ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 17-20 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 17-20 #นิยายวาย

บทที่ 18

หลันซาน

แดนเหนือของจงโจวมีสำนักเจี้ยนเก๋อ ทะเลทักษิณมีสำนักเจี้ยนไถ เจี้ยนเก๋อเฝ้ารักษาธารสวรรค์ เจี้ยนไถเฝ้ารักษากุยซวี หนึ่งใต้หนึ่งเหนือเป็นรากฐานของสำนักเซียน

มีตำนานเล่าว่าเดิมทีกระบี่เหนือใต้มีบ่อเกิดเดียวกัน ตอนที่แบ่งเป็นเซียนกับมาร เพื่อแยกกันสยบเหนือใต้จึงได้แยกเป็นสองฝ่าย

คำเล่าขานเช่นนี้มีร่องรอยให้ค้นหา เพราะตอนที่ศิษย์ทั้งสองสำนักเข้าสำนักมาใหม่ๆ เพลงกระบี่ที่ฝึกต่างลื่นไหลแปรเปลี่ยนงดงามดุจเมฆเคลื่อนน้ำไหลราวกับสำนักเดียวกัน กระทั่งภายหลังจึงสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างเด่นชัด กระบี่เหนือบรรลุถึงความโหดเหี้ยมท่ามกลางความซับซ้อนหรูหรา จากนั้นค่อยๆ กลับสู่สามัญ ผู้ที่บรรลุขั้นบำเพ็ญสูงสุดเพียงยกกระบี่ขึ้นมาก็สามารถตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว ส่วนกระบี่ใต้กลับก้าวไปอีกขั้นของความซับซ้อนหรูหรา หนึ่งกระบี่สามารถแปรเปลี่ยนได้นับร้อยพัน จุดหมายคือต้องการบรรจุทั้งจักรวาลลงไปในกระบี่

แต่จะอย่างไรก็ตามบัดนี้กระบี่เหนือใต้ไปมาหาสู่กันน้อยมาก ครานั้นที่วิถีเซียนรุ่งเรืองถึงขีดที่สุด เคยมีการถกกระบี่เหนือใต้ที่จัดขึ้นทุกๆ ห้าปี ดึงดูดมือกระบี่ทั้งแผ่นดินมาชมดู บัดนี้ได้ว่างเว้นมาสิบกว่าปีแล้ว

ยามนี้เจ้ากระบี่เยี่ยมุ่งหน้าลงใต้ แม้จะมิได้เป็นตัวแทนสำนักเจี้ยนเก๋อ ทว่ามีชันหลงจวินและหลางหรันโหวร่วมเดินทางมาด้วยก็นับว่าโอ่อ่ายิ่ง ทั้งยังลือกันว่าครานี้มีนัดหมายกับหลันซานจวินไว้อีกด้วย สรุปแล้ววิถีเซียนที่เป็นเหมือนน้ำนิ่งบ่อหนึ่ง บัดนี้กลับมีระลอกคลื่นเกิดขึ้นไม่น้อย

สำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณตั้งอยู่บนเกาะเซียนในทะเล รอบข้างเป็นภูเขาเซียน เกาะเซียนกระจัดกระจายดุจมุก มีสำนักย่อยของเซียนทั้งใหญ่น้อยเฝ้ารักษาการณ์ เมื่อเทียบกับสำนักเจี้ยนเก๋อในอาณาจักรหิมะแดนเหนือที่ยิ่งสูงยิ่งหนาวแล้ว สำนักเจี้ยนไถเรียกได้ว่ามีความโอ่อ่าล่องลอยสมเป็นสำนักเซียนจริง

ตั้งแต่ออกเดินทางเยี่ยจิ่วหยาได้ส่งข่าวถึงสำนักเจี้ยนไถแล้ว เรือโดยสารของสำนักเจี้ยนไถที่มาต้อนรับจึงเทียบรออยู่ริมฝั่งแต่แรก

เรือใหญ่นกน้ำชิงเชวี่ยมีเรือเล็กสองลำคุ้มกันขนาบข้าง ศิษย์บนเรือต่างสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนทั้งหมด ปกเสื้อและแขนเสื้อปักลายดอกบัว

ผู้ที่นำมาด้านหน้ามีท่าทางสุภาพอ่อนโยน รายงานตัวว่าเป็นศิษย์คนแรกของหลันซานจวิน แซ่ฉินนามหวั่นจ้าว ทั้งคณะได้รับเชิญลงเรือเป็นที่เรียบร้อย

รอจนคนผู้นั้นไปไกลแล้ว เฉินเวยเฉินจึงกระซิบกับเยี่ยจิ่วหยาว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านเคยรับศิษย์หรือไม่”

เยี่ยจิ่วหยาตอบ “ไม่เคย”

“บนเขาทั้งกันดารทั้งหนาวเหน็บ ไม่รับศิษย์สักคนไว้แก้เหงาหรือ”

“ฝึกกระบี่”

“เช่นนั้นมีมือกระบี่ผู้รับใช้คอยติดตามหรือไม่”

“ไม่มี”

“ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องของท่านเล่า ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับท่านหรือ”

“ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

เฉินเวยเฉินจึงเพิ่งเข้าใจ “ที่แท้ก็มีเพียงข้าเท่านั้น”

เยี่ยจิ่วหยามองเขา แววตาสับสนอยู่บ้าง

เฉินเวยเฉินยังอยากจะพูดอะไรอีก จู่ๆ กลับขมวดคิ้วกระอักโลหิตคำหนึ่ง หน้าซีดขาว ใบหน้าหล่อเหลากรุ้มกริ่มกลับมีความบอบบางเพิ่มขึ้นอีกส่วน

เยี่ยจิ่วหยาใช้สองนิ้วแตะที่ข้างคอเขา กดลมปราณที่กำลังพลิกคว่ำไหลย้อนไว้ เฉินเวยเฉินจึงค่อยรู้สึกดีขึ้น

เยี่ยจิ่วหยาเอ่ยว่า “ชะตาฟ้าและเวรกรรมมิอาจข้องแวะอีก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”

เฉินเวยเฉินรับคำแต่โดยดี “ได้”

“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามิอาจหุนหันพลันแล่น”

“ข้าทำมิได้” คุณชายเฉินท่าทางคับข้อง

“เหตุใดจึงทำมิได้” เยี่ยจิ่วหยาถาม “ลืมเสียก็ได้แล้ว”

“บอกให้ลืมก็ลืมได้เลยหรือ หรือว่าจะให้ข้าเลียนแบบราชันเทพที่อยู่เหนือสิ่งใดผู้นั้น ไร้รัก ไร้โศก ไร้ยินดี?” เฉินเวยเฉินย้อน “แต่ข้าเป็นมนุษย์ในโลกโลกีย์ที่มีครบทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หากลืมมันไปเสียทั้งหมดข้าก็มิใช่ข้าอีกต่อไป เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านคิดว่ากายตายกับใจตายอย่างใดคือตายจริง”

เยี่ยจิ่วหยาแลดูเขา คุณชายเฉินเป็นคนชอบยิ้มชอบหัวร่อ ยิ้มที่ต่างกัน ยังมีท่าทางมากมายที่ต่างกัน มีคำพูดมากมายกับตน วาจาเหล่านั้นตนไม่รู้จะตอบอย่างไร หากคนเยี่ยงนี้มุ่งสู่วิถีฟ้าเบื้องบนลืมรัก กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เงียบสงบมิหวั่นไหวใดๆ เช่นนั้นคุณชายธรรมดาที่พูดได้ยิ้มได้เบื้องหน้าผู้นี้จะถือว่าตายแล้วใช่หรือไม่

ใจตายเท่ากับตายหรือไม่ เยี่ยจิ่วหยาไม่รู้ เพราะในใจเขาเองเดิมก็ไร้สิ่งใดอยู่แล้ว ซึ่งก็คือไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นหรือตาย

เฉินเวยเฉินกลับกล่าวว่า “หากมีวันนั้นจริงข้ากลายเป็นสภาพนั้น เจ้ากระบี่เยี่ยจะอวยพรข้าหรือจะเสียดายกับอดีตที่ข้าเคยเป็น”

เยี่ยจิ่วหยาคิดอยู่เนิ่นนาน

“ทั้งสองอย่าง” เยี่ยจิ่วหยาตอบ “หรือไม่ทั้งสองอย่าง”

เฉินเวยเฉินหัวเราะ

“เจ้ากระบี่เยี่ย เห็นได้ว่าท่านมิใช่ไร้น้ำใจแม้แต่น้อย” เขาพิงไปกับกราบเรือ “จะว่าไปยากนักที่จะได้สนทนากับท่านอย่างสบายใจสักครา”

ยามนี้ดวงตะวันลับผิวน้ำ สีเหลืองส้มแดงแผ่กระจายเกลื่อนฟ้า เรือทะเลถอนสมอช้าๆ ใบเรือขาวสะอาดชักขึ้น มุ่งสู่ภูเขาเซียนกลางทะเล

ฟากฟ้าแขวนด้วยดาวน้อยไม่กี่ดวง ลมเบาบางพัดโชยจากตะวันออก

เฉินเวยเฉินช้อนตามองดูใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้น แต่เพราะเมื่อครู่เพิ่งอาการกำเริบจนกระอักโลหิตจึงไม่มีเรี่ยวแรงพูดจาแทะโลมคนงาม ได้แต่แหงนหน้ามองจันทร์

เซี่ยหลางลอบเห็นผ่านหน้าต่าง พึมพำว่า “ใช้กระบี่เป็น ทั้งยังมีสายสัมพันธ์กับเจ้ากระบี่ ดูท่าจะมีความเกี่ยวพันลึกซึ้ง…แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่”

นักพรตหนุ่มไม่ทันระวังลู่หงเหยียนที่เดินมาข้างหลัง “ดูพวกเขาทำอะไร”

“ชันหลงจวิน” น้ำเสียงของเซี่ยหลางฟังดูหงุดหงิดใจอยู่บ้าง “ในรถม้าท่านบอกว่านับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันครึ่งตัวกับเจ้ากระบี่ แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าเขามีสหายอะไรหรือไม่ ไม่สิไม่ อาจไม่ถึงขั้นสหาย สรุปแล้วคือเกี่ยวพันกัน”

พริบตานั้นน้ำเสียงของลู่หงเหยียนเปลี่ยนเป็นพิกล “ถามเรื่องนี้ไปไย อะไรคือเกี่ยวพันแบบใด”

“นู่น” เซี่ยหลางบุ้ยไปนอกหน้าต่าง “ความเกี่ยวพันแบบไม่พูดสักคำ ชมจันทร์ได้ค่อนคืน”

“ไม่มี” ลู่หงเหยียนตอบเสียงแข็ง “ถึงมีก็ตายไปแล้ว”

“ใช่ ใช่ ใช่!” เซี่ยหลางตาวาว “ต้องเป็นพวกที่ตายไปแล้วนั่นล่ะ!”

ลู่หงเหยียนมองเขาแวบหนึ่ง “เหตุใดจึงถาม”

เซี่ยหลางกล่าว “ชันหลงจวิน ท่านไม่รู้สึกว่าคุณชายเฉินลึกล้ำสุดหยั่งหรือ”

“เขา?” ลู่หงเหยียนไม่เห็นด้วย “แกล้งบ้าแกล้งโง่ ประหลาดพิลึก”

 

ยามวิกาล อากาศเริ่มหนาวเย็น เด็กรับใช้ลากคุณชายไปนอนด้วยท่าทีดุดัน “คุณชาย คุณชาย รีบใส่ใจตนเองหน่อยเถิด ดวงย่ำแย่ของท่านโดนลมเข้าจะล้มป่วยเอาได้”

เฉินเวยเฉินเหมือนเผชิญศึกหนัก “ปากเสีย ตั้งแต่พบกับเจ้ากระบี่เยี่ย ข้าก็ไม่โชคร้ายตั้งนานแล้ว”

เพิ่งขาดคำผิวน้ำทะเลที่ราบเรียบพลันเกิดคลื่นลูกใหญ่โถมใส่ ตัวเรือโคลงอย่างแรง

เวินหุยเกือบหกล้ม “คุณชาย ยังจะพูดอีก…”

ศิษย์ของหลันซานจวินที่ชื่อฉินหวั่นจ้าวรีบรุดมาที่ดาดฟ้าเรือ “เจ้ากระบี่เยี่ย ขออภัยจริงๆ พักนี้กุยซวีปั่นป่วน ยามค่ำคืนยิ่งแล้วใหญ่ แม้จะมีท่านอาจารย์และผู้อาวุโสทุกท่านของสำนักเจี้ยนไถช่วยสยบไว้ ทว่ายังคงกระทบถึงผิวน้ำทะเล…”

เฉินเวยเฉินค่อยสบายใจ “มิใช่เพราะข้า”

แม้จะกระจ่างแจ้ง แต่คุณชายเฉินยังคงหนีไม่พ้นผลลัพธ์การถูกลากกลับไปนอนในห้องท้องเรือ ก่อนไปยังไม่ลืมตะโกนบอกให้เยี่ยจิ่วหยาพักผ่อนแต่เนิ่นๆ

เยี่ยจิ่วหยาสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเรือเดินทะเลมาถึงภูเขาเซียน เพียงเห็นหาดหินขาวปานหิมะล้อมรอบต้นไม้เขียวขจี ไกลออกไปคลับคล้ายมีหมอกเมฆห้าสี เก๋งแท่นหอสูงล้วนคลุมด้วยม่านหมอกบางเบาที่ไหวตามสายลม

เมื่อขึ้นจากเรือสิ่งที่ต้อนรับคือศิลาเทียนชิง[1]* แกะสลัก บนนั้นเขียนว่า ‘ถิงอวิ๋น’ ลายมืออ่อนช้อยแฝงด้วยความทระนง

ผ่านบันไดหินไปก็เป็นแท่นหินกว้างสำหรับให้ศิษย์เยาว์วัยฝึกกระบี่ ศิษย์ในชุดสีฟ้าอ่อนทุกคนต่างถือกระบี่ยาวแคบสีเงิน ท่าฝึกยังไม่คล่องแคล่วแต่ก็เป็นเรื่องเป็นราว

พอเดินหน้าต่อไป ผ่านประตูฟ้าที่เป็นหินนูนสีขาว บนนั้นเขียนว่า ‘ปี้อวี้เทียน’[2]** มีตำหนักงดงามประณีตของสำนักเซียนห้อมล้อม

“เจ้ากระบี่เยี่ย จดหมายเชิญของข้าส่งไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ท่านมาสายนะ” คนผู้นั้นหัวร่อฮ่าๆ นี่คือหลันซานจวินผู้นำสำนักกระบี่เจี้ยนไถ

 

[1]* ศิลาเทียนชิง คือหินเซเลสไทน์ (Celestine) เป็นหินแร่ผลึกชนิดหนึ่ง มีสีฟ้าครามปนขาว ชื่อมาจากคำภาษาละตินคือเคเลสติส (Caelestis) ซึ่งแปลว่ามาจากท้องฟ้าหรือสวรรค์

[2]** สถานที่พำนักของเหล่าเซียนบนสวรรค์ตามความเชื่อของเต๋า ได้แก่ ปี้อวี้เทียน หลิวหลีเทียน และเยียนสยาเทียน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com