everY
ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2 บทที่ 27 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 27 สหายเก่า
เดินทางมุ่งลงใต้ตามเส้นทางคดเคี้ยว เดือนเจ็ดกลางฤดูคิมหันต์ ในที่สุดขบวนรถก็มาถึงเมืองผิงโจว
ในบรรดาสิบสองเมืองทางตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง เมืองผิงโจวตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างแคว้นเป่ยหรงและแคว้นต้าอวี่ ผิงโจวเป็นเมืองที่ต้องผ่านเมื่อจะเดินทางลงใต้ แต่ยามผ่านผิงโจวจิ้นเยวี่ยมิได้ลงจากรถ ขณะขบวนรถจวนจะผ่านกองบัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ จิ้นเยวี่ยนั่งอยู่ในรถ ได้ยินเสียงเป่าแตรสัญญาณแว่วมาจากกองบัญชาการ
เฉินซวงที่ปลอมตัวเป็นทหารเป่ยหรงอยู่นอกรถ กระซิบบอกเขาว่ากองบัญชาการนั้นอยู่บนถนนถัดไปนี้เอง
นึกถึงบิดาในยามหนุ่ม เคยนำทหารออกศึกที่นี่ ติดตามแม่ทัพเจี้ยนเหลียงอิง เรียนรู้งานด้านการทหาร ยังได้ทำความรู้จักกับเหลยซือจือ จิ้นเยวี่ยก็บังเกิดความรู้สึกเศร้าหมอง จำได้ว่าบิดาเคยบอกว่าหน้าประตูกองบัญชาการมีต้นสาลี่เก่าแก่สองต้น ออกดอกบานสะพรั่งในยามวสันต์ เขามักเก็บดอกสาลี่แนบจดหมายรักส่งให้มารดาอยู่เนืองๆ กว่ามารดาที่เหลียงจิงจะได้รับจดหมายก็มักผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ดอกสาลี่จากกองบัญชาการย่อมเหี่ยวแห้ง มีเพียงดอกไม้แห้งสองสามดอกแนบมากับจดหมายที่ช่วยส่งต่อกลิ่นอายแห่งวสันต์จากชายแดนอันแสนห่างไกล
ออกจากเมืองผิงโจวยามค่ำ ขบวนรถก็เข้าพักที่จุดพักม้า คราวนี้ในที่สุดก็ได้เข้าพักในเรือนที่มีกำแพงมีหลังคา เยวี่ยเหลียนโหลวมุดเข้ามาทางหน้าต่างกลางดึก ยังคงสวมชุดตระเวนราตรีอันคล่องตัว
คราวนี้มีหร่วนปู้ฉีกลับมาด้วย ทั้งสองมาบอกลาจิ้นเยวี่ย
“ตอนนี้เราอยู่ในเขตแดนต้าอวี่แล้ว ในเมืองผิงโจวมีคนของพรรคหมิงเยี่ยไม่น้อย ข้างกายเจ้ามีเฉินซวงก็พอแล้ว” เยวี่ยเหลียนโหลวบอก “นักล่าหยินและหยางต้องไปพบประมุขพรรค รายงานเรื่องภารกิจให้ประมุขทราบ”
จิ้นเยวี่ย “ประมุขพรรคของพวกท่านไม่ใช่อยู่ที่เมืองปี้ซานหรือ ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองปี้ซานเป็นระยะเดินทางตั้งครึ่งเดือน”
หร่วนปู้ฉียิ้มเยาะ “เขารอไม่ไหวแล้วน่ะสิ ข้าสองคนเดินทางตามลำพัง คงราวๆ สามวันห้าวันก็ไปถึงแล้ว”
เยวี่ยเหลียนโหลวหัวเราะร่า แต่ไม่ได้โต้แย้ง “คิดแล้วเราสองคนไม่ได้พบกันหลายเดือน เขาน่าจะคิดถึงข้า”
หร่วนปู้ฉี “เป็นไปไม่ได้หรอก”
เยวี่ยเหลียนโหลวหันไปเคาะศีรษะนางอย่างรวดเร็ว
หร่วนปู้ฉีคลำกระหม่อมป้อยๆ “อ้อ ใช่แล้ว ตอนพลบค่ำข้าเห็นแม่ทัพสี่พาคนสองคนออกจากขบวนรถ อวิ๋นโจวอ๋องให้คนแอบสะกดรอยตาม ข้าตามหลังไป ที่แท้เขากลับไปผิงโจวแล้ว”
แม่ทัพสี่กลับเข้าเมืองผิงโจวอีกครั้ง ไม่ได้ไปทำเรื่องร้ายหรือตรวจสอบอะไร เขาเดินอยู่บนถนนอยู่นานราวกับว่ามีจุดมุ่งหมายตั้งแต่แรก ตอนแรกซื้อสุรากาหนึ่งจากร้านเล็กๆ ในตรอกลึก แล้วไปซื้อเกี๊ยวอีกชามที่ร้านหัวถนน หร่วนปู้ฉีสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอด ก็เห็นเขามาถึงปากประตูกองบัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ
“เขาวางชามเกี๊ยวใต้ต้นสาลี่ เทสุราลงพื้น จากนั้นยืนมองต้นสาลี่ตรงนั้น ไม่รู้มองบ้าอะไร” หร่วนปู้ฉีด่า “คนในกองบัญชาการออกมาไล่ เขาจึงเดินจากไป”
จิ้นเยวี่ย “…คนขายเกี๊ยวที่ว่านั่นเป็นชายตาเดียว?”
หร่วนปู้ฉีตกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร!”
จิ้นเยวี่ย “เขาเป็นแม่ทัพเก่าของกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ หลังจากบาดเจ็บที่ดวงตาก็เป็นทหารไม่ได้อีก จึงทำการค้าทั่วไป ตอนท่านพ่อข้าประจำการที่กองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือชอบกินเกี๊ยวที่ร้านเขาที่สุด”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ หร่วนปู้ฉีหันหลังแอบออกไปทางหน้าต่าง
คืนนี้จิ้นเยวี่ยนอนไม่หลับ คราวก่อนมาถึงเมืองผิงโจว ข้างกายยังมีไป๋หนี ขุนนาง และทหารติดตามมา พวกเขามาคอยคุ้มกันส่งเขาไปแคว้นเป่ยหรง ไปเป็นองค์ประกันที่ไม่รู้ชะตากรรม หวนนึกถึงภาพในอดีตของบิดาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้
ในความมืดมัวสลัวรางมีคนเปิดหน้าต่าง ทันใดก็มีเสียงกุกกักที่โต๊ะ
“ข้าไปชิมมาชามหนึ่ง เฮอะ ไม่เห็นจะเอร็ดอร่อยสักเท่าใด” เสียงหร่วนปู้ฉีดังขึ้น ทันใดตะเกียงน้ำมันก็สว่างวาบ บนโต๊ะเก่าโทรมมีเกี๊ยววางไว้ชามหนึ่ง ยังร้อนควันฉุย
จิ้นเยวี่ยรีบลุกขึ้น หร่วนปู้ฉีก็หายตัวไปแล้ว
ตั้งแต่ออกจากจุดพักม้าที่เมืองผิงโจว ขบวนรถก็ถูกชาวยุทธ์ซุ่มโจมตีไม่หยุดหย่อน เฉินซวงแก้ต่างว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพรรคหมิงเยี่ย จิ้นเยวี่ยค่อยๆ มองเส้นสนกลในออก เนื่องด้วยขบวนรถชูธงสัญลักษณ์ของแคว้นเป่ยหรงไว้โดดเด่น ย่อมจะตกเป็นเป้าขนาดใหญ่ แม้มีทหารของกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือจากเมืองผิงโจวช่วยคุ้มกัน แต่ผู้มาโจมตีล้วนสวมเสื้อผ้าแตกต่างกัน มือถืออาวุธต่างชนิดกัน บางครั้งเป็นพระป่าร่างอ้วน บ้างก็เป็นนักพรตเต๋าสวมเสื้อผ้าสกปรก พากันโห่ร้องเข้าโจมตีเป็นระลอก
อวิ๋นโจวอ๋องกลับตื่นเต้นอย่างยิ่ง “ราษฎรต้าอวี่ช่างเป็นคนซื่อตรง มีแค้นย่อมต้องหาทางสะสาง น่าสนใจจริงๆ”
เขาฟังชาวยุทธ์พูดคุยไม่กี่คำ คำพูดคำจาก็ล้วนเลียนแบบได้คล้ายคลึงสักเจ็ดแปดส่วน จิ้นเยวี่ยหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก ได้แต่เตือนชายหนุ่มว่าคนพวกนี้ล้วนบุกมาเพื่อโจมตีเขา
หลังลงนามสัญญาสงบศึกแล้วสิบสองเมืองตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงก็จะตกเป็นของแคว้นเป่ยหรง ชาวยุทธ์ต้าอวี่ไม่อาจกล้ำกลืนความเคียดแค้นนี้ได้ จำต้องระบายกับขบวนรถของเหล่าทูต
เมื่อมีแต่ความเป็นศัตรูเช่นนี้ คนที่คอยดูแลจุดพักม้าในเขตแดนต้าอวี่ปกติก็ล้วนเป็นชาวต้าอวี่อยู่แล้ว พอเห็นว่าเป็นคณะทูตจากแคว้นจินเชียงกับแคว้นเป่ยหรง แม้ปากจะไม่ได้พูดอะไรไม่น่าฟัง แต่การกระทำหยาบกระด้างตามใจชอบ มิได้ปฏิบัติต่อพวกเขาเยี่ยงอาคันตุกะแม้แต่น้อย
อวิ๋นโจวอ๋องพูดคุยเรื่องนี้กับจิ้นเยวี่ยเป็นครั้งคราว มักหัวเราะแล้วพูดว่า “โชคดีที่ไม่ได้ฆ่าล้างเมือง เรื่อง ‘ผลเสียสิบประการ’ ที่เจ้าพูดต่อหน้าเสด็จพ่อวันนั้น ดูแล้วในตอนนี้เป็นเหตุเป็นผลจริงๆ”
ขณะเดินทางผ่านเมืองซังตัน อาหว่ารู้สึกสนใจเมืองที่มีชาวเป่ยหรงและชาวต้าอวี่อย่างละครึ่งแห่งนี้มาก ตกกลางคืนก็พักค้างแรมในเมือง ในที่สุดก็ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มกระตือรือร้น เขาพาเฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยออกไปเดินเล่น ร้านค้าในเมืองซังตันไม่น้อยเป็นร้านของชาวเป่ยหรง อาหว่านั่งลงที่ร้านสุราแห่งหนึ่ง สั่งสุรา ชาน้ำมันและเนื้อแกะ
เด็กชาวเป่ยหรงสองคนยกเนื้อแกะมาให้แขก อายุราวหกเจ็บขวบ ท่าทางขี้อาย อาหว่าถามชื่อทั้งสองด้วยภาษาเป่ยหรง ใครจะคิด เด็กทั้งสองกลับฟังไม่เข้าใจ วิ่งไปแอบหลังมารดา
สามีภรรยาเจ้าของร้านสุราเป็นชาวเผ่านู่ซานของเป่ยหรง ระหว่างเกิดเหตุวุ่นวายห้าเผ่า ออกร่อนเร่จนมาถึงต้าอวี่ ไร้บ้านเก่าให้กลับจึงไม่คิดหวนคืน ลงหลักปักฐานแล้วทั้งสองก็ทำการค้า เด็กทั้งสองเกิดและเติบโตที่เมืองซังตัน พูดภาษาเป่ยหรงได้บ้าง จำพวกคำทักทายและบอกลาเท่านั้น แต่พูดภาษาต้าอวี่ได้คล่องปาก จิ้นเยวี่ยหยอกเย้าเด็กทั้งสอง แม้แต่คำที่ออกเสียงยากหรือประโยคชวนให้ลิ้นพันกัน สองพี่น้องล้วนพูดได้
“เป็นชาวเป่ยหรงแท้ๆ เหตุใดจึงมีลิ้นต้าอวี่” อาหว่าพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เฮ่อหลันเฟิงจึงถาม “บิดามารดาเป็นชาวเป่ยหรง ลูกก็ต้องเป็นชาวเป่ยหรง?”
อาหว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เฮ่อหลันเฟิง “พวกเขาไม่เคยเห็นเป่ยหรงเสียหน่อย”
อาหว่า “ก่อนเจ้าจะไปที่เขาเซวี่ยหลาง เป็นชาวเกาซินหรือว่าชาวเป่ยหรง”
เฮ่อหลันเฟิงจิบสุรา “ข้าเป็นคนของที่ราบฉือวั่งหยวน”
คราวนี้อาหว่ากลายเป็นฝ่ายประหลาดใจ มองประเมินเขาไปมา จิ้นเยวี่ยก้มหน้าดื่มชาน้ำมัน เฮ่อหลันเฟิงแอบเกี่ยวนิ้วจิ้นเยวี่ยไว้ใต้โต๊ะ อาหว่าไม่เห็น จิ้นเยวี่ยอดยิ้มกับตนเองไม่ได้
“คำพูดนี้ฟังดูผยองนัก” อาหว่าจึงหันมาถาม “จิ้นเยวี่ย เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
จิ้นเยวี่ย “อืม…”
เฮ่อหลันเฟิงเริ่มถูนิ้วมือเขาไปมาจนร้อน สีหน้าดูได้ใจอย่างเปิดเผย
ครึ่งเดือนให้หลังในที่สุดขบวนรถก็เดินทางมาถึงชานเมืองปี้ซาน
เข้ามาในเขตแดนต้าอวี่โดยเฉพาะหลังจากพบพานชาวยุทธ์ต้าอวี่มากมาย อาหว่ารู้สึกสนใจขึ้นมา ทุกวันต้องมุดเข้ามาในรถของจิ้นเยวี่ย ขอเรียนภาษาชาวยุทธ์ต้าอวี่จากเด็กหนุ่ม
จิ้นเยวี่ยไหนเลยจะรู้มากมายเช่นนั้น คนที่รู้จริงคือเฉินซวงที่แสร้งปลอมตัวเป็นทหารเป่ยหรงอยู่นอกรถ เขาจำต้องพูดพล่ามเรื่องพรรคต่างๆ ในยุทธภพต้าอวี่ ทั้งเรื่องเล่าลือต่างๆ นานา
อาหว่าฟังจนตะลึงงัน
“ข้าไปฝึกวรยุทธ์ที่วัดเซ่าหลินได้หรือไม่” เขาถาม “ข้าจะได้โกนผมออกบวช”
จิ้นเยวี่ย “…ท่านมีทั้งภรรยาและบุตร ยังตัดกิเลสไม่ขาด”
อาหว่า “กิเลสคืออะไร”
จิ้นเยวี่ย “กิเลสก็คือบุญคุณความแค้น รักและชัง เป็นสิ่งที่คอยฉุดรั้ง”
อาหว่า “พระที่โกนผมไม่มีสิ่งฉุดรั้ง? แล้วเหตุใดคนในวัดเซ่าหลินจึงไม่ยอมรับว่าปรมาจารย์ชิงหยางเป็นผู้คิดค้นฝ่ามือสิบวิบาก จนต้องช่วงชิงกลับคืน”
จิ้นเยวี่ยจนปัญญา “ปรมาจารย์ชิงหยาง…นั่นเป็นบุคคลในตำนาน”
อาหว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีปรมาจารย์ชิงหยาง? เช่นนั้นอะไรคือพลังภายในชิงหยาง วิชาต้าหลี่ว์ ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมดหรือ” เห็นได้ชัดว่าเขาดูผิดหวัง
จิ้นเยวี่ยชักรู้สึกเสียใจ เมื่อก่อนพล่ามนิทานพื้นบ้านมากเกินไป อาหว่าดูจะสนใจเรื่องเล่าเก่าแก่ของยุทธภพยิ่งยวดจนเขาชักจะต้านไม่อยู่ “ก็มีอยู่ แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนผ่านมาเนิ่นนาน เวลานั้นสำนักอันดับหนึ่งในยุทธภพคือพรรคเซ่าอี้ บัดนี้แตกฉานซ่านเซ็นไปนานแล้ว พรรคหมิงเยี่ยมีอำนาจเทียบเท่าพรรคเซ่าอี้ในตอนนั้น แต่พรรคหมิงเยี่ยมิได้ยินดีจะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง พวกเขาเพียงอยากดำรงชีพด้วยการซื้อที่ดินและทำการค้าเท่านั้น”
อาหว่ารีบคว้ามือจิ้นเยวี่ย “ยอดเยี่ยม! พี่ท่าน…เอ หรือว่าท่านพี่กันแน่ สรุปแล้วเจ้าเล่าต่ออีกหน่อยเถอะ”
เพิ่งพูดขาดคำม่านรถก็ถูกเลิกขึ้นฉับพลัน เฮ่อหลันเฟิงถลันขึ้นมา “ข้าศึกโจมตี” เขาเหลือบเห็นอาหว่ากุมมือจิ้นเยวี่ย จึงพูดเรียบๆ “เป็นชาวยุทธ์อีกแล้ว”
จิ้นเยวี่ยรีบสะบัดมือออก เลิกม่านมองออกไปข้างนอก เวลานี้ขบวนรถเดินทางผ่านเทือกเขาแห่งหนึ่ง ได้ยินแต่เสียงโห่ร้องกึกก้องมาจากยอดเขา จากนั้นมีก้อนหินท่อนไม้นับไม่ถ้วนกลิ้งลงมาจากเนิน ตรงเข้าปะทะขบวนรถ
ตลอดทางทหารเป่ยหรงในขบวนรถพบเห็นสภาพการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง คนเหล่านี้ถอยร่นมาวางกำลังป้องกันชนชั้นสูงและทรัพย์สินของคณะเดินทาง ต่างถือโล่กำบังไว้ด้านหน้า โล่สูงเท่าตัวคน ตั้งโล่เป็นแนวกำแพงป้องกันขบวนรถไว้ข้างหลัง
“ไม่ได้การ” จู่ๆ จิ้นเยวี่ยก็พูดขึ้น
อาหว่าชะโงกหน้า อาศัยหน้าต่างบานเดียวกันเบียดออกไปดูข้างนอก “อะไรไม่ได้การ”
“ที่ราบใช้โล่ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาโจมตีมาจากบนเขา หากใช้โล่แนวสายตาจะถูกบดบัง ถ้ามีใครลอบเข้ามาใกล้ด้านหน้าแนวโล่จะมองไม่เห็น…”
เพิ่งพูดขาดคำ ด้านหน้าก็มีเสียงร้องดังขึ้น ทหารเป่ยหรงที่ถือโล่ถูกคนที่กระโดดข้ามแนวโล่ใช้ดาบฟันตัดศีรษะไปหลายคน ทันใดแนวโล่ก็เกิดช่องโหว่
“ยอดเยี่ยม!” อาหว่ายังคงลิงโลด ใบหน้าแทบจะเข้าไปประชิดใบหน้าจิ้นเยวี่ย “ท่านพี่จิ้นเยวี่ยรู้เรื่องต่างๆ ไม่น้อยเลย”
เฮ่อหลันเฟิงดึงตัวเขาออกห่างจากจิ้นเยวี่ยไปไว้ข้างกายตนเอง “อวิ๋นโจวอ๋อง อย่าชะโงกออกไป พวกเขาตามหาตัวท่านอยู่”
“สามารถล่อชาวยุทธ์เหล่านี้ไปทางแม่ทัพสี่ได้หรือไม่” อาหว่ายิ้ม “เดินทางมาก็นานแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นชาวจินเชียงแสดงฝีมือเก่งกาจอันใด ไม่น่าเสียดายหรือ”
ข้างนอกต่อสู้กันดุเดือด เฉินซวงกวัดแกว่งกระบี่ในมือ เข้ามาใกล้หน้าต่างกระซิบบอก “คนเหล่านี้ล้วนเป็นโจรดักปล้นตามแถบแม่น้ำเลี่ยซิง”
จิ้นเยวี่ยพยักหน้า “เมืองปี้ซานตกอยู่ในมือเป่ยหรงแล้ว ต่อไปคงเสียผลประโยชน์ที่จะหาได้จากแถบตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง พวกเขาย่อมทนไม่ได้ที่ต้องเสียประโยชน์เช่นนี้ไป”
นอกจากโจรตามแถบแม่น้ำยังมีชาวยุทธ์พเนจรบางส่วน แต่งกายหลากหลาย อาวุธสารพัดอย่าง จิ้นเยวี่ยไม่เคยพบเห็นการจู่โจมครั้งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ที่น่าสนใจคือทหารและแม่ทัพกองบัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือที่ร่วมคุ้มกันมาจากเมืองผิงโจวทำการป้องกันได้ไม่เต็มที่ ชาวยุทธ์เองก็จำชุดทหารทัพเหนือได้ ดาบและกระบี่จึงมิได้ฟาดฟันใส่ร่างของพวกเขา เพียงอ้อมไปโจมตีทหารเป่ยหรง
ใบหูเฉินซวงขยับ “มีคนมาจากทางเมืองปี้ซาน ขี่ม้ามาด้วย จำนวนไม่น้อย”
“หากโจมตีกองทหารเป่ยหรงจนแตกที่นี่ คงไม่อาจลงนามในสัญญาสงบศึกที่เมืองปี้ซานได้แล้ว” จิ้นเยวี่ยหัวเราะเบาๆ “แม้จะเป็นเช่นนี้ ชาวยุทธ์กับทัพเหนือก็ยินดี แต่ราชครูเหลียงคงลำบากเป็นแน่ กองหนุนคงเป็นคนของราชครูเหลียง”
ในหมู่ชาวยุทธ์ไม่ขาดผู้มีวิชาตัวเบาชั้นยอด เฉินซวงรับรู้ได้ไวจึงเงยหน้าอย่างฉับพลัน มีคนกระโดดข้ามแนวโล่ของทหารเป่ยหรงมาได้ ทะยานมาทางนี้พร้อมหอกยาว ชายหนุ่มล้วงลูกเหล็กในอกเสื้อออกมาทันที แล้วดีดออกไป
ใครจะคิด ลูกเหล็กยังพุ่งไปไม่ถึง ก็มีศรเหล็กดอกหนึ่งพุ่งเฉียงมา ปักเข้าลำคอของผู้ลอบโจมตีอย่างไร้ความปรานี
ศรกับศพร่วงสู่พื้น จิ้นเยวี่ยจำลายเมฆที่คิดว่ามองไม่ผิดแน่ซึ่งสลักอยู่บนหัวศรเหล็กสีดำนั้นได้
ชาวยุทธ์ที่มาล้อมจู่โจมต่างเก็บอาวุธ ถอยร่นออกไปราวกับกระแสน้ำ อาหว่าเสียดายมาก เฮ่อหลันเฟิงจับสังเกตสีหน้าผิดปกติของจิ้นเยวี่ยได้ จะคว้าตัวเขามา แต่กลับแตะถูกเพียงชายเสื้อเท่านั้น ตัวจิ้นเยวี่ยกระชากม่านรถพุ่งออกไปแล้ว
“พี่ใหญ่โหยว!” เขาทั้งตกใจทั้งยินดี เกือบจะถลาล้มลงกับพื้น ต้องรีบคว้าเพลารถไว้ เสียงเรียกนี้ยามเปล่งออกมาเกือบเหมือนจะร้องไห้ “โหยวจวินซาน!”
ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากองทหารปี้ซานที่มาหนุนช่วยขี่ม้าสีดำ ยามหันมามอง ม่านตาสั่นไหว
“…จิ้นเยวี่ย?!”
ทหารม้าคะนองเมฆาเป็นกองทหารม้าที่เก่งกาจที่สุดของกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากจิ้นหมิงเจ้าขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือแล้วก็ใช้เวลาสร้างกองทหารม้านี้ขึ้นมาทีละน้อย ใช้เวลาหลายปีเริ่มสร้างจากที่ไม่มีอะไรเลย
ไป๋หนีเป็นศิษย์ของจิ้นหมิงเจ้า แต่โหยวจวินซานเป็นคนที่ไป๋หนีเก็บมา
บ้านไป๋หนีเปิดร้านขายบะหมี่ที่เมืองเฟิงหู ยามที่ขายดิบขายดีก็เปิดร้านตั้งแต่กลางวันจรดค่ำ ตอนที่ไม่ต้องฝึกหญิงสาวมักมาช่วยทำงานที่ร้านบ่อยๆ ร้านบะหมี่อยู่ใกล้กองบัญชาการ ไป๋หนีเห็นขอทานหนุ่มคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ในตรอกตรงข้ามกองทัพไม่ใช่เพียงครั้งเดียว เขาเคี้ยวแป้งทอดแข็งๆ ที่ทอดจนดำพลางเหม่อมองกองทัพ
โหยวจวินซานพอรู้วิชาการต่อสู้อยู่บ้างเพียงแต่ร่างกายอ่อนแอ ไป๋หนีไล่จับเขา เขาไม่อาจสู้นางได้ ทำได้เพียงออกท่าสะเปะสะปะ ไป๋หนีพาเขากลับบ้าน ให้กินอาหารดีๆ โหยวจวินซานค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้น รอจนเขาอาบน้ำสะอาดเอี่ยม ที่แท้ก็เป็นชายหนุ่มร่างสูงที่หล่อเหลามากทีเดียว
เขาบอกว่าหลายปีก่อนตนเองเป็นชาวต้าอวี่ร่อนเร่พเนจรมาถึงเมืองเฟิงหู บ้านเดิมอยู่ทางใต้ ตอนแรกบ่ายหน้ามาทำการค้าที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ใครจะคาดคิดว่าต้องประสบเหตุจินเชียงกับต้าอวี่รบพุ่งกัน วิถีของโลกผันผวนปรวนแปร โจรออกปล้นชิงบ่อยครั้ง สินค้าจึงถูกโจรแย่งชิงไปจนหมด หนังสือผ่านด่านของเขาก็สูญหาย จำต้องขอทานในเมืองเฟิงหูเพื่อยังชีพ
เมื่อสอบถามว่าเหตุใดเขามักเตร็ดเตร่อยู่ใกล้ๆ กองบัญชาการ โหยวจวินซานก็ทรุดลงคุกเข่าบอก
‘ขอท่านแม่ทัพหญิงช่วยข้าด้วย! ข้าอยากพบแม่ทัพจิ้น ได้ยินว่าเขาเป็นเทพนักรบผู้ปราดเปรื่อง ขอให้เขาช่วยออกหนังสือผ่านทางให้ข้าสักฉบับ ให้ข้าได้กลับบ้าน’
ในตอนนั้นไป๋หนีเป็นเพียงทหารต่ำต้อยในกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่ฟังแล้วรู้สึกชื่นชอบชื่อตำแหน่ง ‘แม่ทัพหญิง’ นี้ยิ่งนัก จึงพาโหยวจวินซานไปอยู่ต่อหน้าจิ้นหมิงเจ้า จิ้นหมิงเจ้าได้ยินเขาเล่าเรื่องบ้านเดิม ก็อดจะรู้สึกเสียใจไม่ได้ บ้านเดิมชายหนุ่มถูกน้ำท่วมจนราพณาสูรไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน บัดนี้เขาไม่มีบ้านเดิมให้กลับ โหยวจวินซานร้องไห้โฮอยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่มีที่ไป ไป๋หนีจึงพาเขากลับบ้าน
ขณะอยู่อาศัยในบ้านไป๋หนีสองเดือน โหยวจวินซานคอยช่วยหญิงสาวทำงานที่ร้านขายบะหมี่ เขาทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทั้งยังเป็นคนหัวไว ไป๋หนีรู้สึกว่าคนเยี่ยงนี้ให้มานวดแป้งคลึงแป้งย่อมเสียของ จึงพาเขาเข้ากองบัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ พอจิ้นหมิงเจ้าได้เห็นฝีมือโหยวจวินซาน พบว่าคนผู้นี้พอมีพื้นฐานวิชาต่อสู้ เป็นคนมีฝีมือที่ฝึกฝนได้ จึงรับตัวเขาไว้ด้วยความยินดี
เขา ไป๋หนี และพี่เขยของจิ้นเยวี่ย เป็นทหารรุ่นแรกๆ ที่ร่วมก่อตั้งกองทหารม้าคะนองเมฆา
ทหารส่วนใหญ่ในทัพต้าอวี่เป็นชาย ไป๋หนีเป็นสาวงามเพียงหนึ่งเดียว นางจึงโดดเด่นสะดุดตายิ่งในทัพตะวันตกเฉียงเหนือ คนในกองทัพที่ชื่นชอบไป๋หนี ใช้มือสิบข้างมานับยังไม่หวาดไม่ไหว มีคนมาเจรจาทาบทามกับจิ้นหมิงเจ้าเพื่อสู่ขอหญิงสาวแทบจะทุกสามวันห้าวัน ภาพเหมือนของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนถูกส่งมาถึงไป๋หนี เหนือขึ้นไปถึงบุตรชายของแม่ทัพพิทักษ์เมือง ต่ำลงมาถึงพ่อค้าวาณิชผู้มั่งคั่ง ชั่วชีวิตนี้จิ้นหมิงเจ้าไม่เคยพบเห็นใครที่ถูกสู่ขอมากถึงเพียงนี้ จึงมักหยิบยกเรื่องนี้มากระเซ้าเย้าแหย่ไป๋หนีบ่อยครั้ง
ไป๋หนีกลับไม่โกรธ ดูเหมือนในใจนางเลือกคนผู้หนึ่งไว้แล้ว ทุกครั้งที่ถูกทาบทามจึงมักเชิดหน้า กล่าวอย่างไว้ตัวและมุ่งมั่นว่า
‘รอให้ข้าได้เป็นแม่ทัพหญิงเสียก่อนค่อยว่ากัน ข้าจะแต่งกับคนแรกที่เรียกข้าว่า ‘แม่ทัพหญิง’ ’
ต้าอวี่มิเคยมีแม่ทัพที่เป็นสตรีมาก่อน กว่านางจะได้รับแต่งตั้งก็เมื่อมีอายุได้ยี่สิบแปดปี วันที่ราชโองการมาถึง โหยวจวินซานขอนางแต่งงาน ไป๋หนีไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพียงถามประโยคเดียว
‘เจ้าจะอยู่กับข้าไปชั่วชีวิตหรือไม่’
โหยวจวินซานยิ้มแล้วตอบ ‘เกิดด้วยกัน ตายด้วยกัน’
ในกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือเรื่องของทั้งสองไม่ใช่ความลับมานานแล้ว คนกลุ่มใหญ่รุมล้อมแอบฟังอยู่นอกห้อง แม้แต่จิ้นหมิงเจ้าก็พลอยส่งเสียงเฮละโลไปกับทุกคนด้วย เสียงโห่ร้องว่า ‘แต่งเลย แต่งเลย!!!’ ดังอื้ออึงไปทั่ว
จิ้นเยวี่ยได้ฟังเรื่องเล่านี้ไม่รู้ตั้งกี่รอบ มารดาของเขาชื่นชอบคู่รักที่งามสมกันอย่างไป๋หนีกับโหยวจวินซานมาก เขาจึงมักได้ฟังเรื่องของโหยวจวินซานกับไป๋หนีไปพร้อมๆ กับจิ้นหมิงเจ้าขณะที่มารดาโอบอุ้มเขาไว้ ทั้งสองอยู่ร่วมกันสิบกว่าปีจึงได้กลายเป็นคนตระกูลเดียวกัน ในสายตาทุกคน ทั้งสองมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นประหนึ่งมีสายเลือดเดียวกัน
ตอนที่จิ้นเยวี่ยจะเกิดที่เมืองเฟิงหู โหยวจวินซานขี่ม้าไปทั่วเมืองตามหาหมอตำแยมาให้ พอจิ้นเยวี่ยเกิดมาอยู่เมืองเฟิงหูได้สองสามปี โหยวจวินซานเป็นท่านอาคนหนึ่งที่เขาสนิทสนมด้วยที่สุด ยามนั้นโหยวจวินซานกับไป๋หนียังไม่ได้พูดจาตกลงแต่งงานเป็นมั่นเหมาะ เขามักอุ้มเด็กน้อยจิ้นเยวี่ยไปหาไป๋หนี แล้วอ้างว่า
‘จิ้นเยวี่ยให้ข้าพาเขามาเยี่ยมเจ้า’
ไป๋หนีมองดูเด็กน้อยที่ฟันน้ำนมเล็กๆ เพิ่งจะขึ้น ยิ้มพลางตอบกลับ
‘ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะคุยแต่กับจิ้นเยวี่ยก็แล้วกัน’
เรื่องในอดีตมากมาย ทำให้เวลานี้เมื่อจิ้นเยวี่ยได้พบโหยวจวินซาน ในใจล้วนเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาหาที่สุดมิได้
เขากระโจนลงจากเพลารถม้า ไม่สนใจความวุ่นวายรอบด้าน วิ่งทะยานไปหาโหยวจวินซาน โหยวจวินซานมือหนึ่งถือคันธนู อีกมือถือหอก กระโจนลงจากหลังม้า ชาวยุทธ์ที่ล้อมอยู่ก็ล้วนถอยกรูด ทหารหนุนจากปี้ซานจึงรุกไล่ ทหารคุ้มกันขบวนรถค่อยๆ กลับมาป้องกัน ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็วิ่งไปอยู่ตรงหน้าโหยวจวินซาน ชายหนุ่มยังคงถืออาวุธไว้ในมือ ร้องเรียก “จิ้นเยวี่ย” แล้วกอดเขาไว้แน่น
จิ้นเยวี่ยถึงกับร้องไห้โฮ
ทหารคุ้มกันของเป่ยหรงล้วนรู้ว่าทาสต้าอวี่ผู้นี้ไม่เหมือนใคร เป็นแขกคนสำคัญของอวิ๋นโจวอ๋อง เวลานี้เห็นเขาโอบกอดทหารต้าอวี่พลางร่ำไห้ก็อดมีสีหน้าประหลาดใจไม่ได้ อวิ๋นโจวอ๋องดึงคอเสื้อจิ้นเยวี่ยออกจากอ้อมกอดโหยวจวินซาน ยิ้มแล้วประสานมือคารวะชายหนุ่ม
เดิมทีโหยวจวินซานก็ไม่ได้เป็นทหารประจำการที่เมืองปี้ซานอยู่แล้ว เขารุดมาหนุนช่วยตามคำสั่งขององค์ชายสามและราชครูเหลียง
ไม่ง่ายที่จิ้นเยวี่ยจะทำให้ตนเองสงบลงได้ ใบหน้าแดงด้วยความขัดเขิน เมื่อครู่เสียกิริยาไปเขาจึงตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก พอเงยหน้าเห็นสีหน้าอวิ๋นโจวอ๋องคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ใจก็เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ
“…ที่แท้เขาก็เป็นคนในกองทหารม้าคะนองเมฆา” อวิ๋นโจวอ๋องกับจิ้นเยวี่ยกลับขึ้นรถ ขบวนรถม้าออกเดินทางต่อไปยังเมืองปี้ซานภายใต้การคุ้มกันของโหยวจวินซานและกองหนุน “ทหารม้าคะนองเมฆาถูกสังหารหมดสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ”
จิ้นเยวี่ยพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า ในนี้ยังมีช่องโหว่ ชั่วขณะนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
ทว่าในเมื่อโหยวจวินซานรอดชีวิต เช่นนั้นพี่เขยของเขาและทหารม้าคะนองเมฆาคนอื่นๆ ก็น่าจะยังอยู่
ครั้นมาถึงเมืองปี้ซานก็วุ่นวายอีกครั้ง คนที่มาต้อนรับอวิ๋นโจวอ๋องด้วยตนเองคือราชครูเหลียงและองค์ชายสามเฉินหรง อาหว่าพบคนทั้งสองก็ประสานมือคารวะ นำของกำนัลออกมามอบ เฮ่อหลันจินอิงจึงนำตัวจิ้นเยวี่ยออกมา
ทันทีที่เหลียงอันฉงได้เห็นจิ้นเยวี่ย คราแรกดูตะลึงงัน จากนั้นใบหน้าก็ซีดขาว ทว่าเสียกิริยาไปเพียงชั่วครู่ก็กลบเกลื่อนไว้ด้วยสีหน้าแย้มยิ้มยินดีได้อย่างรวดเร็ว เขาทำทีสนิทสนมอย่างเกินเลย อ้าแขนแทบจะถลาเข้ามาหาเด็กหนุ่ม
“จิ้นเยวี่ย!”
จิ้นเยวี่ยถูกโอบกอดไว้แน่นในอ้อมแขนทั้งสอง สายตากลับเหลือบมองไปยังเฉินหรงที่อยู่ด้านหลังราชครูเหลียง
เขายังจำตอนที่พบเฉินหรงคราวก่อนได้ ในราตรีท่ามกลางหิมะ ชายหนุ่มกางร่ม พูดว่า
‘ถ้าเจ้าไม่ใช่บุตรชายแม่ทัพจิ้นหมิงเจ้าก็คงดี’
เวลานี้ได้พบกันอีก เฉินหรงดูเหมือนตกตะลึงอยู่บ้าง ปล่อยให้เหลียงอันฉงแสดงความตื่นเต้นที่ดูจะมากเกินไปเสียหน่อย ส่วนตนเองเพียงยืนอยู่เงียบๆ ด้านหลังอีกฝ่าย เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาจิ้นเยวี่ยก็ส่งยิ้มมาให้
เหลียงอันฉงถามไถ่จิ้นเยวี่ยหลายเรื่อง เด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าแบบต้าอวี่ ชายแขนเสื้อกว้าง เพียงเหลียงอันฉงก้มหน้าก็เห็นตราประทับทาสบนแขนข้างซ้าย จิ้นเยวี่ยจับสังเกตได้อย่างว่องไวว่าเหลียงอันฉงชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบเอาชายแขนเสื้อปกปิดร่องรอยบนแขนเขาไว้ทันที ชายชราทำเสียงทอดถอนใจพลางพูดว่า
“เด็กน้อย เจ้าต้องตกระกำลำบากจริงๆ”
ระหว่างนี้จิ้นเยวี่ยไม่พูดสักประโยค เขาต้องทำหน้าที่เป็นเครื่องมืออย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเป็นเพียงทาสคนหนึ่งที่อวิ๋นโจวอ๋องพามาด้วยเท่านั้น
ตกค่ำองค์ชายสามจัดงานเลี้ยงต้อนรับอวิ๋นโจวอ๋อง อวิ๋นโจวอ๋องพาจิ้นเยวี่ยไปด้วย แต่ไม่ได้ให้เขานั่งร่วมโต๊ะ เพียงให้รออยู่ด้านนอกกับโหยวจวินซาน
“ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเรียกได้ว่าดี” อวิ๋นโจวอ๋องใช้พัดจีบทำจากกระดาษของชาวต้าอวี่ โคลงศีรษะไปมาพลางสรรคำมาแต่งประโยคผิดๆ ถูกๆ “แต่เจ้าเป็นชาวต้าอวี่อกตัญญูไร้หัวใจ”
รอจนอวิ๋นโจวอ๋องไปแล้ว โหยวจวินซานจึงพาจิ้นเยวี่ยไปที่ศาลาด้านข้าง นี่เป็นความเมตตาขององค์ชายสามและอวิ๋นโจวอ๋องที่มอบให้ทั้งสอง แม้โหยวจวินซานจะปลีกตัวจากงานเลี้ยงได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเค่อเท่านั้น แต่ก็เป็นโอกาสพบปะที่มีค่ายิ่ง
“เจ้าไม่ต้องกังวล องค์ชายสามจะพาเจ้ากลับไปด้วย” โหยวจวินซานบอก “ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะ…เฮ้อ”
ทั้งสองพูดคุยพักหนึ่ง ร้องไห้อีกพักหนึ่ง โหยวจวินซานเลิกชายแขนเสื้อจิ้นเยวี่ย อาศัยแสงเทียนมองดูรอยประทับตราตรงท้องแขน เนิ่นนานมิได้พูดจาสักคำ
มีคนช่วยชีวิตโหยวจวินซานกลับมาได้จากด่านไป๋เชวี่ยขณะเก็บกวาดสนามรบ แม้มีบาดแผลทั่วตัวแต่โชคดีมากจึงพ้นคราวถึงฆาตมาได้อย่างเฉียดฉิว พออาการบาดเจ็บหายดีโหยวจวินซานก็ออกจากเมืองเฟิงหูมุ่งหน้าไปเมืองเหลียงจิง เขาได้ทราบข่าวว่าสกุลจิ้นทั้งตระกูลถูกเนรเทศ จิ้นเยวี่ยถูกส่งตัวไปแคว้นเป่ยหรง จึงตัดสินใจกลับไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก ทว่าราชครูเหลียงกุมอำนาจในราชสำนัก สุดท้ายจึงมีเพียงองค์ชายสามเฉินหรงที่ให้ที่พักพิงแก่เขา
“การรบที่ด่านไป๋เชวี่ยมีเงื่อนงำมาก” โหยวจวินซานเล่า “เจ้าอยู่ที่เป่ยหรงมีเรื่องมากมายที่เจ้าอาจไม่รู้ ความจริงนั้นบุตรเขยของราชครูเหลียงบัดนี้ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว ทัพตะวันตกเฉียงเหนือต่อสู้ดุเดือดนองเลือดมา ตอนนี้เหลือทหารในกองทัพไม่กี่นายที่พวกเรารู้จัก น่าเสียดายถึงข้าจะอยู่ข้างกายองค์ชายสาม แต่ก็ยังไม่อาจช่วยอะไรได้ ข้า…”
“ข้ารู้ ข้ามี…” จิ้นเยวี่ยหลุดปาก แต่แล้วกลับนิ่งเงียบไป
โหยวจวินซาน “มีอะไร”
“ข้ามีลางสังหรณ์” จิ้นเยวี่ยบอก “ว่าการตายของท่านพ่อและการเนรเทศทั้งตระกูลที่ตามมา ไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
โหยวจวินซานมองดูเขาแล้วพยักหน้า
เวลาใกล้มาถึงแล้ว จิ้นเยวี่ยรีบกระซิบบอก “ยังมีอีกเรื่อง ไป๋หนีอยู่ที่เมืองปี้ซานด้วยนะ”
เขาจับสังเกตได้ว่าโหยวจวินซานตัวสั่น มือที่จับแขนเขาไว้จู่ๆ ก็บีบแน่นขึ้น แม้แต่น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป
“อะไรนะ!”
“ตอนที่ข้าถูกกักขังไว้ที่เผ่าเยี่ยไถ ไป๋หนีกับกองทหารที่ไปส่งล้วนหายตัวไป ตอนแรกข้าคิดว่าไป๋หนีคงตายไปแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่จุดพักม้า ข้าได้เห็นนางปรากฏตัวในกองทัพจินเชียง” จิ้นเยวี่ยเล่า “นางถูกคุมตัวอย่างแน่นหนา อีกทั้งกำลังตั้งครรภ์”
โหยวจวินซานทั้งประหลาดใจทั้งตกใจ ยิ่งบีบแขนจิ้นเยวี่ยจนเขาเริ่มเจ็บ
เวลาหนึ่งเค่อผ่านไปอย่างรวดเร็ว โหยวจวินซานถูกเรียกตัวกลับไปที่งานเลี้ยง จิ้นเยวี่ยรออยู่ตามลำพังในศาลาชมสวน มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งนำสุราอาหารมาส่ง บอกว่าเป็นอาหารที่องค์ชายสามเตรียมไว้ให้เขา จิ้นเยวี่ยจ้องมอง รู้สึกประหลาดใจ ที่เห็นนี้มีทั้งอาหารร้อนอาหารเย็น ล้วนเป็นสิ่งที่ตนเองชอบกิน น้ำแกงนกกระทาร้อนควันฉุย น้ำแกงเซี่ยงจี๊* ใส่ลิ้นจี่กับปูผัดก็ให้มามาก ผัดผักสามสหายกับโจ๊กดอกถูหมี** กลิ่นหอมอบอวล รสหวานละมุน บนถาดรองยังมีดอกซานฉากิ่งหนึ่งวางมาด้วย กลีบดอกสีแดงสดประหนึ่งโลหิต
จิ้นเยวี่ยถึงกับลอบถอนหายใจ
ตกกลางคืนหลังงานเลี้ยงเลิกรา โหยวจวินซานรอจนรอบด้านเงียบสงัดจึงค่อยผลัดเปลี่ยนเป็นชุดตระเวนราตรี ลอบออกจากที่พักของเฉินหรงกับเหลียงอันฉงอย่างเงียบกริบ
เขาพุ่งทะยานตลอดทางอย่างว่องไว เล็ดลอดเข้าไปในลานเรือนที่มีการเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา ทหารยามพุ่งปราดเข้ามา เขายังไม่ทันได้พูด ใต้ชายคาก็มีเสียงเรียกกลั้วหัวเราะ
“จวินซานหรือ”
แม่ทัพสี่ยืนอยู่ข้างหลัง ราวกับรออยู่นานแล้ว
โหยวจวินซานเข้าไปในห้องแล้วดึงผ้าคาดปิดหน้าสีดำลง
เหลยซือจือเหลือบมองเขา พูดอย่างประหลาดใจ “อะไรกัน สีหน้าบูดบึ้งเชียว ผู้ใดยั่วยุเจ้า เฉินหรงหรือจิ้นเยวี่ย”
“ไป๋หนีเล่า” โหยวจวินซานถามเสียงกร้าว
เหลยซือจือหรี่ตา “นอนหลับไปแล้ว”
โหยวจวินซานเดินเข้าหาก้าวหนึ่ง “เด็กในท้องของนาง…”
“หากไม่มีอะไรผิดคาดก็น่าจะเป็นลูกของเจ้า” เหลยซือจือตอบ “ตอนที่นางตกอยู่ในกำมือข้า นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว”
โหยวจวินซานยืนนิ่งสักพักแล้วจึงนั่ง สีหน้าตื่นกลัว “ลูก…ลูกของข้า?”
เหลยซือจือไม่คิดจะช่วยสะสางความคิดที่กำลังสับสนของเขา ถามอย่างตรงไปตรงมา “ใครบอกเจ้าว่าไป๋หนีอยู่กับข้า”
“จิ้นเยวี่ย” โหยวจวินซานตอบ “เขาเห็นนางที่จุดพักม้า”
เหลยซือจือพยักหน้า “ที่แท้พวกเจ้าพบกันแล้ว”
โหยวจวินซาน “เด็กคนนี้ปิดปากสนิท นอกจากเรื่องไป๋หนี เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับตัวเขา ข้าสืบถามไม่ได้ความอะไร ที่จริงมีบางครั้งที่เขาเหมือนจะหลุดปาก ทว่า…สรุปแล้วเขาเปลี่ยนไปมาก ระมัดระวังยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้ เรื่องใหญ่อย่างการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ เขากลับไม่ดูตกใจสักนิด เพียงบอกข้าอ้อมๆ ว่า ‘มีลางสังหรณ์’ ”
เหลยซือจือยิ้มน้อยๆ สีหน้ายิ่งดูชั่วร้าย “ดูแล้วเฉินหรงจะต้องพาจิ้นเยวี่ยกลับไปด้วย”
โหยวจวินซานพยักหน้า “จะปล่อยให้เขาพาไปหรือไม่”
“ย่อมต้องปล่อย” เหลยซือจือตอบ “บัดนี้สถานการณ์ราชสำนักที่เหลียงจิงมั่นคงโดยพื้นฐาน ราชครูเหลียงกุมอำนาจไว้ทั้งหมด แต่นี่ไม่น่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือ เฉินหรงอยากจะก่อกวน แต่ยังหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้ โชคดีที่ได้จิ้นเยวี่ยนั้นราวกับร่วงลงจากฟ้ามาพอดี”
จิ้นเยวี่ยมิได้สลักสำคัญ เขายังเด็ก ไม่มีตำแหน่งฐานะอันใด มีเพียงชื่อว่าเป็น ‘บุตรชายของจิ้นหมิงเจ้า’ เท่านั้น ใครได้จิ้นเยวี่ยไว้ในมือ ก็ใช้จิ้นหมิงเจ้าเป็นข้ออ้างโจมตีราชครูเหลียงได้
“เพื่อจะแย่งชิงตัวจิ้นเยวี่ย เฉินหรงถึงกับเป็นฝ่ายออกตัวจะเดินทางไปจัดการเรื่องลงนามสัญญาสงบศึกที่ปี้ซานด้วยตัวเอง” โหยวจวินซานเอ่ย “แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าจิ้นเยวี่ยยังมีชีวิตอยู่”
“มีคนอื่นที่คอยช่วยเฉินหรง กระทั่งอาจมีคนคอยคุ้มกันจิ้นเยวี่ยด้วย” เหลยซือจือบอก “ต้องรีบสืบให้ได้โดยไวว่าคนผู้นี้เป็นใคร”
โหยวจวินซานชะงักไป ถามขึ้นอีก “เช่นนั้นยังจะให้ทำตามแผนการของท่านหรือไม่”
“ย่อมต้องทำ” เหลยซือจือตอบ “ยังจะมีเรื่องใดปลุกความขัดแย้งระหว่างเป่ยหรงกับต้าอวี่ได้ดีไปกว่าการลอบสังหารเฉินหรงต่อหน้าผู้คนมากมายในงานเฉลิมฉลองการลงนามสงบศึกที่เมืองปี้ซาน”
จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกที่เมืองปี้ซานก่อนแล้วจึงจัดงานเฉลิมฉลอง จากข่าวสารที่โหยวจวินซานสืบทราบมาได้จากทางเฉินหรง พิธีจะจัดขึ้นในฤดูสารท เป่ยหรงเทียนจวินเจ๋อเวิงก็จะมาที่เมืองปี้ซานด้วย
“สังหารเฉินหรง แล้วจิ้นเยวี่ยยังจะกลับไปเหลียงจิงได้หรือ” โหยวจวินซานไม่เข้าใจ “นี่มิเท่ากับสมใจราชครูเหลียงหรือ”
เหลยซือจืออธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน
ตั้งแต่องค์รัชทายาทสิ้น องค์ชายสามเฉินหรงก็ถูกมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งรัชทายาทแทน แต่ฮ่องเต้เหรินเจิ้งกลับยังรั้งรอไม่มีราชโองการลงมา เฉินหรงจะต้องทำเรื่องสะท้านสะเทือนมากกว่านี้เพื่อให้ทั้งในและนอกราชสำนักเกิดความนับถือ จึงจะผลักดันจากล่างขึ้นสู่เบื้องบนเพื่อให้ฮ่องเต้เหรินเจิ้งมีราชโองการแต่งตั้งได้ เขาเลือกจะมาจัดการเรื่องลงนามสัญญาสงบศึกที่เมืองปี้ซาน จุดมุ่งหมายใหญ่สุดคือเพื่อสร้างความชอบ ถัดจากนั้นจึงจะเป็นการนำตัวจิ้นเยวี่ยกลับไป
ทว่านอกจากเฉินหรง ยังมีองค์ชายสี่ องค์ชายห้า และองค์ชายหกที่อายุไล่เลี่ยกับเฉินหรงแต่ยังไม่มีชื่อเสียงโดดเด่นเท่า ทว่าลูกหลานราชวงศ์มีใครบ้างไม่หมายปองบัลลังก์มังกรซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า วันใดเฉินหรงสิ้น องค์ชายคนอื่นๆ ย่อมรีบฉวยเอาเครื่องมือเช่นจิ้นเยวี่ยไปแทน ขอเพียงจิ้นเยวี่ยช่วยให้พวกเขาปลดราชครูเหลียงลงจากตำแหน่งได้ จิ้นเยวี่ยย่อมจะต้องได้รับการคุ้มกัน
ถ้าราชครูเหลียงลงมือจัดการจิ้นเยวี่ยหลังเฉินหรงสิ้นนั่นก็ยิ่งสมใจเหล่าองค์ชาย ราชครูเหลียงตามจองล้างจองผลาญสายเลือดของจิ้นหมิงเจ้า เท่ากับมีจิตใจโหดเหี้ยมทารุณ!…สรุปแล้ว ต่อให้จิ้นเยวี่ยตาย ย่อมต้องมีผู้ที่อ้างชื่อของเขาเพื่อใช้ประโยชน์ในงานใหญ่ของตนเองอยู่ดี
และการสังหารเฉินหรงในพิธีลงนามสัญญาสงบศึกจะต้องทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแคว้นเป่ยหรงกับแคว้นต้าอวี่ขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้สองฝ่ายต่างอ่อนกำลังหมดสิ้นเรี่ยวแรง ชายแดนทางเหนือต่อต้านศัตรูสุดกำลัง ในราชสำนักราชครูเหลียงสั่งหันซ้ายหันขวาได้ กุมอำนาจไว้แล้ว หากต้องพัวพันกับเรื่องของจิ้นเยวี่ย บุตรเขยของเขาที่ได้เป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือจะอยู่อย่างไร
เมื่อใดที่กองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือว่างเปล่าไร้ผู้นำ ก็จะเป็นวันที่จินเชียงบุกด่านไป๋เชวี่ยและเมืองเฟิงหู
ขอเพียงแม่ทัพสี่ตีเมืองเฟิงหูแตก ด่านสุดท้ายของภาคตะวันตกเฉียงเหนือก็จะรักษาไว้ไม่อยู่ ราวกับทัพจินเชียงบุกเข้าดินแดนที่ไร้ผู้คน
โหยวจวินซานเข้าใจอย่างถ่องแท้ “จินเชียงกับเป่ยหรงร่วมมือกัน เพื่อจะแบ่งดินแดนต้าอวี่ ทำลายความหยิ่งผยองของเมืองเหลียงจิงให้สิ้นซาก” เขาพึมพำกับตัวเองสักพักก็พยักหน้า “จวินซานเข้าใจแล้ว”
เหลยซือจือหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ขอเพียงสังหารเฉินหรงในพิธีลงนามสัญญาสงบศึกสำเร็จเรื่องก็จะจบสิ้น ข้าจะทำตามสัญญาระหว่างจินเชียงกับเจ้า ปล่อยเจ้ากับไป๋หนีให้หนีไป”
“แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอ” โหยวจวินซานบอก “ตอนนี้ข้าอยากพบไป๋หนี” พูดถึงตรงนี้ ความโกรธที่สะกดไว้เมื่อครู่ก็กรุ่นขึ้นมาอีก ทุบโต๊ะอย่างแรง “เหตุใดจึงพาไป๋หนีมาที่นี่!”
ณ ที่พักของอวิ๋นโจวอ๋อง เฮ่อหลันเฟิงเพิ่งออกจากเวร เขาใช้ทางสายหนึ่งเดินอ้อมไปยังที่พักของจิ้นเยวี่ย มองเห็นลานเรือนมืดมิดแต่ไกล สงบเงียบไร้สรรพสำเนียง คิดแล้วว่าจิ้นเยวี่ยคงเข้านอนไปแล้ว วันนี้เกิดเรื่องมากมาย เขายังไม่ได้พูดจาพลอดรักกับจิ้นเยวี่ยให้ชื่นใจจึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
กลับมาถึงห้องของตนเอง เห็นแสงเทียนจุดสว่าง เฮ่อหลันเฟิงแอบยินดี ผลักเปิดประตูเข้าไปอย่างเบิกบาน
เฮ่อหลันจินอิงนั่งอยู่ในห้อง
“ข้าไม่ใช่จิ้นเยวี่ย” เฮ่อหลันจินอิงมองดูรอยยิ้มเลือนหายจากใบหน้าของเฮ่อหลันเฟิง พูดอย่างไม่พอใจ
เฮ่อหลันเฟิงปิดประตู “คืนนี้ไม่ต้องไปเข้าเวรที่คณะทูตจินเชียงหรือ”
“แม่ทัพสี่บอกว่าเขาจะจัดเวรยามใหม่ อีกอย่างมีทหารองครักษ์จากปี้ซาน ไม่ต้องคอยเฝ้า” เฮ่อหลันจินอิงตบโต๊ะเบาๆ “เจ้ามานี่ นั่งลง”
“ถ้าจะพูดเรื่องจิ้นเยวี่ยอีก ก็ไม่ต้อง” เฮ่อหลันเฟิงบอก “ถ้าท่านพูดให้ข้าเปลี่ยนใจได้ ข้าก็ไม่ใช่เฮ่อหลันเฟิงแล้ว”
เฮ่อหลันจินอิงรู้สึกปวดฟันขึ้นมา มุมปากกระตุกทันที “นั่งลง!”
เฮ่อหลันเฟิงจำต้องนั่งลง
“วันลงนามสัญญาสงบศึกคือราวต้นเดือนหน้า” เฮ่อหลันจินอิงบอก “พื้นที่บางแห่งที่จะระบุในสัญญา อวิ๋นโจวอ๋องยังไม่แน่ใจ ต้องการเจรจากับต้าอวี่ก่อน”
เฮ่อหลันเฟิงพยักหน้า “เรื่องนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับข้า”
เฮ่อหลันจินอิง “หลังจากลงนามแล้วจะมีพิธีเฉลิมฉลอง ในงานมีทั้งชาวเป่ยหรง จินเชียง และต้าอวี่ เทียนจวินก็จะไปร่วมด้วย”
เฮ่อหลันเฟิงรอให้เขาพูดต่อ
เฮ่อหลันจินอิงสูดหายใจเข้า ระงับหัวใจที่เต้นรัวให้กลับมาสงบ พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติที่สุด
“วันงานพิธีข้าจะเดินลาดตระเวนรอบๆ” เขาล้วงหยิบศรเกาซินสีดำสนิทดอกหนึ่งออกมาจากแล่งธนูข้างๆ วางไว้บนโต๊ะ “ในวันนั้นขณะที่ทุกคนมาแสดงความยินดีกับเจ๋อเวิง ข้าจะใช้ศรเกาซินของชาวเกาซินปลิดชีพเจ๋อเวิง”
* เซี่ยงจี๊ คือไตหมู
** ถูหมี เป็นต้นไม้อยู่ในวงศ์เดียวกันกับกุหลาบ มีดอกสีขาว เกสรสีเหลือง และมีกลิ่นหอม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 23 พ.ย. 65