็พบว่าซ่งเสวียนอยู่ห่างจากเขาขึ้นทุกขณะ จีอวิ๋นซีพลันตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง ก่อนหน้านี้ซ่งเสวียนห่วงที่ขาของเขาบาดเจ็บจึงจงใจชะลอฝีเท้า บัดนี้พอซ่งเสวียนไม่สนใจไยดี เขาจึงตามไม่ทันเสียแล้ว
“ซ่งเสวียน…” จีอวิ๋นซีร้องเรียกอีกฝ่ายเบาๆ เสียงหนึ่ง ฟังดูอ่อนโยนเหมือนเช่นเมื่อสองสามวันก่อน
ทว่าซ่งเสวียนอยู่ห่างเกินไป คล้ายไม่ได้ยินเสียงเรียกนี้
เขามองเงาร่างที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ของซ่งเสวียนผู้เดินนำอยู่ข้างหน้า จากนั้นก็ก้มมองข้อมือว่างเปล่าของตน ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ก็นึกถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ภาพซ่งเสวียนจูงข้อมือเขาเดินผ่านป่าดงพงไพรปรากฏขึ้นมา
แสงจันทร์ลอดผ่านเงาไม้ เสียงลมแว่วมาจากที่ห่างไกล ตลอดจนหลังคอขาวเนียนดุจหยกของซ่งเสวียน
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสายตาเย็นชาเมื่อครู่
ภาพทั้งหลายซ้อนทับสลับกันอยู่เบื้องหน้า มันบิดเบี้ยวม้วนวน จู่ๆ เขาก็รู้สึกหนาว อีกเดี๋ยวก็รู้สึกร้อน ทำเอาปวดศีรษะยิ่งนัก
จีอวิ๋นซีได้ยินเสียงหัวใจของตน ทุกการบีบรัดมักนำมาซึ่งความเจ็บปวดรุนแรง ซ้ำยังค่อยๆ รุกรานเข้าครอบครองสติสัมปชัญญะ
และแล้วภาพทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงจันทร์ขาวโพลนทับถมลงมาบนดวงตาของเขา
ตุ้บ
ซ่งเสวียนได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังหยุดนิ่ง ตามมาด้วยเสียงของหนักหล่นกระทบพื้นหญ้า เขาชะงักฝีเท้า ทว่าด้านหลังกลับมีแค่ความเงียบงัน
ไม่มีใครเรียกเขา
ซ่งเสวียนไม่ได้หันกลับไปมอง เพียงยกเท้าขึ้นโดยไม่พูดอะไร
ใครจะรู้ว่าเขาคิดเล่นลูกไม้ใดอีก
ก่อนหน้าทำตัวเป็นเด็กหนุ่มอ่อนแอขี้โรค หลอกเขาเสียเต็มเปา คิดไม่ถึงว่าข้างในจะเป็นพวกฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
บัดนี้เพียงนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายปาดคออู๋ซื่อในครั้งเดียว ซ่งเสวียนก็รู้สึกหนาวยะเยือก
ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคนตายหรือคนเลวมาก่อน เพียงแต่คนที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นผักปลาเช่นนี้…เขาจะไม่รู้สึกพรั่นพรึงได้อย่างไรกัน
แม้ซ่งเสวียนไม่ใช่คนดีอะไร ซ้ำยังคิดแต่จะหลอกเอาเงินคนร่ำรวย ทว่าเขาก็ไม่เคยคร่าชีวิตใคร
ซ่งเสวียนก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว เสียงฝีเท้ากะโผลกกะเผลกที่ติดตามมาตั้งแต่บนเขาจนบัดนี้ก็ยังไม่ดังขึ้นอีก
เขาเม้มปาก
เช่นนี้ก็ดี
เขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าการต้มตุ๋นหลอกลวงของตนจะถูกเปิดเผย ไม่ต้องกังวลว่าวันใดจะโดนคนเชือดคอ
ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะเป็นอย่างไร จะล้มลงไปจริงๆ ก็ดีหรือจะเสแสร้งก็ช่าง สุดท้ายแล้วล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา
เช่นนี้ก็ดี
เช่นนี้ก็ดี
ฝีเท้าของซ่งเสวียนหยุดลง
* ดอกเจี้ยนหลัน หรือดอกซ่อนกลิ่นฝรั่ง เป็นพืชหัวชนิดหนึ่ง ดอกมีรูปร่างเหมือนกรวยคล้ายกับดอกกล้วยไม้ ตัวใบมีลักษณะยาวเรียวคล้ายดาบ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
