everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 17-20 #นิยายวาย
บทที่ 19
มือกระบี่ผู้รับใช้
เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ปีก่อนกักตน เพิ่งออกมาไม่นาน”
หลันซานจวินลู่หลันซานหมุนตัวนำทางให้เยี่ยจิ่วหยาพลางเอ่ยว่า “เลื่อมใสชื่อเสียงเจ้ากระบี่เยี่ยมานาน วันนี้ได้พบพาน ไม่ธรรมดาจริงดังคาด”
เดินทะลุหออาคารงดงามวิจิตร ป่าเซียนสระวิเศษ หน้าหอปี้อวี้เทียนมีที่โล่งใหญ่ปูหินน้ำแข็งผืนใหญ่
เยี่ยจิ่วหยาเดินไปอยู่ด้านหนึ่งแล้วก็ไม่เคลื่อนไหวอีก ลู่หลันซานไปอีกด้าน กระบี่ที่พกติดตัวคำรามสดใส บนนั้นสลักอักษรสองตัวคือ ‘เฟยกวง’
“เจ้ากระบี่เยี่ย เชิญ” เสียงของเขาดุจหินหยก
เนื่องจากคนในวิถีเซียนแต่ละคนวิถีต่างกัน การถกกันในเรื่องเลื่อนลอยพิศวงยากจะวัดความสูงต่ำ จึงมีการแบ่งเป็นสามขั้นบำเพ็ญ ศิษย์เยาว์วัยแต่ละวันต้องฝึกลมหายใจ นั่งสมาธิ แม้จะมีความต่างระหว่างระดับปลูกฐานและระดับสร้างแก่น ท้ายที่สุดก็ล้วนบำเพ็ญกายและบ่มเพาะนิสัยเท่านั้น ยังไม่นับเป็นก้าวสู่ประตูเซียน
ขั้นฟ้าระดับหนึ่งหยิบยืมพลังกร้าวแกร่งจากฟ้าดิน ขั้นฟ้าระดับสองเชื่อมโยงกับโชคชะตาและสัมผัสเร้นลับ ขั้นฟ้าระดับสามทะลุผ่านฟ้าดินเทียมตะวันจันทรา
จนกระทั่งในเวลาต่อมาวิถียุทธ์รุ่งเรือง ขั้นบำเพ็ญจึงสัมพันธ์กับพลังยุทธ์โดยตรง และเริ่มมีการวัดความสูงต่ำด้วยพลังยุทธ์ สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อใดมีสองคนพบหน้ากัน หากมิใช่ห่างไกลกันมากเกินไปล้วนต้องประลองกันสักตั้ง ทั้งเป็นการพิสูจน์ขั้นบำเพ็ญซึ่งกันและกันและเป็นการแยกสูงต่ำ มีผลคล้ายกับคนในโลกที่จะร้องบอกสำนักตนเองเพื่อกำหนดลำดับอาวุโส
อย่าว่าแต่สองคนนี้คนหนึ่งอยู่ใต้คนหนึ่งอยู่เหนือ ทั้งยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นในมรรคากระบี่ เหล่าคนในวิถีเซียนต่างก็คาดเดาว่าสองคนนี้ผู้ใดเหนือกว่ามานานแล้ว อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ากระบี่เหนือกระบี่ใต้ ผู้ใดเข้าใกล้มรรคาสวรรค์มากกว่ากัน หลังการศึกครานี้คงจะได้ข้อสรุป
เซี่ยหลางลากเวินหุยถอยไปหลายก้าว เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับลู่หงเหยียน
ในศาลาข้างๆ ศิษย์ในชุดสีฟ้าอ่อนพากันหันมาดู ด้านข้างยังมีมาอีกหลายคน
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เท่ากับเป็นการประลองขั้นบำเพ็ญ ชีวิตนี้คงเห็นได้คราเดียว
กระบี่เฟยกวงออกจากฝัก แวววาวดุจน้ำใสใต้แสงตะวัน เก็บงำคมประกายเอาไว้
ข้างกายลู่หลันซานเป็นศิษย์สตรีที่ชื่อฉินหวั่นฉิง ประคองฝักกระบี่ยืนรับใช้อยู่
เฉินเวยเฉินเห็นแล้วหัวร่อ ถามเยี่ยจิ่วหยาว่า “ให้ข้าทำ?” จากนั้นเขาก็สมดังปรารถนา รับฝักกระบี่สีดำสนิทของเยี่ยจิ่วหยา เลียนแบบท่าทางของฉินหวั่นฉิงจนคล้ายคลึง
กระบี่จิ่วหยาหลอมสร้างด้วยเหล็กนิล ชุบด้วยธารหนาวสุดขั้วเหนือ สีสันมิได้เป็นเงินวาวเหมือนศาสตราทั่วไป หากแต่เป็นสีดำสนิท ราวกับว่าแม้กระทั่งแสงตะวันก็ยังมิอาจสัมผัสได้
นั่นมิใช่กระบี่ผดุงธรรมเฮ่าหรัน มิใช่กระบี่หนักไคซาน ซ้ำยังมิใช่กระบี่ฆ่าคน
หากแต่เป็นกระบี่ไร้รัก
ในเมื่อหลุดจากฝักก็ต้องออกกระบี่ บรรยากาศบนแท่นศิลาไหวทะลัก ต่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ความพิสดารไม่อาจเห็นได้ทั้งหมดจากเปลือกนอก
รอจนถึงชั่วขณะที่ตึงเครียดที่สุด ความว่างเปล่ากลางอากาศราวกับเส้นสายที่ถูกดีดอย่างแรงจนเกิดเสียง
พริบตานั้นการประจันหน้าเปลี่ยนจากเงียบนิ่งสุดขีดเป็นเคลื่อนไหวเร็วที่สุด
วายุเมฆากระหน่ำ ลู่หลันซานกระโจนถึงกลางอากาศ รอบกายล้อมพันด้วยเงากระบี่นับหมื่นพัน
เงากระบี่แปรเปลี่ยน หากดูด้วยจิตสงบจะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในแดนมายา เปลี่ยนแปลงเป็นทัศนียภาพนับไม่ถ้วน เพียงชั่วขณะหนึ่งฟ้าแลบฟ้าร้อง อีกชั่วขณะมีบุปผาเบ่งบานบุปผาโรยรา
นี่เป็นการนำความตื่นรู้ฟ้าดินเข้าสู่กระบี่ทำให้คมกระบี่บรรจุทั้งจักรวาลเอาไว้ ราวกับโลกทั้งสามพัน[1]* หมุนเวียนอย่างงดงาม สมดังที่ผู้คนยกย่องว่า ‘มีเจตสิกแห่งฌาน’
แต่ชุดขาวนั้นไม่ขยับ
การถกกระบี่เหนือใต้ครั้งก่อนๆ นอกจากผู้มีพลังฝีมือสูงล้ำแล้ว ยังมีศิษย์สำนักเซียนฝีมือธรรมดาไม่น้อยที่ได้แต่ชมดูความครึกครื้น
กล่าวถึงมรรคากระบี่ สำหรับพวกเขาแล้วกระบวนการแยกแยะจิตกระบี่นั้นยากเกินไปและไม่มีทางเข้าใจ ที่น่าชมดูที่สุดเห็นจะเป็นการประลองระหว่างกระบี่เหนือกับกระบี่ใต้
เจี้ยนเก๋อแดนเหนือใช้หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นกระบี่ ส่วนเจี้ยนไถทะเลทักษิณใช้หมื่นกระบี่จัดการกับหนึ่งกระบี่ ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องแพ้ชนะ เพียงดูกระบวนท่าการใช้กระบี่ที่พิสดารสุดแสนก็ทำให้ผู้คนตาลายดูไม่ทันอย่างแท้จริง เพียงทอดถอนใจว่า ‘ยอดเยี่ยม’ แล้วถึงกับไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
สภาพขณะนี้ก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ขั้นบำเพ็ญของทั้งสองล้วนสูงส่งเหนือผู้คนถึงสิบส่วน ดังนั้นความงดงามยอดเยี่ยมย่อมวิจิตรไม่ธรรมดา ยากจะอธิบายได้
ท่ามกลางเงากระบี่พร่างพรายเกลื่อนฟ้า ในที่สุดเยี่ยจิ่วหยาก็ออกกระบี่
บรรยากาศฟ้าดินถูกดึงรั้งจนเคลื่อนไหวหมด
ในสายตาของคนธรรมดา นั่นเป็นท่วงท่าการฟันกระบี่ทางขวางธรรมดาๆ เท่านั้น ทว่าความพิสดารล้ำลึกนั้นถึงขั้นที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้ หากมิใช่บุคคลที่อยู่ในขั้นบำเพ็ญนั้นก็ไม่มีทางดูความพิสดารนี้ออก นี่เป็นกระบี่แห่งสัจธรรมแท้จริง
หนึ่งกระบี่นั้นก่อกำเนิดจากกระบวนท่ากระบี่นับหมื่น จำต้องทะลวงเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญของกระแสพลังท่ามกลางเงากระบี่เกลื่อนฟ้า
แต่หมื่นกระบี่นั้นหมุนเวียนเกิดขึ้นไม่รู้จบ ภาพมายานับหมื่นพันล้วนเกิดจาก ‘เฟยกวง’ กระบี่แรก
“หนึ่งกระบี่? หมื่นกระบี่? ข้าถึงกับเห็นไม่ชัด” เฉินเวยเฉินได้ยินเซี่ยหลางที่อยู่ข้างหลังกล่าว “กระบี่ใต้กระบี่เหนือต่างกันสิ้นเชิง แต่กลับเหมือนเชื่อมโยงกันอย่างพิสดาร เมื่อวิถีถึงยอดสุดกลับพบว่าวิถีที่แตกต่างล้วนบรรลุจุดเดียวกันได้…ผู้ถือพรตเหมือนตื่นรู้แล้ว”
เมื่อแลดูการต่อสู้บนแท่นศิลาอีกที หลังออกหนึ่งกระบี่บรรยากาศก็เริ่มเชื่องช้าลง
คมกระบี่จิ่วหยาวาดเป็นรอยจันทร์เสี้ยว ท่วงท่าราวเมฆาคล้อยเคลื่อนวารีไหลหลาก เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุก แทงเฉียงเข้าใส่เงากระบี่พร่างพราย
ราวกับสายฟ้าแหวกทะลุม่านฝน ลมน้ำแข็งที่ดุดันพัดใส่พุ่มบุปผา
เงากระบี่พลันถูกรวบเก็บ เหลือเพียงกระบี่เฟยกวงในมือของลู่หลันซาน ได้ยินเสียงเคร้งสดใสคราหนึ่ง กระบี่จิ่วหยาปะทะใส่กระบี่เฟยกวง
ทั้งสองอาศัยพลานุภาพที่ศาสตราปะทะกัน พลิกตัวหลบแล้วกลับสู่ท่าประจันหน้ากันอีกครา ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็เริ่มต่อสู้ใหม่ พลานุภาพทั้งเนื้อทั้งตัวของลู่หลันซานพลันเปลี่ยนไป พลังบริสุทธิ์ทะลักใส่กระบี่ สงบเรียบง่ายและโอ่อ่าดุจมหรรณพ
ชั่วขณะนั้นเยี่ยจิ่วหยาแผ่พลังกระบี่ไร้รักออกมาเช่นกัน ในจิตกระบี่แฝงด้วยความเวิ้งว้างของฟ้าดินที่ไร้ยินดีไร้โศก ความว่างเปล่าเงียบสงัดและหนาวสะเทือนใจสะท้านวิญญาณ
มรรคากระบี่ถึงระดับนี้ อย่าว่าแต่ปุถุชนเลย ต่อให้เป็นชาวเซียนก็มิอาจคลี่คลาย
เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนกับชุดขาวปานหิมะปะกันอีกครา กระบี่จิ่วหยากับกระบี่เฟยกวงเฉียดผ่านกันอีกครั้ง ทั้งสองต่างร่วงลงพื้น
ไม่รู้ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ
ลู่หลันซานยังสุภาพอ่อนโยนดุจหยกเหมือนเมื่อครู่ “เจ้ากระบี่เยี่ยสมคำเล่าลือ”
เยี่ยจิ่วหยาตอบเนือยๆ “หลันซานจวิน ขอบคุณ”
“ควรเป็นข้าที่ขอบคุณเจ้ากระบี่เยี่ย” ลู่หลันซานนำทางต่อ
เฉินเวยเฉินยื่นฝักกระบี่คืนให้
เยี่ยจิ่วหยาจึงเห็นดวงตาคนผู้นี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เป็นสิ่งที่นุ่มนวลอบอุ่นและเต็มไปด้วยสมาธิที่สุด มันสะท้อนเพียงเงาของตนเอง
ฝักกระบี่ยื่นถึงมือของเยี่ยจิ่วหยา เฉินเวยเฉินจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างได้ใจว่า “กระบี่ของหลันซานจวินสู้ท่านไม่ได้จริงด้วย”
เยี่ยจิ่วหยาเก็บกระบี่คืนฝัก “เห็นได้อย่างไร”
นักพรตเซี่ยหลางกำลังดื่มด่ำกับความตื่นรู้เมื่อครู่จึงมิได้สนใจภายนอก ดังนั้นจึงมีเพียงลู่หงเหยียนที่ได้ยินคำสนทนานี้ ประหลาด เหตุใดจึงฟังดูเหมือนเป็นเรื่องราว
หลังผ่านสะพานสายหนึ่ง เข้าสู่หอสูงของปี้อวี้เทียน ทั้งกลุ่มก็นั่งลงในโถงใหญ่
ในวิถีเซียนไม่มีการอ้อมค้อม ลู่หลันซานพอทักทายเสร็จก็เข้าสู่ประเด็นหลัก
“เรียนเชิญเจ้ากระบี่เยี่ยมาครานี้ ประการหนึ่งด้วยเลื่อมใสในตัวท่าน ประการต่อมาเพื่อหารือการถกกระบี่เหนือใต้ครานั้น” เขากล่าว “บัดนี้วิถีเซียนอับเฉา ค่ายสำนักต่างๆ ปิดสำนักเพื่อบำเพ็ญเพียรแต่ไร้ความคืบหน้า เรื่องธาตุไฟเข้าแทรกกลับเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลายปีนี้สั่งสมจนเป็นสถานการณ์น่าวิตก มีเพียงกระบี่ฝ่ายเหนือใต้ของท่านกับข้าจึงจะสามารถเริ่มต้นศักราชใหม่ ทำให้มีการแยกแยะวิถีพิสูจน์จิตอีกครั้ง อันจะก่อเกิดคุณประโยชน์แก่ศิษย์รุ่นเยาว์ ฟื้นฟูพลังชีวิตของวิถีเซียน”
“ข้าเองก็มีเรื่องจะขอร้อง” เยี่ยจิ่วหยากล่าวช้าๆ
“เรื่องอันใด” ลู่หลันซานค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
“ข้าอยากเข้ากุยซวี”
ผ่านไปเกือบครึ่งวันเรื่องราวสำคัญหารือกันเสร็จ ถึงค่อยมีคนพาพวกเขาไปยังที่พัก
พวกเขาได้พักในหลิวหลีเทียนซึ่งอยู่ไกลออกไปตรงข้ามกับปี้อวี้เทียน ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเหล่าศิษย์
สำนักเจี้ยนไถภูเขาศักดิ์สิทธิ์สายน้ำงดงาม มีศิษย์สตรีไม่น้อย เฉินเวยเฉินรูปโฉมดี นิสัยก็ดี เพียงครู่เดียวก็คุ้นเคยกับเหล่าสตรีและเป็นที่ต้อนรับของที่แห่งนี้
ศิษย์พี่หญิงที่อาวุโสกว่ามีกลิ่นอายเซียนลอยละล่อง สีหน้าสงบเรียบง่ายล้วนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นที่มาหาล้วนเป็นพวกแม่นางน้อยวัยสิบห้าสิบหก
น่าเสียดายที่พวกนางมิใช่เจาะจงที่เขา หากแต่มาหาคนคนหนึ่งผู้ไร้รัก
“ศิษย์พี่เฉิน ปกติเจ้ากระบี่เยี่ยทำอะไรบ้าง”
เฉินเวยเฉินตอบตามความทรงจำ “ฝึกกระบี่บนยอดเขา”
“ยังมีอีกหรือไม่”
“เหมือนจะไม่มีแล้ว”
“เจ้ากระบี่เยี่ยเคยมีคนในดวงใจหรือไม่”
“เรื่องนี้…” เฉินเวยเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง “พวกเจ้าก็รู้ว่าที่เขาบำเพ็ญคือมรรคาไร้รัก คงไม่มีกระมัง”
“ข้าได้ยินมาว่าหลังเจ้ากระบี่เยี่ยเข้าสู่สำนักเจี้ยนเก๋อตั้งแต่เยาว์วัย บรรดาศิษย์พี่ชายหญิงของเขาวันๆ ไม่ยอมฝึกวิทยายุทธ์ เอาแต่แอบดูศิษย์น้อง ทำเอาประมุขหอโกรธใหญ่ เป็นความจริงหรือไม่”
เฉินเวยเฉินหัวร่อ “ข้ากลับไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้”
“ศิษย์พี่เฉิน ท่านไปถามดูสิ” บรรดาแม่นางน้อยส่งเสียงจอแจ
“ศิษย์เจี้ยนเก๋อส่วนมากปิดปากเงียบ นี่น่าจะมีคนอื่นปล่อยข่าวเอง ไม่ควรเชื่อ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากระบี่เยี่ยชอบกินอะไร ดื่มอะไร”
เฉินเวยเฉินแลดูเหล่าแม่นางน้อยที่สีหน้าเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตนเองก็อยากรู้เหมือนกัน “ไยพวกเจ้าจึงอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาถึงเพียงนี้”
แม่นางน้อยคนหนึ่งกล่าว “พวกเราไม่เคยเห็นมรรคาไร้รัก ดูแล้วแปลกประหลาด”
คุณชายเฉินยิ้มจนตาโค้งเหมือนเดือนเสี้ยว “ผู้ฝึกกระบี่ต้องตั้งใจจดจ่อ พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ระวังหลันซานจวินจะมาเอาเรื่อง”
บรรดาศิษย์สตรีราวกับถูกเตือนจนได้สติ ต่างพากันกระมิดกระเมี้ยน ซ้ำยังเขย่งเท้ามองดูหอปี้อวี้เทียนที่ลู่หลันซานอาศัยอยู่ กล่าวอย่างขวยเขินว่า “พวกเราลอบออกมา ศิษย์พี่เฉินท่านอย่าไปบอกหลันซานจวินเชียวนะ และอย่าไปบอกเจ้ากระบี่เยี่ยด้วย”
“เขาควบคุมอบรมพวกเจ้าเข้มงวดมากหรือ”
แม่นางน้อยย่นคิ้ว “พวกเราไม่กลัวหลันซานจวิน แต่กลัวถูกทำโทษให้ไปนั่งสมาธิที่หน้าคันฉ่องลี่ซิน”
“อ้อ?”
“เพ่งพิเคราะห์จิตมารยากมาก” แม่นางน้อยท่าทางหดหู่ใจ
“เพ่งพิเคราะห์อย่างไร”
แม่นางน้อยจึงเล่าให้ฟัง
พอเข้าประตูมาเวินหุยก็เห็นคุณชายของตนถือพัดอย่างสง่า กำลังพูดคุยกับเหล่าสตรีที่สวมชุดสีฟ้าอ่อนแขนเสื้อแพรบาง
ศิษย์สตรีเยาว์วัยเหล่านี้กลัวหลันซานจวินจะสังเกตพบ หลังเล่นสนุกพักใหญ่ก็แยกย้ายกันไปเหมือนหมอกเมฆาที่สลายตัวยามเช้า
เฉินเวยเฉินกลับเก็บรอยยิ้มบางๆ ที่หางตา เดินถึงริมหน้าต่าง เขาถูกจัดให้พักในหอแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของเกาะ มองลงไปเห็นแต่ป่าต้นฉยง[2]* กว้างใหญ่สีขาวอมชมพู ตรงกลางเป็นสระบัว บนพื้นหญ้าเขียวไกลออกไปมีธารน้ำไหล ในลำธารมีหินรูปไข่ บนหินมีกระเรียนขาวยืนอยู่
กลิ่นบุปผาเบาบางปานขนนกล่องลอยร่วงหล่นในป่า แว่วเสียงพิณสดใส เสียงพิณดังอยู่ทั้งวัน
เป็นศิษย์น้องสตรีที่ดีดพิณ ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย ท่าทางสงบยิ่ง
ใต้ต้นไม้ริมลำธารมีโต๊ะหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ มีสองคนกำลังเดินหมากรุกไปมาอย่างสบายอกสบายใจ มีแต่เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานโดยปราศจากวาจา
เป็นความเงียบ เงียบเหมือนกลิ่นอายบนใบหน้าของลู่หลันซาน เงียบเกินไปกลับเหมือนน้ำตายบ่อหนึ่ง
เฉินเวยเฉินเลิกคิ้ว
“เห็นพวกแม่นางเมื่อครู่หรือไม่” เขาถาม
“เห็นแล้ว” เวินหุยตอบแต่โดยดี
“อีกไม่กี่ปีอาจกลายเป็นเช่นนี้กันหมด” เฉินเวยเฉินแลดูสตรีที่กำลังดีดพิณ เคาะด้ามพัดกับขอบหน้าต่างหลายคราเหมือนคิดอะไรได้ “วิถีเซียนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็หลงใหล สุดท้ายแล้วล้วนบำเพ็ญจนเป็นเยี่ยงนี้”
[1]* มีที่มาจากแก่นของศาสนาพุทธนิกายเทียนไถอย่าง ‘หนึ่งขณะจิตครอบคลุมสามพันโลกธาตุ’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตและจักรวาลรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังนั้น ‘โลกทั้งสามพัน’ จึงหมายถึงจักรวาลและสรรพสิ่ง
[2]* ต้นฉยง เป็นชื่อเรียกของต้นไม้เซียน มักใช้พรรณนาถึงลักษณะของต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรืออุปมาถึงคนที่มีบุคลิกสูงส่ง
Comments



