everY
ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 17-20 #นิยายวาย
บทที่ 20
สรุปกระดาน
จันทราสูงเด่น น้ำทะเลหลาก ราตรีบนเกาะอบอุ่นเงียบสงบ
ในหลิวหลีเทียนได้กลิ่นหอมจางๆ ของป่าต้นฉยง หิ่งห้อยบินกระจายเป็นจุดๆ
“เจ้ากระบี่เยี่ย ราตรีงดงามเยี่ยงนี้ นั่งคนเดียวตามลำพังไม่ดีหรอก” คุณชายในชุดหรูหราคลี่พัด เดินช้าๆ ปรากฏตัวด้านหลังเยี่ยจิ่วหยา “มิสู้ให้ข้าสรุปกระบวนท่าเป็นเพื่อนดีกว่า”
การเดินหมากมีการสรุปกระดาน วิชายุทธ์ก็มีการสรุปกระบวนท่าเช่นกัน
หากให้ผู้ชมการต่อสู้เป็นผู้สรุป ไม่เพียงต้องจดจำกระบวนท่าของทั้งสองฝ่ายได้อย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ยังต้องมีความตื่นรู้พอสมควรทีเดียว
“แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน เพียงใช้กระบวนท่ากระบี่ ห้ามใช้เจตจำนงกระบี่หรือพลังปราณ…การบำเพ็ญของข้าตื้นเขินยิ่ง มิอาจทานทนได้” เฉินเวยเฉินกล่าวพลางยิ้มจนตาหยี
เยี่ยจิ่วหยาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ได้”
พวกเขาเดินออกจากป่าต้นฉยงถึงพื้นหญ้าหน้าป่า กลีบบุปผาเบาบางที่เมื่อครู่หล่นใส่บนไหล่ล่องลอยหายไปตามฝีก้าว
เฉินเวยเฉินรวบพัด บุกใส่เยี่ยจิ่วหยา
เยี่ยจิ่วหยาใช้ฝักกระบี่ปัดป้อง
ฝักกระบี่ปะทะกับด้ามพัด เฉินเวยเฉินเคลื่อนไถลไปด้านข้างจากนั้นก็คลี่พัดออก หมายตาที่ลำคอของเยี่ยจิ่วหยา เมื่อฝักกระบี่ชี้ขึ้นบนเตรียมฟาดใส่ข้อมือเพื่อตีให้พัดภาพวาดร่วงหล่น เฉินเวยเฉินพลันชักพัดลงและใช้แรงส่งตัวกระโจนขึ้น ร่างพลิ้วไหวเหมือนบุปผากลีบหนึ่งที่กำลังล่องลอยร่วงหล่นในป่า พริบตานั้นก็คลี่พัดอีก พลิกมือฟันออกไป ปลายพัดกรีดเป็นเงาขาวสายหนึ่ง
เฉินเวยเฉินไม่มีทั้งเจตจำนงกระบี่และปราณกระบี่ แต่กระบวนท่าแปรเปลี่ยนดั่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล แม้จะไม่ถึงขั้นเปิดปิดโลกทั้งสามพัน แต่ก็มีเงาของหนึ่งกระบี่แปรเป็นหมื่นของลู่หลันซานจริง จนกระทั่งในเวลาต่อมาคล่องแคล่วกว่าเดิม พัดภาพวาดยามหุบยามคลี่ กระบวนท่าเปลี่ยนแปลงไม่หยุดและสุดจะคาดเดา
ประลองกันทีละกระบวนท่าเช่นนี้ ยืดเวลาต่อสู้ที่เดิมใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา[1]*
สรุปกระบวนท่าจบ เฉินเวยเฉินก็คลี่พัดไหวโยว ยิ้มมองดูเยี่ยจิ่วหยาคล้ายในสายตาเพียงมองเห็นแต่คนผู้นี้
เยี่ยจิ่วหยากลับเหมือนไม่เห็น หมุนกายมุ่งไปทางตะวันตก “ตามข้ามา”
เฉินเวยเฉินมองดูทิศทางที่จะไปอย่างตื่นตัว “ไม่ไป”
เยี่ยจิ่วหยาเหลือบมองปราดหนึ่ง
เฉินเวยเฉินถอยหลายก้าว สีหน้าท่าทางเหมือนไร้ความผิดใดๆ
ที่น่าเสียดายคือแม้เมื่อครู่คุณชายเฉินจะสรุปกระบวนท่าได้อย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อประจันกับเยี่ยจิ่วหยาเข้าจริงก็ไร้เรี่ยวแรงใดๆ จะต่อกรด้วย
เยี่ยจิ่วหยาควบคุมพลังปราณมุ่งไปทางทิศตะวันตก พร้อมลากเฉินเวยเฉินไปด้วยอย่างแรง
คุณชายเฉินขัดขืนไม่เป็นผล คอตกเหมือนไก่ป่วยตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกแยกร่างเป็นแปดชิ้น
ทิศตะวันตกเป็นเยียนสยาเทียน มีคันฉ่องศิลาขนาดมหึมาอันหนึ่งตั้งอยู่
คันฉ่องลี่ซิน
ด้านข้างมีป้ายศิลาสลักชิ้นหนึ่งบันทึกความเป็นมาและการใช้สอยของคันฉ่องลี่ซินเอาไว้
กล่าวกันว่าคันฉ่องนี้เป็นหินวิเศษในทะเล บรรพชนของสำนักเจี้ยนไถผู้เฝ้าสยบกุยซวีพบเข้าจึงขนย้ายมาบนเกาะเพื่อเป็นของวิเศษประจำสำนัก
เดิมคันฉ่องนี้มีชื่อว่ากวนซื่อ (พินิจโลก) เมื่อยืนหน้าคันฉ่องก็จะส่องทะลุจิตวิญญาณ เห็นจิตมาร และความยึดติด หากเป็นภูตผีปีศาจก็จะเผยร่างเดิม ไม่ว่าจะบำเพ็ญถึงขั้นใดล้วนไม่อาจปิดบังแม้แต่น้อยนิด
ถูกหิ้วคอมาหน้าคันฉ่องนี้ เฉินเวยเฉินใจเต้นตึกตักจึงหลับตาไม่มองเสียเลย
เยี่ยจิ่วหยาที่อยู่ข้างๆ เงียบงันเนิ่นนาน
เฉินเวยเฉินไม่กล้าลืมตา
บัดนี้เฉินเวยเฉินสำนึกเสียใจอย่างยิ่งที่ตนขอสรุปกระบวนท่าเพียงเพื่อจะได้ใกล้ชิดเยี่ยจิ่วหยา
เขาใช้พัดจีบโต้ตอบกระบวนท่ากระบี่ อาจเพราะทำซ้ำได้ดีเกินไปจึงทำให้ท่านผู้นี้แคลงใจและคุมตัวเขามาส่องคันฉ่องส่องมารดู
ในที่สุดก็ได้ยินเยี่ยจิ่วหยาสั่ง “ลืมตา”
เขามองเข้าไปในคันฉ่องอย่างละเอียด
เยี่ยจิ่วหยายังเป็นเยี่ยจิ่วหยา เพียงแต่รอบตัวเหมือนปราณกระบี่เย็นเยือกล่องลอย คล้ายมีคล้ายไม่มี
เบื้องหน้าร่างของเฉินเวยเฉินว่างเปล่าไร้สิ่งใดๆ มีเพียงแสงจันทร์ นกทะเล และคลื่นที่ซัดขึ้นลง
คุณชายเฉินดีใจเหนือความคาดหมาย “เจ้ากระบี่เยี่ย ครานี้ท่านเชื่อแล้วกระมัง ข้ามีความเป็นมาที่สะอาดบริสุทธิ์ มิใช่ผีมิใช่ปีศาจมิใช่มาร เพียงเป็นมนุษย์ธรรมดา”
“ผู้บำเพ็ญเซียนยังมีจิตมารและความยึดติดให้ส่อง แต่เจ้าไม่มี” เยี่ยจิ่วหยาแลดูเขา “มนุษย์ธรรมดาอย่างนั้นหรือ”
“ผู้ใดจะไปรู้กันเล่า ไหนๆ ในคันฉ่องก็ไม่มีภูตผีปีศาจ อาจเพราะตั้งแต่เล็กข้าก็รู้ว่าอายุขัยของตนนั้นจำกัด ทางที่ดีพึงสนุกสำราญให้ทันเวลาไร้ผูกพัน จึงไม่มีทั้งจิตมารและความยึดติดกระมัง” เฉินเวยเฉินขยิบตาใส่ “หรือไม่ก็เพราะเจ้ากระบี่เยี่ยอยู่ในนั้นด้วย คนในคันฉ่องคือคนในดวงใจจึงยิ่งไม่มีสิ่งใดให้ห่วงกังวลอีก”
ที่ผ่านมาแม้เฉินเวยเฉินจะไม่ปิดบังใดๆ แต่นี่ก็นับเป็นการสารภาพอย่างหมดเปลือกครั้งแรก
เยี่ยจิ่วหยาย่นคิ้ว “คนในดวงใจ?”
“ย่อมเป็นคนในดวงใจ” เฉินเวยเฉินยิ้มจนตาหยี “ไม่เช่นนั้นจะให้ยกท่านเป็นอาจารย์หรือไร”
เยี่ยจิ่วหยามองดูตนเองในคันฉ่อง ถามว่า “จำได้มากน้อยเพียงใด”
เฉินเวยเฉินรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังถามเรื่องชาติก่อนของตน
“พอจะรู้คร่าวๆ” เวลานี้เขาไม่ลืมที่จะย้ำเป็นพิเศษว่า “เพียงแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้ากระบี่เยี่ยชัดเจนเป็นพิเศษ”
“ข้ากับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องหรือผูกพันกันประเภทนี้” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเนิบๆ
“ข้ารู้” เฉินเวยเฉินยิ้ม “เขาย่อมไม่เลวเป็นธรรมดา แต่ข้ากลับมิใช่เขา เยี่ยจิ่วหยา ความจริงตั้งแต่จำความได้ ข้าก็จำท่านได้ จนบัดนี้สิบเก้าปีแล้ว บัดนี้บังเอิญได้พบจึงเห็นได้ว่านี่เป็นลิขิตฟ้า”
“หลังเขาหลุดพ้นด้วยศาสตราร่างและวิญญาณถูกทำลาย วิญญาณและจิตแตกดับ เจ้าบังเอิญมีรากปัญญาคล้ายคลึงกับเขาและถือกำเนิด ณ เวลานั้น อาจเป็นไปได้ที่จะมีเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือของเขาเข้าสิงเจ้า ดังนั้นจึงจำเรื่องเก่าก่อนของวิถีเซียนได้” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ข้ากับชันหลงจวินจะเปิดแท่นสร้างชีวิตอีกครั้งเพื่อรวบรวมวิญญาณของเขา ถึงยามนั้นเมื่อเศษเสี้ยวที่หลงเหลือบนตัวเจ้าจากไปก็จะสามารถพ้นทุกข์ทั้งปวง”
“ทุกข์หรือ ข้าไม่รู้จัก กลับเป็นตัวท่านเอง…” เฉินเวยเฉินมองดูปราณกระบี่หนาวเย็นรอบตัวเยี่ยจิ่วหยา “เฉินซูโหวบอกว่าไร้รักก็เป็นความยึดติดประเภทหนึ่ง ท่านเห็นอย่างไร”
เนิ่นนานเยี่ยจิ่วหยาจึงเอ่ยตอบ “นี่เป็นวิถีแห่งข้า ไม่รู้สึกอย่างไร”
“แต่ตราบใดที่บำเพ็ญวิถีไม่บรรลุขั้นฟ้าระดับสาม หมายความว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำความกระจ่างใช่หรือไม่”
“วันที่บำเพ็ญสำเร็จย่อมรู้คำตอบเอง”
เฉินเวยเฉินถอนใจ “สุดแล้วแต่ท่าน ถึงเวลาที่เขาฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง ท่านสมปรารถนาแต่ข้าสิ้นชีพ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเจ้ากระบี่เยี่ยจะยังนึกถึงข้าในวันนี้ได้หรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาแลดูเฉินเวยเฉิน รู้สึกว่าคนผู้นี้แม้จะคล้ายยอมรับความเป็นมาของตนเอง แต่กลับคั่นด้วยหมอกชั้นหนึ่ง ไม่รู้ที่แท้เป็นความจริงหรือไม่
สุดท้ายเยี่ยจิ่วหยาจึงได้แต่กล่าวว่า “ขจัดสิ่งแปลกปลอม มีหรือจะทำร้ายชีวิตเจ้า”
เฉินเวยเฉินเอ่ยถาม “ดวงชะตาของข้าเขียนไว้อย่างชัดเจน อีกหนึ่งปีให้หลังจะจากโลกนี้ไป นี่จะอธิบายอย่างไร”
เยี่ยจิ่วหยาบอกว่า “ข้าไม่เชื่อพวกเรื่องการทำนายทายทัก”
“แล้วหากว่าการจะให้เขาเกิดใหม่ จำเป็นต้องสังหารข้าเล่า”
เยี่ยจิ่วหยาขมวดคิ้วมอง “การเกิดใหม่ของราชันเทพเป็นความพยายามให้ถึงที่สุดเพียงเท่านั้น มิใช่การใช้ชีวิตแลกชีวิต สละผู้ไร้ความผิด”
“นี่ก็ใช่แล้ว เจ้ากระบี่เยี่ยไม่สังหารข้าแล้วหรือ”
“ไม่”
เฉินเวยเฉินพลันหัวร่ออย่างดีอกดีใจ “แล้วหากข้าบาดเจ็บเพราะการนี้เล่า”
“ไม่หรอก ข้าจะให้เจ้าสมปรารถนา”
เฉินเวยเฉินพลันยิ้มพลางชะโงกเข้าหา “เช่นนี้เราตกลงกันแล้วใช่หรือไม่”
จู่ๆ ก็ประจันกับดวงตายิ้มแย้มคู่หนึ่ง เดิมเยี่ยจิ่วหยาคิดจะหลบสายตา แต่ดวงตาคู่นั้นขยิบให้ รอคำตอบจากตนอย่างโจ่งแจ้ง
เยี่ยจิ่วหยารู้สึกแปลกประหลาด
เยี่ยจิ่วหยาเอ่ยถาม “เจ้าหวั่นใจหรือ”
เฉินเวยเฉิน “…”
[1]* หนึ่งถ้วยชา เริ่มนับตั้งแต่น้ำชาถูกยกเข้ามาและค่อยๆ จิบจนหมด เทียบได้กับเวลาประมาณ 10-15 นาที
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments



