ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 4 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 4 #นิยายวาย

ตั้งแต่เด็กหานหานได้รับอิทธิพลเรื่องการฝึกวรยุทธ์จากผู้ใหญ่ในตระกูล และได้มีประสบการณ์ท่องยุทธภพมาช่วงหนึ่ง พอเห็นสภาพของเสี่ยวชุนในตอนนี้จึงคาดเดาว่าการที่พลังยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่สอดคล้องกับอายุอาจเป็นเพราะมีคนบังคับผลักดันพลังยุทธ์ภายนอกเข้าไปในร่าง จึงได้รับกำลังภายในที่ลึกล้ำ หากกำลังภายในที่ว่านี้รวมตัวอยู่ในร่างกายอย่างนิ่งสงบก็คงไม่เป็นไร แต่หากได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือธาตุไฟเข้าแทรก พลังอันมหาศาลนั้นจะทะลักออกมาจากกรอบที่ขังไว้ โจมตีทะลุทะลวงเส้นเลือด ร่างกายที่ยังเยาว์และอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้มีหรือจะทนไหว

หานหานพูดกับเสี่ยวชุนว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่ในช่วงความเป็นความตาย ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ข้าอยากช่วยเจ้า แม้เจ้าจะอายุยังน้อยแต่ก็เป็นหญิงคนหนึ่ง เรื่องวันนี้ข้าไม่อาจเพิกเฉย หากเจ้าต้องการให้ข้ารับผิดชอบ ข้าจะไม่พูดมากแม้เพียงประโยคเดียว”

เห็นหานหานท่าทางไม่สบายใจ สีหน้าเคร่งเครียด พูดจาสารภาพชัดถ้อยชัดคำอย่างจริงจัง เสี่ยวชุนก็รู้สึกว่าน่าขัน แม้จะรู้สึกไม่สบายมาก แต่ก็อดทำตาปริบๆ แล้วถามกลับอย่างหยอกเย้าเล่นไม่ได้ “รับผิดชอบ?…เจ้าช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ทำไมต้องรับผิดชอบ…”

หานหานงุนงงอยู่นานกว่าจะเข้าใจว่าน้องสาวคนนี้จงใจจะเย้าเขาเล่น ในใจคิดเพียงอยากช่วยคน ไหนเลยจะรู้ว่าตนจะถูกล้อเลียนเช่นนี้ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ลืมแม้แต่จะผ่อนแรงขณะแก้สายคาดเอวให้นาง

เสี่ยวชุนแม้จะยังพูดจาได้คล่อง แต่เนื่องจากยังบาดเจ็บอยู่ พอหานหานดึงสายคาดเอวก็ได้ยินเขาทำเสียงหึ ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด กัดฟันกลืนเสียงโอดครวญลงไป

ท่าทางเช่นนี้ดูไปแล้วก็น่าสงสาร คนที่อยู่ในอ้อมอกแม้อายุยังน้อย แต่อย่างไรก็เป็นหญิงสาวอายุสิบสี่สิบห้า ดูนิสัยแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าเพิ่งออกมาท่องยุทธภพ ยังไม่รู้อะไรควรไม่ควร จึงได้ผิดใจกับพวกสำนักภูษานิลจนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นนี้ คิดถึงตรงนี้แล้วหานหานก็ต้องก่นด่าว่า ‘ไม่รู้หนักเบา’ เสียบ้างเลย

ตัวเขาโตเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ทำไมมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยคนนี้ ตอนนี้ช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เรื่องอื่นทิ้งไว้ก่อนยังไม่ต้องสนใจ

หานหานพูดต่อ “หากต้องการจะให้ปราณกลับคืนสู่ร่างกายเจ้า จำต้องเปลื้องผ้าออกให้ผิวสัมผัสกัน ยืมพลังจากน้ำให้ช่วยดึงความร้อนออกไป หากสวมเสื้อผ้า ไอร้อนจะไม่กระจายออก เกรงว่าจะย้อนกลับมาทำให้เกิดการบาดเจ็บได้”

“อ้อ ด้วยเหตุนี้เจ้าก็เลยต้องถอดเสื้อผ้าข้าออก ไม่นับว่าเสียมารยาทสักหน่อย!” เสี่ยวชุนยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนแรง

เส้นเลือดที่ขมับหานหานกระตุก เกือบจะมือไม้อ่อนจนทำเสี่ยวชุนตกลงไปในบึงน้ำเย็นเสียแล้ว เสี่ยวชุนที่เสียหลักลื่นโอนเอนไปข้างๆ หวีดร้องออกมาเบาๆ หานหานจึงค่อยดึงร่างเขากลับมา

เวลานี้เหมือนมีอะไรบางอย่างร่วงลงไปในบึงน้ำตามเสื้อผ้าที่ถูกถอดออก หานหานไม่สนใจจะมองหาว่ามันคืออะไร จากนั้นก็ดึงเสื้อตัวในของเสี่ยวชุนออก

หลังจากนั้นสายตาของหานหานก็ไพล่ไปมองหน้าอกของเสี่ยวชุน ตอนแรกเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งจนแม้แต่ปากก็หุบไม่ลง เสี่ยวชุนมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปที่หน้าอกของตัวเองก็ตกใจจนร้องออกมา

“เอ๊ะ! เอ๋?” ไม่มีหรอกหรือ?!

เสี่ยวชุนลูบคลำหน้าอกที่แบนราบแล้วพูดเหมือนเพิ่งได้รู้ว่า “มิน่าเล่า คำเรียกว่าน้องสาวฟังแล้วแปร่งหู…ที่แท้ก็…”

เสี่ยวชุนเปลื้องกางเกงออกตรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ยิ้มแล้วว่า “ที่แท้ข้าก็เป็นชาย…ฮ่าๆ…”

หานหานโกรธจนแทบกระอักเลือด เป็นชายหรือเป็นหญิงก็ไม่แน่ชัด ยังปล่อยให้เขาพูดเรื่องรับผิดชอบไปจนหมดเปลือก นี่มัน…ใบหน้าอย่างนี้ ซ้ำยังสวมใส่เสื้อผ้าของหญิงสาว ใครได้พบเข้าครั้งแรกย่อมเห็นเป็นผู้หญิง ใครจะไปคิดเล่าว่าที่แท้ก็เป็นผู้ชาย!

หานหานสีหน้าเครียดคล้ำ พยายามสะกดความโกรธ เม้มปากแน่นไม่พูดอะไร เกรงว่าหากพูดอะไรกับเจ้าเด็กน้อยนี่อีกสักประโยค สุดท้ายแล้วตัวเขาจะไม่เหลือแม้แต่ปณิธานที่จะช่วยคน แล้วจับตัวเจ้าเด็กแสบขี้เล่นที่ลอยหน้าลอยตาอยู่นี้กดน้ำให้ตายๆ ไปซะเลย

ทันใดนั้นหานหานก็สำรวมจิตใจ อุ้มร่างเสี่ยวชุนแล้วนั่งลงในบึงน้ำเย็น

บัดนี้เสี่ยวชุนรูปร่างเล็กลงแล้ว น้ำในบึงสูงแค่อกหานหานแต่สูงถึงคางเสี่ยวชุน เมื่อสองมือของหานหานดันที่หน้าอกเขา ศีรษะก็โงนเงนจนใบหน้าเกือบจะจมลงมิด สำลักน้ำไปหลายอึก

หานหานประคองศีรษะเสี่ยวชุนให้ตั้งขึ้น เมื่อสองมือประทับได้มั่นคงแล้วก็เริ่มขับดันกำลังภายในเข้าไปในร่างเสี่ยวชุน

ในเวลาเดียวกันปราณในร่างเสี่ยวชุนก็กระจายออก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวก็อบอุ่น เมื่อกำลังภายในที่หานหานขับดันเข้าร่างไปกระทบก็ถูกดีดกลับจนสั่นสะเทือน

แต่หานหานไม่ยอมแพ้ เขายังคงลองดูอยู่อย่างนั้นอีกสิบกว่าหน ในที่สุดเมื่อความร้อนความเย็นเข้าแทนที่และกลืนกินกันเองจนหมด หานหานฝืนต้านพลังที่ตีกลับเพื่อทะลวงเส้นลมปราณให้เสี่ยวชุน จากนั้นก็ค่อยๆ ขับเคลื่อนไปทีละระลอก หลังผ่านไปหลายชั่วยามก็สามารถคุมสภาพที่ปั่นป่วนให้กลับมาเป็นปกติได้ในที่สุด

เมื่อทำงานใหญ่สำเร็จหานหานก็ดึงมือกลับอย่างอ่อนล้า ร่างโงนเงนไปมา

เสี่ยวชุนที่ได้รับการทะลวงเส้นลมปราณจนกลับมาเดินได้สะดวกก็ยังรับแทบไม่ไหว ร่างจึงกะปลกกะเปลี้ย ปากพะงาบๆ บ่นพึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “…ให้ข้านึกออกก่อนเถอะว่าใครทำร้ายข้าจนตกหน้าผาลงมาอย่างนี้…ข้าจะต้องให้เขาได้ลองตกหน้าผาดูสักครั้ง…แบบไม่ให้มีร่างคนมารองรับ…ดูซิว่าจะตายหรือไม่…”

หานหานเหน็ดเหนื่อยเสียจนไม่ได้สนใจคำพูดพล่ามของเสี่ยวชุน เขาดึงตัวเสี่ยวชุนขึ้นมาอยู่ริมตลิ่ง จากนั้นก็กลับลงไปคลำหาของในบึง

เขาจำได้ว่าเมื่อครู่มีอะไรบางอย่างตกจากตัวเสี่ยวชุนลงไปในบึงน้ำตรงนี้นี่นา

“…” คลำหาจนเจอแล้วหานหานก็หยิบขึ้นมาดู สีหน้าที่แต่เดิมยังพอดูได้กลับขาวซีดไปในทันใด

เขารีบปราดเข้าไปอยู่ข้างกายเสี่ยวชุนทันที มือหนึ่งจับไหล่เสี่ยวชุนเขย่า อีกมือถือกระบี่สองเล่มที่รูปร่างคล้ายกันซึ่งสลักลวดลายมังกรและหงส์ ตะคอกถามอย่างบ้าคลั่ง ลืมสิ้นว่าตัวเองฝึกตนเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่และควรจะมีความสุขุมในฐานะที่ท่องยุทธภพมานาน “เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร จ้าวเสี่ยวชุนเป็นอะไรกับเจ้า! กระบี่มังกรและหงส์สองเล่มนี้เป็นของท่านปู่ข้า เจ้าไปได้มาได้อย่างไร! ตอนนั้นจ้าวเสี่ยวชุนตกลงแม่น้ำตายไปแล้วชัดๆ กระบี่สองเล่มนี้ก็หายสาบสูญตามตัวเขาไปด้วย แต่เจ้ากลับมีกระบี่ของปู่ข้า เจ้าเคยพบจ้าวเสี่ยวชุนหรืออย่างไร บัดนี้ตัวเขาไปอยู่ที่ไหนกัน!”

คำถามที่ระเบิดออกมาติดๆ กันตะคอกใส่หูเสี่ยวชุนจนแสบแก้วหูไปหมด หัวก็ปวดไปด้วย

เสี่ยวชุนรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งล้า แต่ที่รู้สึกมากไปกว่านั้นคือความเจ็บปวดแสนสาหัสซึ่งเกิดจากอาการชี่พร่องและเลือดพลุ่งพล่านในอก

เสี่ยวชุนฝืนยิ้มพลางพูดล้อท่าทางยิ้มกริ่ม “อยู่กับตัวข้าก็ย่อมต้องเป็นของข้าสิ…เด็กดี…มา มาเรียกข้าว่าปู่ซิ…”

“เจ้า!”

หานหานโกรธแทบเต้น แต่แล้วก็เห็นเสี่ยวชุนเอนมาข้างหน้าอย่างแรงแล้วกระอักเลือดออกมา

ทั้งศีรษะทั้งใบหน้าหานหานเต็มไปด้วยเลือดทันที เขาได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงงัน

“ย่ามันเถอะ…เจ็บ…” เสี่ยวชุนลมหายใจแผ่วระโหย สูญเสียพละกำลังจนไม่อาจครองสติไว้ได้อีก ถึงกับหมดสติไป

หานหานตกใจจนอึ้งไปครู่หนึ่ง “นี่มันคำพูดติดปากของจ้าวเสี่ยวชุนนี่นา!”

 

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเสี่ยวชุนก็หลับสนิทไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย

บางครั้งเขาได้ยินเสียงนกร้องที่นอกหน้าต่าง บางครั้งก็รู้สึกว่าแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาในห้องนั้นแสบตา แต่เขายังคงหลับตาสนิท สติสัมปชัญญะฟื้นคืนกลับมาเล็กน้อยแล้วก็เลือนหายไปอีก

ขณะอยู่ในห้วงนิทรา ในฝันมีแต่ความว่างเปล่า แม้จะนิ่งสงบแต่เห็นได้ชัดว่าโศกเศร้าเสียใจ

ทันใดนั้นก็มีภาพร่างในชุดสีขาวล่องลอยผ่านไป เสี่ยวชุนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปคว้า

คิดว่าคว้าได้แล้วก็ลืมตาขึ้นทันที จึงพบว่าสิ่งที่คว้าไว้ในมือก็แค่ผ้าม่านสีขาวที่บังเอิญถูกลมพัดมาระใบหน้าเขาเท่านั้น

จากนั้นความเจ็บร้าวที่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นในหัว เงาร่างที่ผ่านไปในความฝันค่อยๆ เลือนหาย ไม่พบเห็นอีกเลย

เสี่ยวชุนทุบศีรษะตัวเองแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนจึงนั่งมึนงงอยู่บนเตียงนานครู่ใหญ่พลางประเมินสภาพแวดล้อม จากนั้นฉวยเอาเสื้อผ้าตัวหนึ่งมาสวม แต่ไม่เห็นมีรองเท้าจึงเดินออกมาเท้าเปล่า

เขาจดจำเรื่องราวก่อนจะตกหน้าผาลงมาไม่ได้ จำได้เพียงว่ามีคนผู้หนึ่งชื่อหานหานช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ใด แต่คาดเดาว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นบ้านของคนผู้นั้น

เพราะไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานาน ท้องเสี่ยวชุนก็ถึงกับส่งเสียงร้องจ๊อกๆ

เขาเดินเตร็ดเตร่ในบ้านของผู้อื่นในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เดิมทีคิดว่าน่าจะหาใครมาถามได้บ้างว่าจะไปหาของกินจากที่ไหนมาให้คนที่น่าสงสารอย่างเขาได้กินสักชาม แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นยังไงกัน ถึงได้ปล่อยให้คนแปลกหน้าอย่างเขาเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ไม่มีคนงานหรือสาวใช้สักคนมาสอบถามด้วยความใส่ใจเลย

“คนไปไหนกันหมดนะ” เสี่ยวชุนสงสัย ได้แต่เกาศีรษะแกรกๆ

เขาเดินไปถึงห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวางโอ่โถง เงยหน้าขึ้นก็เห็นตัวอักษรที่ตวัดเขียนด้วยลายเส้นเปี่ยมพลังว่า ‘สำนักเขาหานซาน’ แต่เขาไม่ได้รู้สึกสนใจทั้งห้องโถงใหญ่โตและป้ายสำนักในบ้านของผู้อื่น เขาเอี้ยวคอพลางขยับจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่น แล้วเดินยิ้มกริ่มตามกลิ่นไปยังต้นตอ

ในห้องครัวก็ไม่มีคน น่าจะเป็นเวลาบ่ายแล้ว พวกแม่ครัวคงไปพูดคุยพักผ่อนกันหมด

เสี่ยวชุนเจอหมั่นโถวสองสามลูกในลังถึง จึงเอาลูกหนึ่งยัดใส่ปาก ยัดอีกสองลูกไว้ในอกเสื้อ หยิบสุราดอกกุ้ยที่มีกลิ่นหอมหวนไปกาหนึ่งด้วย แล้วนั่งลงกินที่ขั้นบันไดห้องครัวอย่างเอร็ดอร่อย

ทันใดนั้นไม่ไกลนักก็มีเสียงโห่ร้องอันรื่นเริงดังขึ้นเกรียวกราว เสี่ยวชุนผุดลุกขึ้นทันที สองตาเป็นประกาย หันไปมองทางด้านนั้น

ด้านหน้าดูคึกคักไปด้วยเสียงตีฆ้องกลองและเสียงโห่ร้องปรบมืออึกทึกครึกโครม เขาถึงกับเลิกคิ้ว ปากเคี้ยวหมั่นโถวหยับๆ พลางมุ่งตรงไปด้านนั้นอย่างนึกสนุก

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com