ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 1-4 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 1-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1

ผู้เขียน :  อีสือซื่อโจว (一十四洲)

แปลโดย : เซี่ยงฉี

ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

บทที่ 1

ชางลั่ง

ท้องฟ้ามืดครึ้มกดทับทะมึนอยู่บนยอดผา สอดรับกับเสียงคลื่นซัดไม่ขาดหู

เส้นทางบนภูเขามีเงาร่างสองสาย เสียงแว่วดังมาแต่ไกล “คุณชาย พวกเรามีหอบุปผากลับไม่ไปเที่ยวเล่นให้สำราญ จะดั้นด้นมาเยือนถิ่นรกร้างกันดารราวกับมีโรคระบาดแห่งนี้เพื่อสิ่งใดกัน”

คนที่พูดเป็นเด็กรับใช้หน้าตาคมคาย เสียดายที่เขาไม่มีน้ำเสียงหรือท่าทางเกรงใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังพูดจาตรงไปตรงมาด้วยเสียงที่แหบราวกับเป็ดตัวผู้

คุณชายรูปงามสวมใส่อาภรณ์หรูหราหุบพัดจีบในมือแล้วทำท่าจะตีเจ้าเด็กรับใช้ด้วยด้ามพัดเลี่ยมทอง เสียดายที่อีกฝ่ายเอียงศีรษะหลบ ข้อมือขาวผ่องบอบบางของคุณชายจึงถูกลูกหลงอย่างไร้ความผิด พู่ห้อยประดับด้ามพัดที่หนักอึ้งตีใส่อย่างแรง

“เจ้าเด็กไม่รู้ประสีประสา” คุณชายมิได้มีโทสะแม้แต่น้อย ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มจางๆ ที่ดูไม่จริงจังนัก “ย่อมต้องมีของดี อาหุย ข้าเคยทำร้ายเจ้าหรือไร”

“ท่านทำไม่น้อยเลยขอรับ” เวินหุยตอบตามความจริง “น่าสงสารอาหุยคนนี้ ช่วยคุณชายแบกหม้อ[1]* ตั้งแต่เล็ก ถูกฮูหยินกับคุณหนูผลัดกันดุด่า สู้อดทนกล้ำกลืน คุณชาย ท่านลอบมาที่ผาชางลั่ง ข้าก็ติดตามมาโดยไม่ได้ปริปากใดๆ ได้ยินว่าที่นี่ไม่สู้ปลอดภัย ขืนไม่ทันระวังให้ดีอาจถึงแก่ชีวิตได้”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงมีเภทภัย”

เวินหุยสั่นศีรษะ “ข้ามิทราบ”

คุณชายลดเสียงลงกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ข้าได้ยินว่าเพราะมีปีศาจทะเลอาละวาด”

“หา!” เวินหุยถูกขู่จนกระโดดโหยง โบกมือเป็นพัลวัน ทำท่าจะหมุนตัวจากไป “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปหาที่ตายเองเถอะ! ข้าจะกลับเมืองเยวี่ยเฉิงก่อนแล้ว ข้ายังไม่ได้สู่ขอเสี่ยวเถาเลย ยังหวงแหนชีวิตอยู่มาก”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” คราวนี้ด้ามพัดฟาดใส่เวินหุยเข้าจริงๆ พอตีเสร็จคุณชายก็สะบัดมือกางพัดพึ่บแล้วเดินหน้าต่อ ท่วงท่าของเขาองอาจ ที่เอวแขวนประดับหยกสีขาว แขนเสื้อกว้างราวเมฆพลิ้ว ผมดำสยายเต็มศีรษะรับกับสีของขุนเขาทะมึนรอบด้าน นอกจากกลิ่นอายผู้สูงศักดิ์แล้วยังมีกลิ่นอายล่องลอยดั่งเซียน

เวินหุยร้องเฮ้อในใจ คุณชายของตนเป็นคุณชายคลุ้มคลั่งผู้ลือชื่อทั่วเมืองเยวี่ยเฉิง มิใช่สมองมีปัญหาประการใด หากแต่การกระทำมักพิสดารไม่แยแสกฎเกณฑ์ของโลก ด้วยเหตุนี้จึงถูกบิดามารดาและพี่ชายใหญ่พี่หญิงรองบิดหูสั่งสอนอยู่เสมอ ถูกกักตัวไว้ในห้องให้แต่งเนื้อแต่งตัวสางผมให้เรียบร้อยเป็นการลงโทษให้ฝึกจรรยามารยาทตามจารีต

ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าดวงตาของเวินหุยเป็นโรคประหลาดอันใด ตลอดเวลาหลายปีเขาไม่เพียงไม่รู้สึกว่าคุณชายบ้า กลับยังรู้สึกว่าคนผู้นี้เกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายเซียนที่ไม่เข้ากับโลกีย์ คล้ายจะโบยบินขึ้นฟ้าได้ตลอดเวลา

คุณชายเอ่ยปากอย่างยิ้มแย้ม “ข้ายังได้ยินมาว่าหมู่บ้านชางลั่งที่อยู่ใต้ผาชางลั่งแห่งนี้กำลังทุกข์ร้อนกับการอาละวาดของปีศาจทะเลจึงใช้วิธีโบราณอัญเชิญเซียนซึ่งจะมาถึงในอีกไม่ช้า”

เวินหุยที่กำลังคิดฟุ้งซ่านถึง ‘กลิ่นอายเซียน’ จู่ๆ พลันได้ยินเช่นนี้ก็สะดุ้งในใจและไม่มีความคิดจะถากถางว่าคุณชายฟังข่าวเรื่อยเปื่อยข้างถนน พูดจาเลอะเทอะเสียแล้ว

“เอ้อ คุณชาย ท่านคิดว่าอย่างไร”

“แน่นอนว่าต้องรอท่านเซียนมาถึง คุกเข่าสามครั้งโขกศีรษะเก้าครา ตีโพยตีพายร้องขอให้รับข้าเป็นศิษย์ ท่องไปทั่วทั้งสี่สมุทร” คุณชายพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ท่าทางเย่อหยิ่งราวกับเป็นศิษย์ของเซียนแล้วกระนั้น น่าเสียดายที่ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็กลับสู่สภาพเดิม เท้าสะดุดจนเซ ต้องให้เด็กรับใช้คอยพยุง

เวินหุยได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าส่งเสียงอีก คุณชายของตนเกิดมาพร้อมเคราะห์ติดตัว ดื่มน้ำก็สำลัก กินเนื้อก็กัดถูกปาก เดินบนที่ราบแท้ๆ ยังขาพลิก สุนัขแมวพากันรังเกียจ ส่วนตนกลับชะตาประหลาดตั้งแต่เล็ก พบเรื่องใดมักกลับร้ายกลายเป็นดี ตัวอย่างเช่นถูกสุนัขไล่กัดพร้อมกับคุณชาย ทางที่เลือกวิ่งหนีมักราบรื่นที่สุด เพราะเหตุนี้จึงมักถูกฮูหยินล้อเลียนว่า ‘ดวงดีช่วยหักล้างดวงแย่ของเจ้าเด็กตัวซวยที่ไม่ว่าเจออะไรก็ขัดลาภไปหมดได้พอดี’

สองนายบ่าวแวะพักที่เรือนของครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านชางลั่งตรงเชิงเขา พักทีก็อยู่นานถึงสามวัน

ผาชางลั่งตั้งอยู่ชายขอบเมืองนี้ ติดกับทะเลใหญ่ ชาวบ้านในหมู่บ้านชางลั่งยังชีพด้วยการหาปลา ทุกคนมีเรี่ยวแรงดี แม้แต่สตรีที่ยังไม่ออกเรือนของครอบครัวนี้ก็ยังแข็งแรงกว่าสองคนที่มาจากในเมืองเสียอีก

เวินหุยแลดูสตรีที่เงื้อแขนผ่าฟืนในลานเรือน มีดในมือคมกริบเป็นพิเศษ ส่องประกายแวววาว อานุภาพดุดัน ผ่าฟืนได้เหมือนหั่นผัก ดูแล้วน่าตกใจ “แข็งแรงปานนี้ คนเดียวยังผ่าฟืนได้เท่าข้าสองคน ดูท่าแล้วแต่งกับสตรีเช่นเสี่ยวเถายังดีกว่า”

“พูดอะไรกัน” คุณชายโต้กลับอย่างเชื่องช้า “คนที่นี่อาศัยฟ้ายังชีพ แม่นางผู้นั้นฉับไวมีเรี่ยวแรงไม่แน่ว่าอาจจับปลาเก่งด้วย คนในหมู่บ้านต้องแย่งกันมาสู่ขอจนประตูเรือนสึกเป็นแน่”

สตรีผู้นั้นได้ยินแล้วจึงหันมาทางหน้าต่างส่งยิ้มให้ เผยท่าทางสมถะน่ารักไร้เดียงสา

“แม่นาง ท่านหมั้นหมายกับผู้อื่นแล้วหรือ” คุณชายถาม

สตรีผู้นั้นก้มหน้าหัวร่อ “หมั้นแล้ว”

“เป็นคนดีหรือไม่ วันข้างหน้าข้าจะเป็นศิษย์ท่านเซียน หากเขารังแกท่านจงบอกข้า ข้าจะช่วยเอาคืน!” คุณชายโบกพัดกล่าว

เวินหุยมองท่าทางของคุณชายบ้านตนเอง แม้จะมาถึงหมู่บ้านกันดารห่างไกลเพียงนี้ก็ยังหน้าไม่อาย พออ้าปากก็พูดจาเจ้าชู้ใส่สตรีดีงาม จึงอดเบะปากเบือนหน้าหนีไม่ได้

“เป็นคนดี” นางก้มหน้าตอบเสียงเบา แต่ครู่เดียวก็เงยหน้าอีก “คืนนี้เป็นเวลาที่ปีศาจทะเลจะออกมา คุณชายเฉินโปรดระวังอย่าไปริมทะเล”

คุณชายรับคำของนางแล้วถือโอกาสถกหัวข้อปีศาจทะเล จนทราบว่ากว่าครึ่งปีมานี้ในวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน ปีศาจทะเลจะปรากฏตัว ตอนปรากฏตัวคลื่นลมในท้องทะเลจะบ้าคลั่ง น้ำทะเลมีแต่หลากไม่มีลด มิรู้ทำลายวิถีทำมาหาเลี้ยงชีพของผู้คนไปมากน้อยเท่าใด

“ผู้นำหมู่บ้านเราเชิญท่านเซียนมา คาดว่าใกล้จะถึงแล้วล่ะ” หลังผ่าฟืนเสร็จนางก็หอบฟืนไว้กับอกแล้วจากไป

“คุณชาย ร้ายกาจนัก” เวินหุยชูนิ้วโป้งให้คุณชายของตน “ท่านพูดได้แม่นจริงๆ ด้วย ไปฟังมาจากที่ใด”

“หมอดูเฒ่าขาเป๋ที่มุมถนน คนที่คราวก่อนทำนายผิดถูกคนเชือดหมูแซ่หวังคว้ามีดไล่ฟันไปแปดถนนนั่นปะไร” คุณชายเล่าเป็นตุเป็นตะ

เวินหุย “…”

 

คุณชายแซ่เฉินท่านนี้ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลงใต้ต้นไม้ หลับตาไม่รู้ว่าหลับหรือตื่น พอลืมตาอีกทีก็เกือบพลบค่ำแล้ว

ขอบฟ้าสีออกแดงอยู่บ้าง ดวงตะวันยามพลบโผล่หน้าออกมาอย่างเสียไม่ได้ ลมทะเลเริ่มเย็นและมีเสียงคลื่นซัดสาด คลื่นใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าซัดใส่โขดหินจนฟองขาวกระเซ็นสูงเป็นจั้ง[2]*

“โอ้” เวินหุยอ้าปากค้าง มองดูความปั่นป่วนของท้องทะเลและหนวดขนาดเขื่องที่ฟาดใส่โขดหิน “นี่คือปีศาจทะเลหรือ น่าขยะแขยงเสียจริง”

ทางฟากตะวันออกแว่วเสียงเด็กกรีดร้องร่ำไห้จากบ้านใดก็ไม่รู้ ฟังแล้วสยองยิ่งนัก

พริบตานี้เรือนทุกหลังล้วนปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แสงไฟสว่างโร่ ต่างเฝ้ารอด้วยความหวาดหวั่นขอให้ผ่านช่วงเวลานี้โดยปลอดภัย และหวังว่า ‘ท่านเซียน’ ที่ผู้นำหมู่บ้านพูดถึงจะมาถึงโดยเร็ว

“คุณชาย ท่านว่าท่านเซียนจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าโลกของเซียนเองก็กำลังสับสนวุ่นวายนัก”

คุณชายโบกพัดเบาๆ ชายตามองเวินหุยแวบหนึ่ง “เจ้าไปฟังคำพูดเหลวไหลมาจากที่ใด”

“ซินแสเล่านิทานในย่านสิบสี่น่ะ พักนี้ท่านมัวแต่วุ่นวายไม่เป็นเรื่องเป็นราวกับเจ้าเฒ่าขาเป๋ ไม่ได้ไปฟังซินแสเล่านิทานนานแล้ว” เวินหุยหัวร่อแหะๆ กล่าวว่า “วันนั้นคุณหนูใช้ข้าไปซื้อปิ่นมุก พอดีได้ฟังท่อนหนึ่ง ‘ในวังฝูเทียนไม่มีผู้ใดเป็นใหญ่ หลันซานจวินจึงมีความคิดที่จะเป็นเอง’ บอกว่าพวกเขาเหล่าเซียนเป็นมังกรไร้เศียร ผู้ใดมีฝีมือหน่อยก็พากันตั้งตัวเป็นใหญ่ ท่านเพิ่งร้องจบก็ถึงตาข้าขึ้นแสดง…ซินแสโจวช่างปากคอเราะราย!”

ดูท่าคุณชายจะสนใจขึ้นมาบ้าง “นี่น่าสนใจอยู่นะ เจ้าเล่าให้ฟังโดยละเอียดที”

ครานี้เวินหุยจึงเลียนแบบคนเล่านิทาน เคาะแผ่นไม้ ทำมือทำไม้ประกอบ คุยโวไม่หยุด

“ซินแสเล่าไว้ดังนี้ แต่โบราณมาวิถีเซียนวิถีมนุษย์ต่างไม่ข้องเกี่ยวและแตกต่างกัน ผู้เคยผ่านวิถีแห่งกลอุบายคือเจ้าแผ่นดินในแดนมนุษย์ หากก้าวขึ้นสู่วิถีเชื่อมฟ้าคือราชันของเหล่าเซียน เมื่อพิจารณาจากทั่วทั้งแปดทิศาแล้ว การปีนถึงจุดสูงสุดคงไม่เกินกว่าสองผู้นี้”

“เรื่องนี้ซินแสเคยเล่าไว้นานแล้ว” คุณชายกล่าว “แล้วอย่างไรต่อ”

“ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าห้าร้อยปีมานี้แดนมนุษย์มีการแบ่งแยกแผ่นดินนานแล้ว ทุกเมืองทุกแคว้นต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ เหล่าผู้กล้ายึดครองแดนดิน ถึงขั้นไม่มีผู้ใดสามารถเรียกขานคำเดียวผู้คนตอบรับทั่วหล้าได้ วิถีแห่งกลอุบายย่อมไม่มีผู้ใดก้าวเข้าไป ทว่าวิถีเซียนมิใช่เช่นนี้ นับแต่ราชันเทพเยี่ยนเอาชนะสามจวินสิบสี่โหว[3]** ได้ภายในสิบปี ก้าวเข้าวิถีเชื่อมฟ้า ขึ้นสู่ภูเขาฮว่านตั้ง ทุกอย่างก็สงบราบคาบ ไม่มีมารอสูรภูตผีเกะกะอาละวาดอีก”

เวินหุยพลันหักมุม “แต่บัดนี้สภาพการณ์ไม่เหมือนเดิม วังฝูเทียนบนภูเขาฮว่านตั้งซึ่งเป็นที่ประทับของราชันเทพเยี่ยนถึงกับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นานกว่าสิบปีแล้ว! เหล่าเซียนพากันคาดเดาว่าแม้ราชันเทพเยี่ยนจะมีอัจฉริยภาพเป็นเลิศ แต่รากฐานไม่แน่นพอ หรืออาจเพราะฟ้าริษยาจนธาตุไฟเข้าแทรก สิ้นสูญบนเขาฮว่านตั้งไปแล้ว”

เด็กรับใช้กำลังเล่าอย่างออกรส พลันเห็นคุณชายของตนมองไกลออกไปในท้องทะเลด้วยท่าทางจดจ่อ “คุณชาย?”

“อาหุย” คุณชายเกือบตาค้าง ลืมกระทั่งการเสแสร้งโบกพัดไปเสียสนิท “มันมาทางเราแล้ว!”

เวินหุยเงยหน้ามอง กลิ่นคาวปะทะหน้าพร้อมกับลมทะเล เห็นหนวดใหญ่มหึมายืดขึ้นสูงลิ่วจากผิวทะเลฟาดใส่ทางพวกเขาอย่างดุร้าย!

คุณชายรีบใช้ไม้ตายประจำตัวที่ฝึกฝนจากการวิ่งหนีสุนัขไล่กวดตามตรอก ฉุดเด็กรับใช้ของตนเองขึ้น ชักเท้าวิ่งไปนอกเรือนทันที หยกประดับที่ห้อยกับเอวกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งไม่เป็นจังหวะ “จะให้มันฟาดพังเรือนของแม่นางผู้นั้นไม่ได้!”

“ท่านยังมีแก่ใจนึกถึงนางอีก” เสียงของเวินหุยดังก้องในหมู่บ้านเล็กๆ “ฮูหยินพูดถูก เทพโรคระบาดเยี่ยงท่านต้องลั่นกุญแจขังไว้ในห้อง ปล่อยออกมาไม่ได้แม้แต่วันเดียว”

“เช่นนั้นบ้านข้าคงต้องเจอภัยทางน้ำแล้วน่ะสิ” คุณชายโต้กลับอย่างเต็มกำลัง

เวินหุยใช้ความเยือกเย็นที่เหลืออยู่เพียงสายเดียวท่ามกลางความหวาดหวั่นลนลานนั้นขบคิด…มีเหตุผล

เนื่องจากคุณชายของตนเป็นตัวเคราะห์ร้ายอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ในรัศมีหนึ่งหลี่[4]* หากมีสุนัขดุเป็นต้องเห่าหอนไม่หยุด หากมียุงแมลงเป็นต้องมารุมกัด หากออกจากบ้านเดินทางไกลส่วนมากจะเจอฝนตกหนัก ทำเอายามที่บรรดาคุณชายคนอื่นๆ ในเมืองเยวี่ยเฉิงนัดกันชมบุปผาดูต้นหลิวมักเย้ากันว่า ‘ห้ามเชิญคุณชายรองสกุลเฉินเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นภายในสามวันเหล่าบุปผาบานสะพรั่งจะโรยรา ต้นหลิวเขียวสดจะเหี่ยวแห้ง’

ยังดีที่เรือนหลังนี้อยู่ชายขอบหมู่บ้าน ทั้งสองเพิ่งวิ่งออกมาหนวดเส้นนั้นก็ฟาดลงอย่างไร้ไมตรี เวินหุยรีบกระชากคุณชายหมอบกับพื้นทันที แล้วกลิ้งตัวหลายตลบ หลบพ้นการโดนฟาดอย่างเฉียดฉิว

พวกเขาลุกขึ้นแล้วพลันเปลี่ยนทิศทางวิ่งหนีไปอีกทิศ ร่างของปีศาจทะเลค่อยๆ เคลื่อนมาชิดฝั่ง หนวดข้างตัวม้วนเข้า หนวดอีกหลายเส้นชูขึ้นสูงเตรียมฟาดลงมาทุกเมื่อ

หนวดนั้นใหญ่ขนาดเท่าท่อนไม้ ดูลื่นเหนียวยามอยู่ใต้แสงจันทร์ เปื้อนดินทรายบนฝั่ง มันโค้งงอขึ้น ตั้งท่าจะฟาดใส่ทั้งสองแล้ว

เวินหุยหลับตาปี๋ ครานี้แย่แล้ว

กลับได้ยินเสียงของสตรีที่รุดมาตะโกนลั่นว่า “วิ่งเร็ว!” นางเงื้อขวานผ่าฟืนจามใส่หนวด เสียงนั้นราวกับศาสตรากระทบกัน ประกายไฟแลบแปลบปลาบ แต่ไม่อาจทำให้ปีศาจทะเลบาดเจ็บแม้แต่น้อย

คุณชายกลับปล่อยมือเด็กรับใช้ออก ส่วนตนเองก็มุ่งไปหาความตายที่ริมทะเล “ให้มันเข้าหาข้า พวกเจ้าหนีเร็ว”

หนวดยักษ์ที่พันกันต่างถูกเขาชักนำมาทางเดียว ม้วนใส่ทุกทิศทาง พริบตาเดียวก็กลบร่างคุณชายที่สวมชุดหรูหราจนไม่เห็นแม้แต่เงา

“เฉินเวยเฉิน ท่าน…” คราวนี้เวินหุยตะโกนลั่น ไม่สนแม้กระทั่งคำเรียกที่แสดงถึงความเคารพนับถือแล้ว เขาแย่งขวานจากมือของนางแล้ววิ่งเข้าใส่หนวดยักษ์เหมือนเอาไข่กระทบหิน[5]**

เวลานี้เองกลับเห็นประกายกระบี่สายหนึ่งวาววับดุจสายลมดุจหิมะแต่ไกล ประกายยะเยียบแหวกขอบฟ้าหนักอึ้ง พริบตาเดียวก็ถึงริมหาด ฟันใส่ทางขวาง

ปีศาจทะเลชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ร่างของมันถูกปราณกระบี่วาดผ่าน หนวดหลายเส้นถูกตัดขาดร่วงหล่นลงกับพื้น เผยให้เห็นคุณชายที่ยังไม่ถูกรัดจนแหลกกลางดงหนวด คุณชายที่ชื่อเฉินเวยเฉินท่านนี้ยืนอยู่ที่เดิม ยกมือปาดเลือดบนใบหน้าที่ถูกเศษหินบาดเมื่อครู่ แลดูเงาร่างที่อยู่ตรงขอบฟ้า จุปากอย่างอัศจรรย์ใจ “เคราะห์ร้ายมานานถึงเพียงนี้เพิ่งเจอโชคดีเป็นครั้งแรก”

ปีศาจทะเลไม่ทันระวังถูกฟันบาดเจ็บ หนวดที่เหลือจู่โจมใส่คนที่อยู่ตรงขอบฟ้าทันที เห็นได้ชัดว่ามันมิใช่สัตว์ประหลาดในแดนมนุษย์ ยามหนวดเคลื่อนไหวก่อเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม ผิวทะเลปั่นป่วนคลื่นใหญ่ครืนครั่นลูกแล้วลูกเล่า

เซียนผู้นั้นย่อมสะบัดกระบี่รับเป็นธรรมดา

พริบตาเดียวท้องทะเลก็เต็มไปด้วยประกายกระบี่เย็นเยือก เสียงลมพัดหวืดหวือ เงาร่างของเซียนกระโจนอย่างสง่าบนท้องทะเล ประชันกับจันทราริมขอบฟ้า

เฉินเวยเฉินกลับก้าวไปทางท้องทะเลบ้าคลั่งหลายก้าว คลื่นซัดเอาสิ่งของสีขาวเป็นประกายลอยขึ้นลอยลงมาจนถึงมือเขา

ของสิ่งนั้นมีขนาดราวฝ่ามือ เปลือกนอกดูแล้วนวลเนียนดุจไขที่แข็งตัว มีลายสีเทาจางๆ กลิ่นหอมประหลาดจรุงใจ

เขากลับไปถึงข้างกายเวินหุย

เด็กรับใช้เงื้อขวานร่า ทำท่าราวกับจะฆ่าเจ้านายตนให้ตาย “มีผู้ใดวิ่งเอาชีวิตไปหาความตายเช่นนี้”

แต่ถึงอย่างไรเวินหุยก็หมดเรี่ยวแรงและทำใจมิได้ ขวานในมือควงได้ครึ่งวงก็ลดลงตามเดิม

จู่ๆ ตัวประหลาดในทะเลก็บ้าคลั่ง ก่อเกิดคลื่นซัดโถมสูงเสียดฟ้าฟาดใส่ริมฝั่งที่คนทั้งสองอยู่เหมือนภูเขาโถมทับ ปากกว้างมหึมาตะกละตะกลามราวเทาเที่ย[6]* ที่หมายกลืนกินทั้งภูผา

นี่เป็นมหันตภัยที่มิอาจหลบพ้น

ฉับพลันกลับเห็นประกายกระบี่สดใสแทงสวบผ่านไป กลิ่นอายเย็นเยียบพลุ่งพล่านจากโคนคลื่น

“คืนนี้ข้าน่าจะใช้โชคดีทั้งชีวิตจนหมดสิ้นแล้ว” ภายใต้สภาพเช่นนี้คุณชายคลี่พัดปิดหน้าทอดถอนใจ “ไม่รู้วันหน้าจะเคราะห์ร้ายอีกกี่มากน้อย ถึงจะหักกลบลบหนี้ได้”

เขามองไปทางนั้น เห็นไอขาวค่อยแกร่งขึ้น น้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง ไอหนาวกระจายใส่

คลื่นยักษ์ที่ซัดถึงจุดสูงสุดแข็งตัวค้างเติ่งขึ้นลงมิได้

กระบี่นี้ถึงกับทำให้คลื่นยักษ์เกลื่อนฟ้าผนึกตัวเป็นน้ำแข็งและหิมะ

เฉินเวยเฉินยืนอยู่ตรงจุดที่คลื่นจะฟาดลงแต่ไม่ตกลงนั่นเอง พอเงยหน้าก็เห็นน้ำแข็งทั่วฟ้า ไอเย็นเสียดผิวเสียดกระดูก

บนหาดหิมะมีคนผู้หนึ่งร่อนลง ชุดขาวพลิ้วสง่า เขาสอดกระบี่เข้าฝักเสียงดังเคร้ง กำลังเดินมาทางนี้

 

[1]* แบกหม้อ มาจากสำนวน ‘แบกหม้อดำ’ หมายถึงแบกรับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ

[2]* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

[3]** สามจวินสิบสี่โหว เป็นการจัดลำดับศักดิ์ของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนและผู้บำเพ็ญมารโดยใช้วิชายุทธ์ แบ่งเป็นตำแหน่งจวิน 3 คน และตำแหน่งโหว 14 คน

[4]* หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

[5]** เอาไข่กระทบหิน เป็นการเปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่ประเมินกำลังของตนเอง และนำภัยมาสู่ตัว

[6]* เทาเที่ย คือหนึ่งในสี่ยอดสัตว์ร้ายบรรพกาล มีใบหน้าเป็นคนร่างกายเป็นแพะ ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์ ถูกใช้เป็นลวดลายที่พบได้บ่อยบนเครื่องสำริดโดยเฉพาะกระถางสามขา เทาเที่ยขึ้นชื่อว่าเป็นจอมตะกละจึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึงคนที่ตะกละตะกลามหรือละโมบโลภมาก

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com