everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 3 #นิยายวาย
“อะไร ดูประหลาดมากหรือ” หลิงเซียนลูบหน้า
“ไม่หรอก สมองข้าสับสน นี่แตกต่างจากรูปร่างหน้าตาเจ้าก่อนหน้านี้จนเทียบไม่ได้” เสี่ยวชุนหัวหมุนไปหมด
หลิงเซียนกลอกตาใส่เสี่ยวชุน เอาไม้เขี่ยหน้ากากหนังมนุษย์ที่อยู่ข้างกองไฟขึ้นมาโยนให้เสี่ยวชุน
เสี่ยวชุนรีบคว้าไว้ ไฟลนหน้ากากอยู่นานจนร้อนแทบลวก
“ยกนี่ให้เจ้า” หลิงเซียนบอก “แล้วข้าจะสอนคาถาให้ สอนแค่รอบเดียว จำได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าก็แล้วกัน”
เสี่ยวชุนรีบพยักหน้าตอบรับ
“สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกธรรมชาติ วิวัฒน์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ฝืนธรรมชาติกลับคืนความหนุ่มสาว กุศลนานาที่สั่งสม จงเปลี่ยนสู่ผลอันเกินคณา หันศูนย์กลางทั้งห้าขึ้นสู่สรวงสวรรค์…”
เสี่ยวชุนตั้งอกตั้งใจจดจำทุกถ้อยคำที่หลิงเซียนพูดตามจังหวะการขยับของริมฝีปาก
เมื่อใดที่ได้พบสิ่งที่น่าสนใจเขาย่อมจะโถมเข้าใส่เต็มตัว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะถาม
ขณะที่หลิงเซียนสอนเสี่ยวชุนเดินกำลังภายใน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนจนยากจะคาดเดา หากเป็นยามปกติเสี่ยวชุนย่อมจะจับสังเกตได้ แต่เสียดายที่บัดนี้เสี่ยวชุนจดจ่ออยู่แต่กับการฝึกวิชาหดกระดูก จิตใจล่องลอยไปไกล ย่อมไม่อาจรู้ว่าหลิงเซียนกำลังวางแผนจะทำอะไร
ราตรีมืดมิดยืดยาวออกไปราวกับไร้ที่สิ้นสุด ในถ้ำที่อบอุ่นด้วยกองไฟมีเสียงเสี่ยวชุนท่องบ่นเบาๆ ตามคำบอกของหลิงเซียน ในราวป่ามีเสียงสุนัขป่าเห่าหอนคู่เคียงไปกับเสียงแมลงกรีดปีก ในราตรีมืดมิดเช่นนี้เงียบสงัดจนน่าตกใจ
ครึ่งราตรีผ่านพ้น หลังจากเสี่ยวชุนท่องคาถาจนคล่องก็เริ่มฝึกหัดวิชาหดกระดูกอย่างตื่นเต้น
เมื่อคาถาถูกนำมาใช้ประกอบกับการเดินกำลังภายใน ทันใดนั้นเสี่ยวชุนก็รู้สึกราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นพล่านในร่างกายเป็นระลอก สั่นสะเทือนจนเขาทนไม่ไหว ต้องกัดฟันส่งเสียงร้องครางออกมา
จากนั้นอวัยวะภายในก็เริ่มถูกบีบอัดจนหดตัวอย่างน่าประหลาด ทั่วร่างเริ่มยืดขยายออกไปจนถึงปลายแขนขา ปลายนิ้ว และปลายเส้นผม รู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ามีกำแพงไร้รูปบีบอัดเข้ามาจากทั้งบนล่างซ้ายขวาหน้าหลังจนทนไม่ไหว เสี่ยวชุนร้องโอดครวญแล้วค่อยๆ ขดตัวงอ ความเจ็บปวดแสนสาหัสเกิดขึ้นทั่วร่างราวกับถูกเฉือนเนื้อขูดกระดูกก็ไม่ปาน เป็นความเจ็บปวดที่ยากจะทานทน
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม เสี่ยวชุนลืมตาขึ้นพลางหอบหายใจ สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือหลิงเซียนที่มีหน้าตาเป็นชายแต่แสร้งทำสีหน้าชมดชม้อยเหมือนหญิง ภาพที่ขัดตาเช่นนี้เสี่ยวชุนเห็นแล้วทั่วร่างถึงกับสั่นสะท้านราวกับหนาวยะเยือก
“ทำไมเจ้าไม่…ไม่บอกว่าจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้” เสี่ยวชุนนิ่วหน้าพลางพูดบ่น หายใจไม่สม่ำเสมอ
“ไม่ไหวเลย แค่เจ็บปวดเล็กน้อยก็ทนไม่ได้” หลิงเซียนพูดด้วยรอยยิ้มยั่ว
“ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่กลัวอะไร แค่กลัวเจ็บเท่านั้นเอง ถ้าเจ้าบอกแต่แรกข้าก็คงไม่ฝึกหรอก!” เสี่ยวชุนตะคอก ไม่อายสักนิดที่พูดอย่างนี้ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นชาย แต่เขาพูดความจริงนี่นา
“ความเจ็บปวดแค่เล็กน้อยก็ทนไม่ไหวเชียวหรือ” หลิงเซียนรู้สึกว่าน่าขันจึงปิดปากหัวเราะไม่หยุด ลืมไปว่าตนคืนร่างแล้ว ใครมาเห็นเขายังแสร้งทำท่าทางชมดชม้อยย่อมรู้สึกประหลาด
เสี่ยวชุนตัวสั่นอีกครั้ง รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ
เมื่อความเจ็บปวดผ่านไปแล้วเสี่ยวชุนก็ลุกขึ้นยืน มองดูมือเล็กๆ ของตัวเองที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อ และขากางเกงหลวมโพรกที่ยาวระพื้น จึงกัดฟันถามว่า “ดูเหมือนตัวจะหดลงนิดหน่อยเท่านั้น เปลี่ยนไปแค่ไหนกัน”
จากนั้นเสี่ยวชุนก็ลูบคลำใบหน้า ตอนนี้จึงได้พบว่าวิชาหดกระดูกของหลิงเซียนนั้นล้ำเลิศเพียงใด เพราะแม้แต่ใบหน้าและน้ำเสียงก็อ่อนวัยลงด้วย
เขาค้นพบอย่างน่าตกใจว่าหากจะเรียกวิชานี้ว่าวิชาหดกระดูก สู้เรียกว่าเคล็ดวิชาคงความงามยังจะเหมาะกว่า สามารถเปลี่ยนจากคนแก่ให้เป็นเด็ก ทำให้ความงามได้หวนคืนมาปรากฏอีกครั้ง
คิดถึงตรงนี้เสี่ยวชุนก็เหม่อลอยครุ่นคิด วิชาพรรค์นี้ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้ในทางการแพทย์ได้หรือไม่ ต้องใช้เข็มสักกี่เล่ม ยาสักกี่ขนานจึงจะทำให้คนชรากลับเป็นคนวัยฉกรรจ์ คนวัยฉกรรจ์กลับเป็นหนุ่มสาว และคนหนุ่มสาวกลับไปเป็นเด็ก…
บ้าจริง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกนับจากนี้ไป ช่างน่าตื่นตกใจจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงที่แม้แต่ปู่ของปู่ของปู่ของเขาก็คงกระโดดออกมาจากหลุมศพ!
เสี่ยวชุนลูบใบหน้าตนเองอีกครั้ง อืม…ดูเหมือนว่านอกจากสมองที่ไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นเด็ก ทุกอย่างดูเหมือนจะเล็กลงหมด
อืม…ตรงข้างล่างนั่นก็คง…เล็กลงสินะ…
ว่าแล้วก็ลูบดู
โอ๊ะ…
เล็กลงจริงๆ ด้วย…
ชักจะเศร้าแล้วสิ
หลิงเซียนมองดูท่าทางของเสี่ยวชุนอย่างชิงชังแล้วว่า “รูปร่างเจ้าตอนนี้คงราวๆ สิบสี่ปี อย่างมากสุดก็ไม่เกินสิบห้า ดูไม่ต่างจากข้าตอนใช้วิชาก่อนหน้านี้เท่าไร”
“ไม่รู้ว่าถ้าฝึกต่อไปตัวจะหดจนกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาได้หรือไม่” เสี่ยวชุนมองมือมองเท้าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วถามขึ้นอย่างกวนๆ
หลิงเซียนเหยียดปาก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก ทันใดนั้นเสี่ยวชุนก็หันขวับ เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวในราวป่า
“มีคนมาไม่น้อยเลย” เสี่ยวชุนหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าไม่คิดจะประมือกับใคร เตรียมของไว้น้อย ตอนประมือกับยอดฝีมือก่อนหน้านี้ก็ใช้ไปจนหมดแล้ว ตอนนี้แย่แน่”
หลิงเซียนชักกระบี่ออกมาทันทีแล้วดับไฟ สีหน้าซีดขาว พูดว่า “ข้าให้พวกเขาพาตัวกลับไปไม่ได้ เจ้าต้องช่วยข้า”
เสี่ยวชุนเหลือบมองหลิงเซียน จากนั้นก็พูดว่า “วางใจเถอะ ช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็หยิบหน้ากากหนังมนุษย์ที่หลิงเซียนเพิ่งมอบให้เมื่อครู่เอามาแนบหน้า จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าผู้หญิงที่หลิงเซียนกองทิ้งไว้บนพื้นมาสวม ปล่อยผมสยายออก รู้สึกว่าน่าจะดูเหมือนหลิงเซียนตอนแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นหญิงสักเจ็ดแปดส่วน
เสี่ยวชุนยิ้มแล้วว่า “ข้าไปล่อพวกเขาก่อน ส่วนอันนี้ให้เจ้า” จากนั้นเขาก็โยนขวดยาขวดหนึ่งให้หลิงเซียนแล้วบอกว่า “นี่คือยาครอบจักรวาล ใช้ถอนพิษได้ทุกชนิด คิดเองก็แล้วกันว่าจะแบ่งใช้อย่างไร ตอนออกไปก็ระวังตัวด้วย”
เสี่ยวชุนพูดจบก็ทะยานออกจากปากถ้ำไป แม้จะปล่อยผมซ้ำยังแต่งกายเป็นหญิง แต่ขณะชูมือหรือเตะเท้าก็ยังเผยให้เห็นท่วงท่าพลิ้วไหวสง่างาม หลิงเซียนเฝ้ามองดูจนเหม่อลอย
ตอนนี้เองเสี่ยวชุนก็ได้ยินหลิงเซียนตะโกนเรียก “จ้าวเสี่ยวชุน!”
“มีอะไรหรือ” เสี่ยวชุนคิดว่าเกิดอะไรขึ้นอีกจึงหันกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าจะรู้สึกเจ็บร้อนขึ้นที่หัวไหล่ซ้าย มีอะไรบางอย่างแทงทะลุเสื้อผ้าเข้ามาฝังใต้ผิวหนัง เขาเจ็บจนสะดุ้ง
เขาเอียงคอลูบจับหลังอย่างสงสัย คิดว่าเมื่อครู่มีสะเก็ดไฟที่ยังไม่มอดดีปลิวมาถูกหัวไหล่ เสื้อผ้ายังไหม้จนทะลุเป็นรู แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในถ้ำอีกครั้งกลับได้เห็นหลิงเซียนกำลังเผยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ หยักมุมปากขึ้นพลางจ้องมองเขาอยู่
หลิงเซียนพูดขึ้นเรียบๆ “มีวาสนาคงได้พบกันอีก”
เสี่ยวชุนพยักหน้า ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัยแล้วรีบจากไป ทว่ายิ่งเดินไปก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่บอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหนกันแน่
ว่อหลิงเซียนผู้นี้ออกจะเป็นคนแปลกอยู่บ้าง ทว่าดูไปแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เสี่ยวชุนคิดว่าอีกฝ่ายคงชอบแต่งกายเป็นหญิง แต่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรล่วงเกินหลันชิ่งไว้จึงได้ถูกตามล่าเช่นนี้
อวิ๋นชิงของเขาเมื่อก่อนก็เคยถูกหลันชิ่งบีบคั้นจนถึงขั้นจนตรอก โชคดีที่ในที่สุดก็พบกับเขาจึงได้ช่วยถอนพิษให้
วันนี้ได้พบหลิงเซียน เสี่ยวชุนก็รู้สึกสนิทสนม ประกอบกับหลิงเซียนไม่พูดพล่ามอะไรมากก็สอนวิชาหดกระดูกให้เขา เสี่ยวชุนรู้เพียงว่าคนผู้นี้นับว่าดีต่อเขาแค่นั้นเอง
เมื่อได้พบกันย่อมนับว่ามีวาสนาต่อกัน หากทำอะไรให้อีกฝ่ายได้เท่าไรก็เท่านั้น ว่อหลิงเซียนผู้นั้นจะหนีรอดไปได้หรือไม่ก็แล้วแต่โชคชะตาของเขาเองก็แล้วกัน
จันทรามืดมิด สายลมพัดสูง หมอกปกคลุม หากจะฆ่าคน ดีที่สุดต้องฆ่าตอนกลางคืน
เสี่ยวชุนตั้งใจที่จะทำเสียงดังในเขตชายป่า เดี๋ยวถีบเตะกิ่งไม้จนหัก เดี๋ยวก็เตะก้อนหิน ซึ่งเป็นไปดังคาด ด้านหลังเริ่มมีเสียงสวบสาบดังขึ้น
เขาเคยประมือกับคนของสำนักภูษานิลมาสองสามครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม บอกได้ว่าง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ เขาจงใจวิ่งวนลัดเลาะไปตามต้นไม้ทั่วป่าที่มืดมิด พอกะดูว่าหลิงเซียนน่าจะไปได้ไกลแล้วจึงค่อยระบายลมหายใจที่อัดอั้นอยู่ในช่องอกออกมา
ในช่องอกช่องท้องของเขาสั่นสะท้าน ไม่เข้าทีเสียแล้ว ดูท่าว่าคงฝืนเรียนวิชาหดกระดูกจนเกินกำลังไปหน่อย แต่คนพวกนี้ก็ต้องได้รับการสั่งสอน เสี่ยวชุนไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้
“ร่างกายนี้คงทนตรากตรำมากนักไม่ได้” เสี่ยวชุนบ่นอุบ
กลับไปต้องหายาจำพวกเห็ดหลิงจือร้อยปีกับโสมคนพันปีที่คลังยาสำนักแพทย์หลวงมาบำรุงเสียหน่อยแล้ว