everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 4 #นิยายวาย
บทที่ 4
ในที่สุดฝนซึ่งตกกระหน่ำติดต่อกันหลายวันก็หยุดลง ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสง เพิ่งจะช่วงสายเท่านั้นแสงแดดก็สาดส่องเจิดจ้าจนโคลนเลนที่ก้นผาแห้งแข็ง
แสงแดดแยงตาจนเสี่ยวชุนตื่น เปลือกตาและนิ้วมือเพิ่งขยับเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง ไม่เพียงท้ายทอยที่ปวดตุบๆ ข้อต่อทั่วร่างก็ราวกับถูกเล่นงานด้วยวิชาฝ่ามือแยกเอ็นแบ่งกระดูก เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวจนเขาอยากจะร้องออกมาดังๆ
ไม่รู้ว่าร่างกายถูกกระแทกตรงไหนบ้าง ทั้งหักทั้งบอบช้ำไปทั่วจนเขาแทบทนไม่ไหว
เขาต้องพยายามสุดชีวิตกว่าจะพลิกตัวได้ จากนั้นก็กลิ้งตกลงมาจากอะไรบางอย่าง แล้วกลิ้งอีกหลายตลบจนไปหยุดในที่ไกลๆ นอนนิ่งหอบหายใจอยู่บนผืนทรายสีเหลือง
พอรู้สึกสบายขึ้นแล้วก็หันหน้ามองออกไป จึงพบว่าสิ่งที่หนุนอยู่ใต้ตัวเขาที่แท้ก็คือ ‘ร่างคน’ สวมเสื้อดำกางเกงดำ เส้นผมสีดำ มีเลือดไหลเป็นทางออกมาจากดวงตาสีดำ แขนขาหักจนดูบิดเบี้ยว ร่างแข็งทื่อ คาดว่าคงตายนานแล้ว
ในหัวเต็มไปด้วยความมึนงงสับสน เสี่ยวชุนเริ่มคิดว่านี่มันอะไรกัน เหตุใดตนจึงได้มาอยู่ที่นี่ ทั่วร่างเจ็บปวดแสนสาหัส
เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลือไปกับการพลิกร่างเมื่อครู่นี้ แสงแดดแผดจ้าจนพานจะเป็นลม พอจะคิดอะไรสักเรื่อง ในหัวก็เหมือนมีใครมารัวกลองเสียงดัง พยายามจะคิดหลายรอบแล้วก็ไม่สำเร็จ เขาจึงเลิกคิดต่อ นอนอยู่ข้างๆ ศพที่แข็งทื่อมาหลายชั่วยามแล้ว นอนอาบแดดด้วยกันใต้แสงตะวันเจิดจ้า ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ก่อนที่เสี่ยวชุนจะกรำแดดเหมือนปลาตากแห้งจนเป็นลมไปอีกรอบก็มีเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงแว่วมาแต่ไกล
มีคนมาแล้ว! ดวงตาเสี่ยวชุนเปล่งประกายเล็กน้อย เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก รู้ว่าคราวนี้มีคนมาช่วยแล้ว
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกที ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวชุนอ้าปากพยายามจะร้องตะโกน แต่ไม่คิดว่าพอเปล่งเสียงออกมากลับพบว่าบาดเจ็บจนมีแต่เสียงแผ่วเบาเหมือนแมวครางเท่านั้น
“มี…มีคนมาแล้ว…”
บ้าเอ๊ย เสียงเบาอย่างนี้ ไม่แน่ว่าทำเสียงเหมือนแมวร้องเหมียวๆ อาจจะดังกว่าด้วยซ้ำ
คนผ่านทางค่อยๆ ชักม้าเดินมา พบว่าในพงหญ้ามีการเคลื่อนไหวก็รีบรั้งบังเหียน ม้าที่ถูกรั้งสายบังเหียนทำเสียงพ่นลมออกจมูกแล้วเดินย่ำอยู่กับที่สองก้าว
เสี่ยวชุนถอนหายใจอย่างโล่งอก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหูดี เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเขาจึงพลิกร่างลงจากหลังม้า ฝ่าพงหญ้าที่รกเรื้อมาตรงที่เขาอยู่
จากนั้นเสี่ยวชุนก็ได้ยินเสียงหอบหายใจ ต่อมาใต้ดวงตะวันร้อนแรง ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งกายเรียบร้อยแบบชาวยุทธ์ก็คุกเข่าลงข้างกายเสี่ยวชุน
“น้องสาว เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!” ชายหนุ่มกระซิบถาม
ชายผู้นั้นจมูกไม่เบี้ยวปากไม่เฉ สองตาวาววามเจิดจ้ามีประกายสดใส ดูเป็นคนซื่อสัตย์ เด็ดเดี่ยว น่าจะเป็นคนดี แต่เสี่ยวชุนยังสงสัย เหตุใดคนผู้นี้จึงเรียกเขาว่า ‘น้องสาว’
เสี่ยวชุนรู้สึกได้รางๆ ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแต่ก็นึกไม่ออก
ทว่าเวลานี้ยังมีเรื่องที่สำคัญอยู่ตรงหน้า เขาเผยอปากอย่างยากเย็น พยายามฉีกยิ้มทั้งๆ ที่สีหน้าอ่อนล้า แล้วพูดออกมาสองสามคำด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่ชาย ขอน้ำสักหน่อยเถอะ…” กรำแดดใต้แสงตะวันร้อนแรงมานาน เขากระหายจนลำคอแห้งผากไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มรีบปลดถุงใส่น้ำที่แขวนไว้ข้างอานม้าลงมา พอเห็นเสี่ยวชุนขยับเขยื้อนไม่ได้ก็กระซิบบอก “เสียมารยาทแล้ว!” แล้วรีบประคองเสี่ยวชุนมาพิงไหล่ก่อนจะป้อนน้ำให้
เสี่ยวชุนกระหายยิ่งนัก คว้าถุงน้ำไว้ด้วยมือที่สั่นระริก แต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มือไปบาดเจ็บอะไรมา พยายามยกมือหลายรอบ มือก็ตกลงมา สุดท้ายต้องให้อีกฝ่ายช่วย น้ำจึงไหลลงคอได้สะดวก เวลานี้เองที่เสี่ยวชุนรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ
ชายผู้นั้นหันมองซ้ายขวาครู่หนึ่งก็พบว่าไม่ห่างกันนักมีศพอยู่ศพหนึ่งจึงพึมพำออกมา “คนชุดดำของสำนักภูษานิล…”
“พี่ชายชื่อหานหานแห่งสำนักเขาหานซาน” เมื่อหานหานแจ้งชื่อสำนักแล้วก็พูดต่อ “น้องสาว เหตุใดเจ้ามาอยู่ลำพังตรงนี้ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ คงไม่ใช่บังเอิญประสบเหตุร้ายเข้าหรอกนะ”
ในป่าเขารกร้างเช่นนี้ หญิงสาวอายุสิบกว่าปีได้รับบาดเจ็บ ท่าทางสะบักสะบอม จะตายมิตายแหล่ หานหานเห็นสภาพดังนี้ก็อดรนทนไม่ไหว
เสี่ยวชุนนิ่วหน้า ในที่สุดก็คิดถึงปัญหาที่ไม่ทันได้ขบคิดให้ดีตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา
ได้ดื่มน้ำก็รู้สึกดีขึ้นมาก เสี่ยวชุนมีกำลังใจกลับคืนมาจึงค่อยๆ ตอบ “จำไม่ได้แล้ว”
“หืม?” เห็นได้ชัดว่าหานหานรู้สึกแปลกใจ
“พอข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว ข้างๆ มีศพนอนอยู่…จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้” เสี่ยวชุนมองดูหานหาน ค่อยๆ บอกเล่าอย่างจริงจัง
“เอ๋?” หานหานร้องอย่างประหลาดใจ
“ข้า…” เสี่ยวชุนยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับรู้สึกว่าตรงไหล่แสบร้อนราวกับมีเปลวไฟวาบขึ้นแผดเผา เขาร้องครวญพลางกัดฟันทน ทว่าในอกกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงขึ้น จากนั้นก็มีเลือดซึมออกมาจากมุมปาก
หานหานเห็นอาการเช่นนี้ก็ตื่นตกใจ เขารีบสกัดจุดตายที่หน้าอกเสี่ยวชุนแล้วส่งลมปราณเข้าไปหมุนเวียนสำรวจดูร่างกายของเสี่ยวชุนอย่างละเอียด ด้วยอยากจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่คาดคิดว่าขณะที่สำรวจเข้าไป ทันใดนั้นกลับถูกปราณในร่างกายอีกฝ่ายตีกลับอย่างรุนแรง แรงกระแทกนั้นรุนแรงเสียจนหานหานถึงกับหน้าซีด
เมื่อรู้ว่าเจอพลังแข็งแกร่งที่สู้ไม่ได้ หานหานก็รีบยั้งมือไว้
ตอนแรกหานหานแสดงสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็นิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด ถอนหายใจพลางถามอย่างอดไม่ได้ “น้องสาว กำลังภายในของเจ้าช่างลึกล้ำนัก อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ฝึกฝนได้ถึงขั้นนี้แล้ว นับถือจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าบาดเจ็บหนัก ปราณซัดกระแทกกันจนกระจัดกระจาย หากไม่รีบสะกดปราณให้สงบลง เกรงว่าจะต้านทานได้ไม่พ้นวันนี้”
“เสียมารยาทแล้ว” ขณะที่พูดหานหานก็ไม่อยู่เฉย ตรงเข้ามาอุ้มเสี่ยวชุนพาขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าพาจากมา ไม่ให้แม้แต่โอกาสเสี่ยวชุนได้ปฏิเสธ ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเสี่ยวชุนอยากไปกับเขาหรือไม่
ตามนิสัยของจอมยุทธ์ในยุทธภพ การช่วยผู้อ่อนแอให้พ้นอันตราย รักษาชีวิตให้ผ่านพ้นความเป็นความตายเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ช่วยก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เสี่ยวชุนพยายามขยับสองมือที่ตกห้อยลงอย่างยากเย็น พอเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าผาที่ตั้งตระหง่านสูงชัน ทันใดนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาพูดขึ้น “ท่านจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญ ข้าบอกว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำ ท่านก็เชื่อ ทั้งยังช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น แต่ท่านไม่คิดหรือว่าหากข้าเป็นคนเลว แล้วฉวยโอกาสที่ท่านช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเอาดาบมาแทงท่านจะทำอย่างไร”
หานหานมองดูหญิงสาวในอ้อมอกด้วยความประหลาดใจแล้วว่า “ถ้าเจ้าเป็นคนแบบที่พูดมาจริงๆ แล้วจะเตือนให้ข้ารู้ก่อนทำไม”
เสี่ยวชุนหัวเราะร่า จากนั้นก็เกิดรู้สึกเจ็บหน้าอกจนเริ่มไอ “เจ้าหนุ่ม…ไม่คิดว่าพอบอกออกไปแล้วกลับทำให้เจ้าลดกำแพงป้องกันตัวลงเสียอย่างนั้น ยิ่งลงมือง่ายขึ้นอีก…”
“ดูจากอายุเจ้า ข้าน่าจะโตกว่าเจ้าอย่างน้อยๆ ก็สิบปี…เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าหนุ่ม มันจะไม่…” หานหานท่องยุทธภพมานานหลายปี ยังไม่เคยมีหญิงสาวคนใดเรียกเขาว่าเจ้าหนุ่มมาก่อนจึงรู้สึกแปลกใจยิ่ง
เขาควบม้าห้อตะบึงราวกับเหินบิน ขี่ไปได้พักใหญ่ก็เริ่มมองหาบึงน้ำสักแห่ง
ช่วงฝนต้นเหมยเพิ่งผ่านพ้นไป หิมะและน้ำแข็งบนเขาสูงละลายไหลลงมาเป็นลำธาร กลายเป็นบึงน้ำเขียวใสกระจ่าง หานหานอุ้มเสี่ยวชุนเดินลุยน้ำลงไป เมื่อความเย็นจากน้ำแข็งที่ละลายสัมผัสข้อเท้าก็แผ่ซ่านเข้าไปในอกและปะทะกับหยางในร่างกาย เสี่ยวชุนทนไม่ไหวจึงเริ่มตัวสั่น รู้สึกไม่สบาย
เสี่ยวชุนรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อนจนแทบลวก ความรู้สึกร้อนราวกับเหล็กที่หลอมละลายค่อยๆ ระบายออกจากไหล่ซ้าย ไหลเวียนกระจายไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นปลาย่างที่อยู่เหนือกองไฟ กำลังถูกย่างจนเริ่มเกรียม
หานหานอุ้มเสี่ยวชุนเดินไปตลอดทาง รับรู้ได้ว่าร่างกายเสี่ยวชุนไม่ปกติ เขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยทั่วร่าง ไม่เพียงที่ใบหน้า แม้แต่ลำคอและแขนส่วนที่เผยออกมานอกเสื้อผ้าก็แดงก่ำ แม้จะเดินลุยอยู่ในน้ำเย็น แต่ความร้อนก็ไม่ลดน้อยถอยลงเลย