ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย

บทที่ 6

คันฉ่องบุปผา

ราตรีฤดูคิมหันต์เย็นเหมือนน้ำ ราตรีฤดูสารทหนาวดุจน้ำแข็ง คนนั่งบนเตียงย่อมไม่รู้สึก แต่เฉินเวยเฉินเป็นกายเนื้อธรรมดาสามัญ อีกทั้งเป็นร่างที่กำเนิดบนกองเงินกองทองกองแพรต่วนที่ได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดี

ไอหนาวแผ่ซ่านผ่านพื้นดินสู่ร่าง อาการเรื้อรังทำเอาหัวใจเจ็บแปลบเป็นระยะ เขานอนไม่หลับจึงลุกขึ้นมองดูจันทร์บนฟ้า แสงเงินอาบลานเรือน ม่านราตรีกลบความรกร้างวังเวงของกลางวัน ดูแล้วกลับเป็นภาพที่ดีและเงียบสงัด

สายตาของเฉินเวยเฉินเคลื่อนช้าๆ ไปกลางลานเรือน เห็นริมหน้าต่างมีต้นไม้ที่ยังไม่โตต้นหนึ่ง แล้วเขาก็สบตากับสตรีที่ซุกอยู่ใต้ต้นไม้พอดี

เฉินเวยเฉิน “…”

ด้วยนิสัยของคุณชายเฉิน ยามนี้ต้องถามอย่างสุภาพสักคำว่า ‘แม่นางมายามราตรีพร่างดารา มีธุระอันใด’ แต่เนื่องจากข้างหลังยังมีคนและไม่รู้ว่าหลับหรือยัง หากหลับแล้วส่งเสียงก็อาจรบกวนการนอน นั่นย่อมไม่งาม

ดังนั้นทั้งสองจึงจ้องตากัน บรรยากาศกระอักกระอ่วน

และแล้วเฉินเวยเฉินจึงลอบออกจากประตูไปอย่างเงียบเชียบ สตรีนางนั้นก็ตามติดไปเช่นกัน

นางกล่าวว่า “ท่านเซียนท่านนี้”

คุณชายเฉินเอ่ยว่า “แม่นางอาซู ข้ามิใช่เซียน”

สตรีบ้านสกุลจวงถอนใจเบาๆ “ข้าก็คิดว่ามิใช่”

เฉินเวยเฉินยิ้มน้อยๆ เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา ยามแย้มยิ้มจึงเหมือนดอกท้อแตะน้ำ แสงจันทร์บนยอดหลิว ชวนให้ผู้คนหลงใหล “แม่นางทราบได้อย่างไร”

อาซูก้มหน้าอย่างเขินอาย “ข้ามิใช่มนุษย์ ข้าเป็นปีศาจ”

เฉินเวยเฉินถอนใจชื่นชม “บัณฑิตกับภูตปีศาจเป็นนิทานที่ดี คุณชายจวงมิใช่บอกว่าแต่งกับบุตรีของท่านอาจารย์หรอกหรือ”

“สตรีที่ยังไม่ออกเรือน ไหนเลยจะให้บุรุษเห็นโฉมหน้าได้ ท่านพี่ไม่รู้จักโฉมหน้าคุณหนู ส่วนครอบครัวของท่านอาจารย์เสียชีวิตหมดในภัยสงคราม ข้าช่วยท่านพี่ไว้ที่นอกเมือง โกหกว่าข้าเองก็หนีภัยออกมา เป็นบุตรีของท่านอาจารย์ เคยบังเอิญเห็นหน้าตาเขาจากบนห้องหอ” อาซูกล่าวเสียงเบา “เผ่าพันธุ์ของข้าอาศัยในสำนักศึกษาหลังเขามาหลายรุ่นจึงรู้หนังสือและพอจะรู้ตำราบทกวีบ้าง ดังนั้นท่านพี่จึงเชื่อโดยไม่สงสัย”

“พบพานในราตรีพร่างดารา มิทราบแม่นางมีธุระอันใด”

อาซูกัดริมฝีปากงดงาม “ข้ามิกล้าไปหาอีกคน”

เฉินเวยเฉินพยักหน้า “ข้าเองก็มิกล้า”

จู่ๆ อาซูก็คุกเข่า

เฉินเวยเฉินพยุงไม่ทันจึงได้แต่แลดู

“คุณชาย อาซูใคร่ขอของสิ่งหนึ่ง”

“สิ่งใด”

“ข้าไม่รู้”

เฉินเวยเฉิน “…”

อาซูพูดต่อ “ข้ารู้แต่ว่าของอยู่บนตัวคนผู้นั้น ปีศาจจะสามารถมองเห็นลิขิตฟ้าได้เล็กน้อย บนตัวเขาจะต้องมีสิ่งของที่มีพลังโชคลาภรุนแรงที่สุด แต่โบราณมามนุษย์กับปีศาจต่างวิถี ท่านพี่ของข้าเป็นมนุษย์ ส่วนข้าเป็นปีศาจที่มีพลังอินชั่วร้าย หากปล่อยไปเช่นนี้เนิ่นนานเข้าจะเป็นภัยต่อร่างกายของเขา

สิ่งที่ท่านเซียนท่านนั้นพกติดตัว พลังโชคแกร่งกล้าทะลุฟ้า มีเพียงหยดเลือดบริสุทธิ์จากหัวใจของสัตว์มงคลยุคบรรพกาลจึงจะเป็นเช่นนี้ อาซูขอเพียงหนึ่งหยดหรือครึ่งหยดก็พอ และจะไม่รบกวนท่านเซียนอีกเลย”

ดวงตาเฉินเวยเฉินทอแววสนใจ “แม่นางได้ไปแล้วจักทำอันใด”

“ข้าจะกิน หลังกินแล้วจะขจัดปราณชั่วร้ายบนตัวได้หมด นับแต่นี้ก็จะได้เคียงคู่กับเขา”

“หากเป็นเช่นนี้ร่างปีศาจที่เกิดจากการบำเพ็ญเพียรก็จะพลอยสลายไปด้วย”

“ข้าเข้าใจ แต่ข้าปรารถนาเช่นนี้”

“ในเมื่อเจ้าตั้งใจเช่นนี้ข้าจะไม่ปฏิเสธ” เฉินเวยเฉินถาม “แล้วจะตอบแทนอย่างไร”

ปีศาจพูดทีละคำ จริงจังและเด็ดขาด “ข้าเป็นเพียงปีศาจธรรมดาที่บำเพ็ญจนสำเร็จ จึงมีเพียงคันฉ่องอันหนึ่งที่ตกทอดจากเผ่าพันธุ์และขลุ่ยถูซานหนึ่งเลา บัดนี้ล้วนยกให้คุณชายได้ ชีวิตมีเพียงหนึ่ง หากเมื่อใดที่คุณชายเผชิญกับเภทภัย อาซูแม้จะบำเพ็ญตบะมาน้อย แต่ยินดีตอบแทนด้วยชีวิต”

“แม่นางอาซู” เฉินเวยเฉินมิได้บอกว่ารับปากหรือไม่รับปาก หากแต่ถามว่า “หากไม่ได้เจอกับข้า หรือข้ามิยินยอม จับเจ้าไปให้นักพรตปราบปีศาจ เจ้าจักทำเช่นไร”

“หากโชคชะตาเป็นเยี่ยงนั้นข้าก็ได้แต่ยอมรับโดยดุษณี แต่บัดนี้มีวาสนาและโอกาส ข้าย่อมต้องขอร้อง” นางก้มศีรษะ “ข้ามิเคยกระทำสิ่งชั่วร้ายจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องสังหารข้า หากแม้ต้องการจะขจัดมารอสูรจริง ข้าย่อมสู้ไม่ไหว เพียงขอตายห่างจากหมู่บ้านนี้สักหน่อย อย่าให้ท่านพี่ข้ารู้เข้า”

เฉินเวยเฉินจ้องนาง กล่าวว่า “นำคันฉ่องและขลุ่ยให้ข้าก็พอ ชีวิตไม่ต้อง”

อาซูสะอื้นออกมาคราหนึ่ง ถึงกับน้ำตาหลั่งริน “อาซูขอขอบคุณคุณชายที่ไว้ชีวิต เมื่อใดที่คุณชายต้องการจะมอบให้ทุกเวลา”

“ชีวิตน่ะข้าไม่ต้องใช้ แต่แม่นาง…” เฉินเวยเฉินกล่าวกับนางว่า “เขาศึกษาตำราปราชญ์ วันข้างหน้าจักต้องเป็นอริยบุคคล การรักเขาลึกซึ้งเกินไปไม่แน่ว่าจะดี เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

“คิดดีแล้ว” อาซูโขกศีรษะให้ “คุณชายบอกว่าข้ารักเขาลึกซึ้งเกินไป แต่ท่านไม่รู้ว่าเขาก็เป็นเช่นเดียวกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้อาซูไม่มีอะไรให้เสียใจอีก” พูดจบก็เงยหน้าบอกว่า “ขลุ่ยถูซานสามารถควบคุมสุนัขจิ้งจอกได้ ส่วนคันฉ่องใช้ส่องใจทำลายภาพหลอน…”

“ข้ารู้แล้ว” ดวงตาของเฉินเวยเฉินฉายแววยิ้ม นิ้วมือเรียวยาวแตะที่ริมฝีปากนาง แลดูห้องหับในลานเรือนที่จุดเทียนเล่มหนึ่ง “กลับห้องไปเถิด เขามาหาเจ้าแล้ว”

และแล้วก็มีเสียงบัณฑิตตามมาจริงดังคาด “น้องหญิง? เจ้าไปที่ใดแล้ว ไฉนจึงนานเพียงนี้”

อาซูรีบลุกขึ้น คารวะคุณชายแล้วมุ่งไปทางห้อง

ยังพอได้ยินเสียงอ่อนหวานแว่วมา “เพียงตื่นขึ้นกลางดึก เห็นบุปผางามจันทร์กระจ่างจึงรีรออยู่ที่ลานเรือนครู่หนึ่ง”

บัณฑิตหัวร่อ “น้องหญิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก โอกาสดีๆ ภาพงดงาม ควรเรียกข้าผู้เป็นสามีไปชมด้วยจึงจะถูก”

เสียงเปี่ยมด้วยความรักแว่วมาอีก “เห็นท่านหลับสนิท ไม่อาจตัดใจรบกวน”

ใต้หน้าต่างปลูกดอกซิ่วฉิว[1]* สองสามกอ ฟากฟ้าแขวนด้วยจันทราสีเงิน ยามดึกสงัดกลับเป็นภาพบุปผางามจันทร์กระจ่างอย่างแท้จริง

ความวุ่นวายใดๆ ในโลกแปรเปลี่ยนตามวิถี แต่ที่สุขสงบที่สุด น่ายินดีที่สุด มิมีใดเกินหวีของแม่สื่อที่สางผมให้เจ้าสาว แลสตรีร่างน้อยอิงแอบในอ้อมกอดของสามีใต้แสงจันทร์

เฉินเวยเฉินมองดูคันฉ่องในมือ

คันฉ่องบุปผาส่องใต้แสงจันทร์จะเห็นคนในดวงใจ

เนิ่นนานนักแสงจันทร์ตกกระทบสู่ดวงตา ระบายออกมาเป็นความสับสนเวิ้งว้าง

“ตั้งชื่อไว้ดีจริง” เขาพูดกับตนเอง “แต่ก็แค่บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี[2]** คนในดวงใจอะไรกัน”

หลังจากนั้นเสียงกระซิบกระซาบในห้องหอก็เงียบลง ไฟดับแล้ว ส่วนห้องที่ตนพักนั้นไม่มีความเคลื่อนไหว เมื่อเทียบกันแล้วคุณชายเฉินก็อดทอดถอนใจอีกครามิได้ ทางนั้นภรรยาออกจากห้องไม่กลับ ทว่ามีสามีคอยอยู่ แม้จะลอบออกมาเงียบๆ เช่นเดียวกัน แต่ที่รอคอยตนอยู่เป็นเพียงเตียงผ้าห่มเย็นเฉียบเท่านั้น

เขาผลักเปิดประตูอย่างหงอยเหงาซึมเซา “เอ้อ เจ้ากระบี่เยี่ย…”

เห็นเจ้ากระบี่เยี่ยในชุดขาวยืนอยู่กลางห้อง จ้องมาที่ตนอย่างเย็นชา

ดังนั้นจึงเลียนแบบอาซูที่กลับเข้าห้องช้า กล่าวว่า “เพียงเห็นบุปผางามจันทร์กระจ่างจึงรีรออยู่ที่ลานเรือนครู่หนึ่ง”

จากนั้นก็จินตนาการเองว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าจะเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า ‘ร่วมกันชมบุปผางามจันทร์กระจ่าง’ และเหมือนตอนที่เวินหุยเก็บผ้าเช็ดหน้าสื่อรักของเสี่ยวเถาได้ ดีใจจนแทบจะบินขึ้นฟ้า

ทว่าความจริงมิได้เป็นตามที่คุณชายเฉินคิด

“เฉินเวยเฉิน คราวหน้าก่อนจะพูดเช่นนี้” แววตาเย็นชาของเยี่ยจิ่วหยายิ่งไม่สบอารมณ์ “จำไว้ว่าเก็บของก่อน”

เฉินเวยเฉินถอนใจยาว ยังดีนะ ยังมีคราวหน้า ไม่โดนเล่นงานจนตายเสียแต่ตอนนี้

“เจ้ากระบี่เยี่ยหูไวตาไว ปิดท่านไม่อยู่” เขาเก็บคันฉ่องบุปผาในมือ ยิ้มพลางกล่าวว่า “แบ่งโลหิตไคหยางให้ข้าสักหยดได้หรือไม่”

“จะเป็นการรบกวนโชคของแดนมนุษย์”

“ท่านให้ข้าเป็นการกระทำของท่าน ข้าให้ปีศาจเป็นการกระทำของข้า หากทำให้แดนมนุษย์ปั่นป่วนจริงก็มิใช่ความผิดของท่าน” คุณชายเฉินพลันเก็บท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจทุกข์ร้อนอะไร จ้องเยี่ยจิ่วหยาตรงๆ เอ่ยชัดเจนทีละคำว่า “อีกอย่างเจ้ากระบี่เยี่ยเก็บโลหิตไคหยางจากหัวใจของหงส์กำเนิดใหม่ ณ รังหงสา สังหารจิงหนี[3]* ที่ทะเลบูรพา ฆ่าเจียวหลง (มังกรวารี)[4]** จนได้จี้เมี่ยเซียง บัดนี้ยังจะไปนครหลวงเก่าของจงโจวเพื่อหาจิ่นซิ่วฮุย (ขี้เถ้าแพรไหม) ท่านได้ของเหล่านี้ไม่กลัวจะทำให้พลังโชคปั่นป่วนหรือ การไปแตะต้องเหตุและผล บาปกรรมติดตัวอาจไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดกาล”

“เจ้ารู้เรื่องโลหิตไคหยางกับจิ่นซิ่วฮุยได้อย่างไร”

“เดา” เฉินเวยเฉินตอบ “ปีศาจนั่นบอกว่าบนตัวท่านมีของซึ่งมีพลังโชคแข็งแกร่งมาก คิดดูแล้วในตัวข้ามีสิ่งอัปมงคลสุดแสนคือจี้เมี่ยเซียง ย่อมมั่นใจได้แปดส่วนว่าในมือท่านน่าจะเป็นโลหิตไคหยาง ท่านจะไปนครหลวงเก่า คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับสิ่งนำโชคเช่นกัน เมืองผีจิ่นซิ่วนอกจากจิ่นซิ่วฮุยแล้วยังจะมีอะไรอีกเล่า”

เยี่ยจิ่วหยาสีหน้าไม่เปลี่ยน ในมือปรากฏขวดหยกโปร่งใสนวลเนียนขึ้นมา เปลวเพลิงแดงฉานบาดตาภายในขวดแทบจะส่องจนแดงฉานทั่วห้อง

“เฉินเวยเฉิน โลหิตไคหยางหนึ่งหยด แต่ตอบข้าอีกครั้ง” น้ำเสียงของเขาดุดัน “เจ้าเป็นใคร”

 

[1]* ดอกซิ่วฉิว หรือดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) ส่วนใหญ่จะมีสีขาว แต่บางชนิดอาจเป็นสีน้ำเงิน แดง ชมพู หรือม่วง

[2]** บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี เป็นสำนวน ใช้อุปมาถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แม้งดงามแต่ไม่เป็นความจริงหรือไม่จีรังยั่งยืน

[3]* จิงหนี แปลว่าวาฬ หรือใช้อุปมาถึงศัตรูที่โหดร้าย

[4]** เจียวหลง (มังกรวารี) ตามตำนานเล่าว่าเป็นสัตว์วิเศษ สามารถทำให้เกิดอุทกภัยได้ และหากบำเพ็ญเพียรนับพันปีก็จะกลายเป็นมังกร ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วมังกรวารีและมังกรก็คือคำเรียกขานถึงมังกรในช่วงอายุที่แตกต่างกัน โดยรูปร่างของมังกรวารีนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับงู มีขาสี่ขา

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com