everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 3 #นิยายวาย
เดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ ประสบเหตุจนต้องกระอักเลือด ถ้าไม่บาดเจ็บสะบักสะบอมจนกระดูกหักไปทั่วร่างก็หมดสติจนเกือบถึงตาย หากไม่ระวังรักษาร่างกายให้ดี ถึงเวลาที่อายุมากเท่าอาจารย์อาจจะต้องคลานขึ้นไปนอนหลับอุตุบนเตียงยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก
พอเริ่มรู้สึกท้อแท้ ฝีก้าวของเสี่ยวชุนก็ช้าลงไปด้วย แต่เมื่อเห็นคนไล่ตามมาจะฆ่า ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรับมือยอดฝีมือพวกนี้ไหวหรือไม่
ตอนนี้อวิ๋นชิงคงจะกลับถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ถ้าเห็นว่าทางนั้นวุ่นวายไปหมดจะต้องออกมาตามหาเขาแน่
เสี่ยวชุนไม่รู้ว่าตัวเองจะรับมือไหวจนถึงตอนที่อวิ๋นชิงมาหรือไม่ คราวที่แล้วตกหลุมพรางในวังจิ้งอ๋องจนเกือบจะถูกหั่นร่างเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว ก็ได้อวิ๋นชิงนี่แหละที่นำทหารมาพาตัวเขาออกไปได้
แต่ทุกครั้งจะโชคดีได้เช่นนี้ตลอดหรือ เขาหัวเราะหึออกมา
ในป่าเริ่มมีลมฝนพัดโปรยปราย พายุฝนที่โหมกระหน่ำบ่งบอกชัดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก
ขณะที่เปียกปอน หัวไหล่ด้านซ้ายก็ร้อนรุ่มอย่างน่าประหลาด ความเจ็บปวดรุนแรงประดังขึ้นมาอีก เสี่ยวชุนเจ็บจนเดินโซเซแล้วล้มลงบนพื้นโคลน
ความร้อนแผดเผาราวกับจะทำให้ตัวเขาหลอมละลาย จากตรงหัวไหล่ค่อยๆ แผ่ออกไปจนปกคลุมทั่วร่าง เขาแทบจะขยับไม่ได้ ในหูมีเสียงดังก้อง แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นต่อหน้า ทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“ย่ามันเถอะ…เกิดอะไรขึ้นกันแน่…” เสี่ยวชุนกัดฟันกรอด
ทันใดนั้นก็นึกถึงสายตาเจ้าเล่ห์ของหลิงเซียนตอนที่จากกันขึ้นมาได้ เสี่ยวชุนตื่นตระหนก หรือว่าตอนนั้นหัวไหล่ไม่ได้ถูกสะเก็ดไฟที่ยังไม่มอดกระเด็นมาไหม้ แต่เพราะสัมผัสถูกอะไรบางอย่างต่างหาก
“ย่ามันเถอะ อย่าบอกนะว่าไปถูกพิษอำมหิตเข้า…”
เสี่ยวชุนครุ่นคิดพิจารณา หลิงเซียนใจดียอมสอนวิชาหดกระดูก อาจทำไปเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยเหลือก็เป็นได้ แต่หลังจากนั้นเมื่อบุญคุณความแค้นหักกลบลบหนี้กันพอดี สิ่งที่เกิดต่อจากนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมของชาวยุทธ์แล้ว
แต่เสี่ยวชุนไม่เข้าใจว่าหลิงเซียนจะวางแผนเล่นงานเขาเพื่ออะไร
เขาสวมเสื้อผ้าของหลิงเซียน ใช้หน้ากากหนังมนุษย์แปลงโฉมแล้วจากมา เดิมทีก็เพราะอยากจะช่วย แล้วหลิงเซียนจะมาซ้ำเติมเขาให้ลำบากทำไมกัน
หรือว่าที่ถ่ายทอดวิชาหดกระดูกให้นั้นอีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจ จึงแอบหาทางลอบทำร้าย เพื่อว่าแม้จะถ่ายทอดวิชาให้แล้ว เขาก็จะไม่มีโอกาสได้ใช้
“ย่ามันเถอะ!” เสี่ยวชุนกัดฟันกรอด
เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วล้วงยาครอบจักรวาลออกมาสองสามเม็ดทันที รีบเดินกำลังภายในกระตุ้นฤทธิ์ยา แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวางยาอะไร แต่ยาครอบจักรวาลมีคุณอนันต์และไร้อันตราย ไม่แน่อาจช่วยถอนพิษได้
ขณะที่ละล้าละลัง คนชุดดำก็ตามมาทัน เสี่ยวชุนเดินอย่างยากลำบากพลางประคองตัวด้วยกิ่งไม้ รู้สึกหัวหมุนตาลาย สุดท้ายก็ตระหนักว่าตนเองเดินย่ำมาถึงขอบผา
“มาเจอหน้าผาอีกจนได้! โชคร้ายอะไรอย่างนี้ ไม่เหลือทางรอดไว้ให้ข้าบ้างเลย โธ่ สวรรค์ ท่านมีความแค้นกับข้าหรือ” เสี่ยวชุนสั่นสะท้าน ร่ำร้องอุทธรณ์ขึ้นมาทันที
เขาเบิกตากว้าง ชะโงกมองลงไปอย่างไม่อยากยอมแพ้ ตอนนี้เห็นแต่เพียงท้องฟ้ามืดมิด สายฝนตกกระหน่ำ ใต้หน้าผามืดสนิทดูลึกจนสุดประมาณ
สายลมพัดโหมกระหน่ำปะทะใบหน้าพร้อมกับสายฝนที่เย็นเฉียบประหนึ่งน้ำแข็ง เสี่ยวชุนสั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บ
เมื่อหันกลับไปมอง คนชุดดำผู้หนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ดวงตาดำสนิทเป็นประกายจ้องมองมาที่เขา
แม้แต่เวลาให้หอบหายใจก็ไม่มี เสียงอาวุธซัดแหวกอากาศดังมา เสี่ยวชุนรีบถอยกรูดไปยืนโงนเงนอยู่ริมผา
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีเมตตายอมอ่อนข้อให้แน่ จากนั้นคมดาบเรียวดุจใบไม้หลายเล่มก็พุ่งเข้ามาหา แสดงว่าไม่มีทางไว้ชีวิตอย่างแน่นอน
“ช้าก่อน เจ้าจะฆ่าข้าไปทำไม!” เสี่ยวชุนรีบพูดขึ้น
คนชุดดำผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “ว่อหลิงเซียน เจ้าขโมยหนอนพิษถงมิ่งของท่านประมุขติดตัวเมื่อหลบหนีออกมา ท่านประมุขโกรธมาก เจ้ายังจะกล้าถามอีก”
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูด เพลงดาบหลายกระบวนท่าที่จู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรงก็พัดกวาดใบไม้รอบด้านจนปลิวกระจัดกระจาย พุ่งไปถูกตรงไหนก็เกิดบาดแผลตรงนั้น เสี่ยวชุนชักกระบี่ที่เหน็บเอวออกมาฝืนเดินลมปราณพลางกัดฟันรับมืออย่างยากเย็น แต่ก็ยังเพลี่ยงพล้ำไปหลายกระบวนท่าติดๆ กัน
ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ กำลังภายในของเขาก็แทบไม่เหลือแล้ว เมื่อก่อนยังรับมือลูกไม้ตื้นๆ ระดับนี้ได้โดยแทบไม่เปลืองแรง แต่บัดนี้แม้กระเสือกกระสนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีก็ยังเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้
อย่างไรก็ตามเสี่ยวชุนรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูรีบร้อนอย่างผิดปกติ ว่ากันตามเหตุผล หากคนผู้นี้ตามหาเขาจนพบ ทั้งตัวเขาเองก็ได้แปลงโฉมให้เป็นหลิงเซียนแล้ว ตอนนี้สิ่งที่น่าจะทำคือการจับตัวเขากลับไปมิใช่หรือ
อย่างน้อยการที่ศิษย์พี่ใหญ่วางยาพิษหอมหวนร้อยลี้กับหลิงเซียนแทนที่จะเป็นพิษร้ายแรงจำพวกยางน่องก็หมายความว่าศิษย์พี่ใหญ่ยังต้องการใช้ประโยชน์จากหลิงเซียนอยู่
แต่พอพบตัวเขาซึ่งแปลงโฉมเป็นหลิงเซียนแล้วกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่าข้า อย่างมากก็ให้ข้ามอบหนอนพิษถงมิ่งคืนไปก็ได้นี่นา!” เสี่ยวชุนแสร้งทำน้ำเสียงตื่นตระหนกเพื่อลองหยั่งถามคนผู้นั้น
แล้วก็เป็นไปตามคาด ทันใดนั้นคมดาบพลิ้วไหวดุจใบไม้ก็พุ่งมาที่อก เสี่ยวชุนรีบพลิกกายหลบ เมื่อลงมาถึงพื้น เท้ากลับย่ำลงบนโคลนเละ อีกฝ่ายพุ่งเข้าหาอย่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย ซัดฝ่ามือร้ายกาจออกมาติดๆ กันหลายครั้ง เสี่ยวชุนหลบพ้น แต่เพราะยืนได้ไม่มั่นคงจึงลื่นล้มหงายหลัง แล้วพลัดตกจากหน้าผาร่วงลงสู่เบื้องล่าง
“ย่ามันเถอะ!” เสี่ยวชุนตะโกนกร้าว
ตกหน้าผา ตกหน้าผาอีกแล้วหรือ! จะตายอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด นี่เป็นเรื่องภายในสำนักของศิษย์พี่ใหญ่ เขามาข้องเกี่ยวโดยไม่ได้ตั้งใจ ไหนเลยจะรู้ว่าจะบังเอิญมาพบกับศิษย์ทรยศเข้าให้
อีกอย่างอวิ๋นชิงก็ยังรอเขาอยู่ด้วย!
เสี่ยวชุนพลิกกระบี่มังกรครวญตวัดใส่ข้อมือของคนชุดดำที่กำลังหัวเราะอย่างชั่วร้าย
คนผู้นั้นไม่คิดว่าเสี่ยวชุนยังมีกำลังเหลือพอที่จะตอบโต้จึงเผลอไผลไปชั่วขณะหนึ่งจนถูกเขาดึงลงไป
เสี่ยวชุนยืมแรงมาเหวี่ยงตัวกลับ เตะหน้าผาหลายครั้งหวังจะอาศัยจังหวะนี้กระโดดขึ้นมา แต่ข้อหนึ่งเพราะฝนตกจนเป็นโคลนลื่น และข้อสองขาไม่มีแรง ชั่วพริบตาก็สูญเสียแรงฉุดดึงขึ้นข้างบน จึงร่วงตกหน้าผาไปพร้อมกับคนชุดดำผู้นั้น
“ว่อหลิงเซียน!” คนชุดดำร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าไม่ใช่ว่อหลิงเซียน บ้าเอ๊ย ข้าชื่อจ้าวเสี่ยวชุน!” คนเราพอตกอยู่ในอันตรายก็สูญเสียความมีเหตุมีผลไปสิ้น เสี่ยวชุนร้องตะโกนตอบกลับไป
“เจ้ากล้าหลอกข้ารึ!” เห็นชัดๆ ว่าอยู่ในช่วงความเป็นความตายแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ต้องไปพบพญายม แต่ทั้งสองคนกลับยังต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ
“ก็ไม่รู้จักดูให้แน่ก่อนเองนี่!”
กระบี่ฟาดฟันไปมา อาวุธลับกระจายว่อน เสี่ยวชุนไขว่คว้าเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่ตรงขอบผาเพื่อรั้งตัวไว้ไม่ให้ร่วงลงไปพลางหลบหลีกการจู่โจมของคนชุดดำ
เสียงลมพัดหวือๆ ดังผ่านหู สายฝนซัดสาดจนเปียกชุ่มโชกไปทั้งร่าง ทันใดนั้นเสี่ยวชุนก็ฉุกคิดถึงอวิ๋นชิงขึ้นมา นึกถึงเรื่องที่สัญญาไว้ คิดถึงตอนนั้นที่เกิดเรื่อง อวิ๋นชิงถึงกับทำเรื่องโง่งมจนเกือบจะแทงตัวเองลงไปอยู่ในปรโลกพร้อมกับเขาเสียแล้ว
พอนึกถึงใบหน้าที่เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง หวนนึกถึงรอยยิ้มงดงามที่นานๆ ทีจะเผยออกมาสักครั้ง ความคิดคำนึงต่างๆ ก็ผุดขึ้น เขาตัดใจไม่ได้ ไม่อาจละวางและไม่อาจทิ้งให้อวิ๋นชิงต้องใช้ชีวิตต่อไปเพียงลำพัง
ตรงไหล่เจ็บปวดร้อนผ่าวรุนแรงเหมือนมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง ไหลไปตามเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดแล้วมุ่งสู่อวัยวะภายใน ราวกับถูกกองเพลิงโอบล้อมอยู่เป็นชั้นๆ เวลานี้เองลมปราณทั้งสี่สายอันน่าประหลาดที่จู่ๆ ผุดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบพลันแทรกเข้าไปในจุดชี่ไห่ ของเขาที่ว่างเปล่า สั่นสะเทือนอวัยวะภายในอย่างรุนแรง
เสี่ยวชุนไม่เคยรู้สึกถึงกำลังภายในที่สั่นสะเทือนอวัยวะภายในอย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน เหมือนกับถูกซัดด้วยพลังฝ่ามือของยอดฝีมือเข้าอย่างจัง พลังที่ว่านี้เสียดแทงทะลุทะลวงไปทั่วร่าง
เสี่ยวชุนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีก ทนไม่ไหวจนต้องแหงนหน้ากรีดร้องด้วยหวังว่าจะช่วยระบายกำลังภายในประหลาดที่หลั่งไหลไม่ขาดสายออกไปจากร่างกายได้บ้าง
อาวุธวิเศษทั้งกระบี่มังกรครวญและกระบี่หงส์รำพันได้รับกำลังภายในบริสุทธิ์จากผู้เป็นเจ้าของ จึงเปล่งเสียงร้องก้องกังวานดุจนกกระเรียนสะเทือนเลื่อนลั่นทั้งป่าเขาตามไปด้วย
คนชุดดำถูกกำลังภายในพลานุภาพมหาศาลซัดอย่างไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือด เส้นเลือดขาดกระจุย ดวงตาระเบิดทั้งสองข้างจนตาย
เสี่ยวชุนพยายามซัดกระบี่ทั้งสองเล่มให้ปักเข้าไปด้านข้างหน้าผาอย่างสุดกำลัง จับด้ามกระบี่ไว้แน่นพลางร้องคำราม พยายามหยุดการร่วงตกลงไปอย่างสุดชีวิต
ทว่าในยามที่ต้องเผชิญกับการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงนี้เอง สติสัมปชัญญะกลับทรยศเขา ค่อยๆ เลือนรางห่างหายไป
เขาเห็นขอบผาที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ เลือนหาย จากนั้นตาทั้งสองข้างก็เห็นเพียงวงแสงสีขาวประหนึ่งกระไอหมอกปกคลุม ปราณที่รวมตัวในอวัยวะภายในกระจายออกอีกครั้ง พุ่งไปตามเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด
สุดท้ายก็ ‘พลั่ก!’ กระทบพื้นอย่างแรง เสียงตกกระแทกดังสะเทือนเลื่อนลั่น ความรู้สึกวิงเวียนคลื่นเหียนเกิดขึ้นอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกระดูกแตกดังเข้ามาในหูเสี่ยวชุน
ตัวเขาเองก็มาถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน ไม่อาจรับทั้งหมดนี้ได้อีกต่อไปแล้ว พอปลดเปลื้องสติรับรู้ หัวสมองก็ว่างก่อนจะหมดสติไป
สายฝน…ตกเปาะแปะลงมาไม่หยุด
หนาวจัง
ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ เสี่ยวชุนก็นึกถึงป้ายหินแผ่นหนึ่งซึ่งอยู่ที่หุบเขาเทพเซียน บนนั้นสลักไว้ว่า ‘ผู้ข้ามผ่านสิ้นชีวี’
ป้ายหินหันหน้าเข้าหรือออกจากหุบเขา เขาก็จำไม่ได้เสียแล้ว
ผู้ที่สิ้นชีวีคือผู้ที่เข้าไปในหุบเขาหรือออกจากหุบเขา เขาก็นึกไม่ออก
แล้ววันนี้เขามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร
ในห้วงคิดมีภาพเงาร่างหนึ่งในชุดผ้าไหมสีขาวผุดขึ้นมา ใบหน้าที่งดงามโดดเด่นประดับด้วยรอยยิ้มซึ่งไม่รู้ว่ายิ้มด้วยเหตุใดหันมามองเขา ดวงตาเจิดจ้าราวกับจันทร์กระจ่างจ้องมองเขานิ่งอยู่ ดูแล้วทั้งอ้างว้างทั้งโดดเดี่ยว
คิดถึงมือคู่นั้นที่คอยเอื้อมมาโอบกอด ให้ความอบอุ่นเมื่อเขาหนาวเหน็บ…
ปากเสี่ยวชุนพึมพำ “ต้องกลับไปให้ได้…”
มีคนคนหนึ่ง…กำลังรอเขาอยู่…
ต้องกลับไปให้ได้…
โปรดติดตามตอนต่อไป…