everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 17-20 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
ผู้เขียน : อีสือซื่อโจว (一十四洲)
แปลโดย : เซี่ยงฉี
ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 17
ครานั้น
เมื่อลงใต้ต่อไปก็เป็นดังที่แม่นางน้อยในกระท่อมชาวนาพูดไว้ ภูเขาสายน้ำอันตรายไร้ผู้คน
พวกเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางบนภูเขา รถม้าแล่นไปตามเส้นทางหลวงที่สร้างไว้ในยุครุ่งเรือง ซึ่งบัดนี้รกร้างแล้ว ขุนเขาสงัดเงียบไกลออกไป ตลอดทางเต็มไปด้วยสายหมอกเขียวเข้มของสารทฤดู
เฉินเวยเฉินละสายตาจากคัมภีร์หนานหัวจิงในมือ มองทัศนียภาพฤดูสารทนอกหน้าต่าง หยิบขลุ่ยถูซานที่ได้มาจากภรรยาของบัณฑิตผู้นั้นออกมาเป่าลำนำหลายบท
จิ้งจอกป่าหลายตัวกระโจนออกมาจากป่าไล่ตามรถม้า ดวงตาดำวาวน่ารักน่าเอ็นดู เขาจ้องดูจิ้งจอกน้อยที่มีพลังวิญญาณเหล่านี้ด้วยความเพลิดเพลินใจครู่ใหญ่จึงค่อยเก็บขลุ่ย
สุนัขจิ้งจอกพวกนี้ถูกของวิเศษเรียกมา แต่ไม่มีคำสั่งขั้นต่อไป เสียงขลุ่ยเองก็หยุดลงแล้ว สมองที่เลอะเลือนเพราะยังไม่เปิดปัญญาญาณของพวกมันรู้สึกสงสัยจึงกระจายตัวกันไปอย่างไร้เหตุผล
ทว่าแยกย้ายกันไปได้ครึ่งทางก็กลับชันหูตัวเกร็งพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เหมือนเผชิญกับศัตรูสำคัญ
ยามนี้เองเวินหุยเปิดม่านรถ “คุณชาย ข้างหน้ามีคนขวางทาง”
คนผู้นั้นท่าทางดุร้าย เดิมทีเวินหุยจึงรู้สึกกังวลใจยิ่ง แต่กลับเห็นคนในรถท่าทางเป็นปกติ คุณชายของตนถึงกับยิ้มให้เยี่ยจิ่วหยากล่าวว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย มีคนมาหาท่านอีกแล้ว”
เพียงเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงสุดทางข้างหน้า ร่างกายล่ำสันแข็งแรง มือถือง้าวน่าเกรงขาม เอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “ข้าเจียงอวิ๋นหวน ขอน้อมรับการสั่งสอนจากเจ้ากระบี่เยี่ย”
เยี่ยจิ่วหยาลงจากรถ ร่างในชุดขาวยืนประจันกับคนถือง้าวท่ามกลางฉากขุนเขาวังเวง
“เป็นมู่อวิ๋นโหว” เซี่ยหลางกล่าว “เข้าสู่วิถีด้วยวิชายุทธ์ เป็นผู้ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกับชันหลงจวิน”
“นักพรตเซี่ย” เวินหุยเกาศีรษะ “ก่อนหน้านี้เป็นเซียนโหวเป่าขลุ่ยท่านหนึ่ง บัดนี้มาอีกคนถือง้าว ทุกคนล้วนมาหาเจ้ากระบี่เยี่ยวัดฝีมือแพ้ชนะหรือ”
“เจ้ากระบี่เยี่ยมีชื่อเสียงเพราะพลังกระบี่ไร้รัก ชื่อฉายาจึงมิใช่จวินโหว แต่ผู้ที่เคยพบเขาต่างบอกว่ากระบี่ของเขาสามารถประชันกับผู้บำเพ็ญเซียนทั่วหล้าได้ เป็นบุคคลในโลกยุคนี้ที่อาจบรรลุขั้นฟ้าระดับสามได้ แต่ตัวเจ้ากระบี่เยี่ยเองน้อยครั้งที่จะออกข้างนอก จนบัดนี้ยังมิได้ลงจากหอกระบี่ภูเขาหิมะสู้กับบรรดาผู้คนในวิถีเซียนเลย ตามกฎเกณฑ์ของวิถีเซียน หากสู้ชนะหนึ่งโหว ตนก็จะได้เป็นโหว หากชนะสิบสี่โหวหนึ่งจวินก็จะได้เป็นจวิน หากชนะสามจวินสิบสี่โหว…”
“ได้เป็นราชัน?” เวินหุยตาแวววาว
“มีหรือจะง่ายดายเช่นนั้น” เซี่ยหลางกล่าว “หลังจากนี้ยังต้องขึ้นสู่ยอดเขาฮว่านตั้งจึงจะเป็นราชันได้ สามจวินสิบสี่โหวนั้นเป็นได้ง่าย แต่ราชันหนึ่งเดียวนั้นยากจะแสวงหา มีคนถือดีไม่น้อยเอาชีวิตไปทิ้งบนเส้นทางสู่ฟ้าของภูเขาฮว่านตั้ง ครานั้นวังฝูเทียนว่างเปล่านับร้อยปีจึงค่อยมีราชันเทพเยี่ยนปรากฏขึ้นมา สู้ชนะสามจวินสิบสี่โหว ขึ้นยอดเขาฮว่านตั้ง เขาเป็นผู้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามที่เคยพานพบในรอบหลายร้อยปี นับแต่นั้นคนรุ่นหลังจึงคาดเดากันว่ามีเพียงผู้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามซึ่งทะลุฟ้าดินจึงจะเป็นที่ยอมรับจากมรรคาสวรรค์ให้เป็นอันดับแรกแห่งวิถีเซียน” เซี่ยหลางพูดถึงตรงนี้ก็มีท่าทางดื่มด่ำเลื่อมใสไปไกลโพ้น “เสียดายที่ข้าเกิดช้า ไม่ทันได้เห็นราชันเทพเยี่ยน และไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกกันว่าขั้นฟ้าระดับสามนั้นจะเลิศหรูเพียงใด…”
เวินหุยยังคงไม่เข้าใจ “แล้วนี่เกี่ยวข้องกับเจ้ากระบี่เยี่ยอย่างไร”
“หลายปีมานี้คนได้ยินเพียงชื่อเจ้ากระบี่เยี่ยแต่ไม่เคยเห็นตัว ในที่สุดบัดนี้เจ้ากระบี่เยี่ยก็ลงจากเขาแล้ว ผู้ใดจะไม่คิดท้าสู้กับเจ้ากระบี่เยี่ยเพื่ออาศัยการนี้ล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ที่เกี่ยวกับการก้าวหน้าในขั้นบำเพ็ญเพียรของตนเล่า” นักพรตหนุ่มมองดูข้างนอก กล่าวอย่างสนใจว่า “เจ้ากระบี่เยี่ยลงเขาครานี้มีร่องรอยให้ตามหาได้ เท่ากับเป็นการประกาศว่าวิถีเซียนเข้าสู่แดนมนุษย์อย่างแท้จริง วิถีเซียนซบเซามานานปี ในที่สุดก็ครึกครื้นขึ้นแล้ว การไปทะเลทักษิณครานี้เกรงว่าคงต้องสู้กับหลันซานจวินสักครา แล้วจึงไปล้างกระบี่ที่กุยซวี[1]* ไม่แน่ว่าอาจสามารถทะลวงขั้นฟ้าระดับสามขึ้นสู่ภูเขาฮว่านตั้งได้ หลายสิบปีมานี้ไม่มีข่าวคราวของราชันเทพเยี่ยนมานานแล้ว ยังอยู่หรือไม่ต้องรอเจ้ากระบี่เยี่ยขึ้นเขาฮว่านตั้ง พวกเราก็จะได้ทราบความจริง! หากราชันเทพเพียงกักตนปิดด่าน อาจมีการต่อสู้ประลองฝีมือระหว่างผู้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามสองคน คิดดูแล้วช่างน่าตื่นตาตื่นใจ”
นักพรตหนุ่มพูดจบก็เหลียวมองรอบๆ กลับพบว่าเวินหุยฟังจนเคลิบเคลิ้ม ลู่หงเหยียนพิงกับผนังรถหลับตา กลิ่นอายรอบตัวเย็นเยียบจนน่าตกใจ ส่วนเฉินเวยเฉินเล่นกับพัดอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางเหมือนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เซี่ยหลางเองก็เริ่มงงงันจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
ระหว่างที่พูดคุยกัน มู่อวิ๋นโหวที่ถือง้าวอยู่ข้างนอกตั้งท่าสะสมพลัง อากาศรอบตัวแผ่ขยายออก ง้าวในมือกวาดใส่ทางขวาง พลังกล้าแข็งเหมือนพัดที่คลี่ออกอย่างฉับพลัน
เห็นเพียงชุดขาวเหมือนปุยหิมะล่องลอยปุยหนึ่ง เดินหน้าท่ามกลางพลังกล้าแข็งและจิตสังหาร พริบตาที่ฝักกระบี่สัมผัสกับง้าว เงาร่างพลันหมุนดุจเกลียวคลื่นเฉียดร่างมู่อวิ๋นโหวไป เสียงง้าวคำรามไม่หยุด
เยี่ยจิ่วหยาเหลือเพียงเงาหลังและกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ยังไม่ออกจากฝัก
เพียงพริบตาเดียวก็แบ่งแยกแพ้ชนะได้
แววตามู่อวิ๋นโหวเปี่ยมด้วยความนับถือ
จิ้งจอกน้อยหลายตัวนั้นต่างขดตัวด้วยความกลัว โผล่หน้าโผล่ตามองดู
“เคล็ดวิชาครานี้เพียงพอให้มู่อวิ๋นโหวนำไปขบให้แตกปีสองปี” เซี่ยหลางก็เหมือนกับเวินหุย เปลี่ยนนิสัยช่างพูดไม่ได้ “แต่สำหรับเจ้ากระบี่เยี่ยแล้วมันช่างไร้รสชาติสิ้นดี ไว้ไปถึงสำนักเจี้ยนไถที่ทะเลทักษิณ พวกเราจึงจะได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของเขา มีเฉินซูโหวกับมู่อวิ๋นโหวนำหน้า เซียนโหวอื่นๆ หรือผู้บำเพ็ญเซียนที่เร้นกายจากโลกล้วนนำศิษย์ออกมา อาจมาขอคำสั่งสอนหรืออาจตรงไปทะเลทักษิณ ดูการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเสียเลย” เซี่ยหลางใช้วิชาเล็กน้อยเรียกพิราบสีเทามาตัวหนึ่ง “ข้าเองก็ต้องส่งข่าวถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก จะได้มีวาสนาชมดูด้วย”
เฉินเวยเฉินเพียงเท้าแก้มมองดู “น่าดูชม”
ขณะที่เซี่ยหลางนึกว่าคนผู้นี้ตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไรจากเพลงกระบี่ก็ได้ยินเฉินเวยเฉินพูดต่อ
“ท่าออกกระบี่น่าดูมาก กระทั่งท่าถือกระบี่ก็ยังน่าดู”
เซี่ยหลาง “…”
ลู่หงเหยียนกล่าวเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้าได้เห็นเพลงกระบี่ซับซ้อนงดงามของเขาเมื่อคราที่ยังมิได้เข้าสู่มรรคาไร้รัก ยังไม่กลับสู่ความเรียบง่ายแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงตะลึงจนตาค้างไปเลยกระมัง”
คุณชายยิ้มพลางโบกพัด “สมัยนั้นเพลงกระบี่ของเขาโอ่อ่าหมดจด สง่าดุจนกเหินจริงๆ”
ลู่หงเหยียนหัวร่อคิด “เจ้าเห็นในฝันหรือ”
คุณชายกะพริบตา “เจ้าพูดถึงเขาในยามนั้นปากเปล่าไม่มีหลักฐานได้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้าพูดหรือ”
ลู่หงเหยียน “แม้ข้าจะมิใช่มาจากสำนักเจี้ยนเก๋อ แต่หากนับให้ถี่ถ้วนกลับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันครึ่งตัว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดเอาเอง”
“แม่นางลู่ ดูนิสัยเจ้าแล้วอายุคงไม่มากเท่าใดนัก ครานั้นน่าจะยังเป็นดรุณีน้อยกระมัง จะเคยเห็นได้อย่างไร ไหนลองว่ามา”
จริงอยู่ที่ลู่หงเหยียนอายุไม่มาก พอถูกเขาย้อนใส่ก็อารมณ์เสีย นึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนเองอดไม่ได้พูดจาถากถาง จึงตั้งใจว่าวันหลังจะไม่พูดมากกับคนผู้นี้อีก
แต่กลับเป็นคนผู้นั้นคิดว่าตนยังยั่วโมโหคนอื่นไม่พอ หันไปบ่นกับเด็กรับใช้เป็นจริงเป็นจังว่า “อาหุย เจ้าดูสิ ปกติเจ้าให้ข้าพูดจาดีๆ อย่าแกล้งบ้าแกล้งโง่ แต่บัดนี้ข้าพูดความจริง พวกเขากลับไม่เชื่อ ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าผู้เป็นคุณชายเสียใจนัก”
ลู่หงเหยียนทนต่อไปไม่ไหว กระบี่ซุ่ยคุนหลุนพาดเข้าที่คอของเขา เฉินเวยเฉินร้องขอชีวิตทันที “แม่นางลู่ แม่นางลู่ โปรดไว้ไมตรี! ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
เยี่ยจิ่วหยากลับมาในรถม้า เห็นท่าทีราวกับว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดการวิวาทจนถึงขั้นเอาชีวิตกันฉากนี้จึงเหลือบมองทั้งสองคนปราดหนึ่ง
เฉินเวยเฉินหุบปากแต่โดยดี ส่วนลู่หงเหยียนเก็บกระบี่เข้าฝัก
เซี่ยหลางอุ้มแมวดำอ้วน เอ่ยกับน้องสาวตนว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากระบี่เยี่ยใหญ่ที่สุด รองลงมาเป็นซุ่ยคุนหลุนของชันหลงจวิน ส่วนเวินหุยของเราขับรถให้ดีก็พอ”
ชิงหยวนร้อง ‘เมี้ยว’ คำหนึ่งแล้วพลิกตัวหลับต่อ
รถม้าเดินทางไปต่อ ตลอดทางมีผู้มาท้าทายอีกหลายคน กระบี่จิ่วหยาไม่เคยออกจากฝัก
จนกระทั่งลงใต้ไปอีก ฝั่งทะเลทักษิณเข้าใกล้สายตา
[1]* กุยซวี เป็นชื่อเรียกสถานที่ซึ่งตำนานจีนว่ากันว่าน้ำทั้งทางช้างเผือกไหลลงสู่ความว่างเปล่าไร้ก้นบึ้ง แม้น้ำจะไหลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ปริมาณน้ำไม่เคยเปลี่ยนแปลง
Comments



