ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2 บทที่ 28 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2 บทที่ 28 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2

ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ  

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 28 ล่องเรือ

แสงตะเกียงวับวามตามบ้านเรือน แสงจันทร์เยือกเย็นสาดส่องผู้คน

เมืองปี้ซานตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เสียงน้ำไหลกราก ในเมืองมีลำธารแคบยาวพาดผ่านตัดสลับไปมา ขีดแบ่งเมืองใหญ่ออกเป็นเขตเล็กๆ สิบกว่าแห่ง จิ้นเยวี่ยคลุมตัวด้วยเสื้อฟางกันฝนขี่อยู่บนหลังเฉินซวง ฝีเท้าชายหนุ่มทรงพลังยิ่ง แม้แบกร่างจิ้นเยวี่ยแต่กลับไม่ช้าลงเลย ทั้งสองคล้ายรวมกันเป็นเงาร่างใหญ่หนึ่งเดียว โลดแล่นโจนทะยานไปตามหลังคาบ้านเรือนในเมืองปี้ซาน

ขณะที่โหยวจวินซานลอบพบปะกับแม่ทัพสี่ เฮ่อหลันเฟิงหารือเรื่องใหญ่กับเฮ่อหลันจินอิง จิ้นเยวี่ยก็เดินทางไปพบเฉินหรง

ที่พักของเฉินหรงและราชครูเหลียงคือจวนนอกเมืองของพื้นที่รักษาการณ์เมืองปี้ซาน เป็นจวนหลังเล็กที่มีลานเรือน แต่ละจุดตกแต่งงามตา ครั้นเฉินซวงกระโดดลงมาในจวนก็มีเสียงทหารในมุมมืดตวาดทันที

“นั่นใคร!”

เฉินซวงพูดเสียงเบา “บุตรชายแม่ทัพจิ้นหมิงเจ้า ขอเข้าเฝ้าองค์ชายสาม”

ทหารเหล่านั้นเก็บอาวุธทันที เห็นได้ชัดว่าได้รับคำสั่งมา คนเหล่านั้นพาจิ้นเยวี่ยไปยังลานเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างนอบน้อม ตอนจากไปได้กระซิบพึมพำปลอบเขาเบาๆ ว่า

“แม่ทัพน้อย ท่านกลับมาบ้านแล้ว”

ลานเรือนเล็กดูเหมือนจะเป็นที่พักของเฉินหรง ใต้ชายคามีนางกำนัลสองคนหมอบอยู่ จิ้นเยวี่ยรู้สึกไม่ชอบมาพากล ไม่อยากเดินเข้าไป ได้แต่เดินวนไปวนมาที่กลางลานเรือน

ชาวต้าอวี่ล้วนเรียกเขาว่า ‘แม่ทัพน้อย’

จิ้นเยวี่ยคิด

ชื่อนี้คงสลัดไม่หลุดแล้ว

ที่มุมของลานมีต้นไม้หนาทึบ ต้นไม้ต้นหนึ่งใบร่วงไปกว่าครึ่ง ดอกไม้สีแดงร่วงเกลื่อนพื้น จิ้นเยวี่ยตกใจ

นั่นต้นซานฉา

เห็นได้ชัดว่าต้นซานฉาต้นนี้ถูกย้ายมาปลูกไม่นาน ดินยังดูอ่อนตัว แต่อากาศในเมืองปี้ซานและฤดูกาลในยามนี้ล้วนไม่เหมาะจะปลูกต้นซานฉา ดอกของมันจึงร่วงเกลื่อนพื้น ใกล้ตายเต็มที

เมื่อหยัดกายยืนตรงก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากนอกลาน เสียงนั้นคุ้นหูยิ่ง

“โหยวจวินซานเล่า”

“ทูลองค์ชายสาม คืนนี้นายกองโหยวขอพัก ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงออกไปดื่มสุราแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินหรงที่เข้ามาในลานเรือนเงยหน้าเห็นจิ้นเยวี่ยยืนอยู่ข้างต้นซานฉาก็ไม่พูดอะไรสักคำ สาวเท้าอาดๆ เข้าไปหาเด็กหนุ่ม อ้าแขนกว้างรวบตัวเขามากอดไว้แน่น

จิ้นเยวี่ยไม่คุ้นกับที่จู่ๆ ชายหนุ่มทำทีสนิทสนมเช่นนี้ ทั้งอึดอัด ทั้งทำอะไรไม่ถูก

“องค์ชายสาม”

“เรียกว่าพี่ชายเถอะ” เฉินหรงบ่นพึมพำ “องค์ชายสามอะไรกัน ห่างเหินนัก”

จิ้นเยวี่ยอดนึกถึงเรื่องที่ชายหนุ่มรังแกตนเองในวัยเด็กไม่ได้ แอบขบขันแล้วจึงรับว่า “องค์ชายสาม”

เฉินหรงปล่อยเขา แล้วบีบแก้มเขาอย่างไม่ได้นึกโกรธ ถามเบาๆ “เหตุใดผ่ายผอมเช่นนี้!”

เขาจูงจิ้นเยวี่ยเข้ามาในห้อง ไล่คนอื่นออกไป ทั้งยังเหลือบมองเฉินซวงอีกด้วย

จิ้นเยวี่ยจึงแนะนำ “นี่คือเฉินซวงจากพรรคหมิงเยี่ย คุ้มกันข้างกายข้ามาตลอด”

ชายหนุ่มโบกมือสั่งให้เฉินซวงออกไป หันไปยิ้มให้จิ้นเยวี่ย “เจ้าเดาถูกหรือไม่ว่าข้าเป็นคนให้พรรคหมิงเยี่ยตามหาเจ้า”

“นอกจากท่านแล้วยังมีผู้ใดอีก” จิ้นเยวี่ยตอบ “สำหรับองค์ชายสาม บุตรชายของจิ้นหมิงเจ้ามีความสำคัญยิ่ง”

“ไม่ จิ้นเยวี่ย เจ้าคิดผิดแล้ว” เฉินหรงดึงมือเขาให้นั่งลงข้างโต๊ะ “เจ้าต่างหากที่สำคัญต่อข้า”

บนโต๊ะมีขนม ชาร้อน ยังมีดอกซานฉาวางไว้ดอกหนึ่ง แต่จิ้นเยวี่ยมองแทบไม่ออกเพราะซานฉาดอกนี้แห้งเหี่ยวไปกว่าครึ่งแล้ว

ทั้งสองไม่ได้เอาแต่พูดคุยเรื่อยเปื่อย ต่างคนต่างเล่าว่าหลังจากแยกกันแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง

ผู้ที่จะลงนามกับแคว้นเป่ยหรงในสัญญาพันธมิตรผิงโจวในตอนนั้นก็คือราชครูเหลียง ทางแคว้นเป่ยหรงยืนกรานว่าต้องการได้ตัวจิ้นเยวี่ยไว้เป็นองค์ประกัน ราชครูเหลียงก็ตอบตกลงโดยยังมิทันรายงานให้ฮ่องเต้เหรินเจิ้งทราบ รอจนนำสัญญาพันธมิตรผิงโจวกลับมาเมืองเหลียงจิง ทุกอย่างก็ถูกกำหนดเป็นมั่นเป็นเหมาะไปแล้ว ฮ่องเต้เหรินเจิ้งถึงกับบริภาษราชครูเหลียงอย่างแรงไปยกหนึ่งพร้อมทั้งตัดเบี้ยหวัดครึ่งปี

“เสด็จพ่อไม่เสด็จไปพบเจ้าก็เพราะรู้สึกผิด พระองค์เป็นถึงโอรสสวรรค์ จะให้ขออภัยบุตรชายของขุนนางต่ำต้อยได้หรือ ข้าอยากจะไปหาเจ้าแทนพระองค์ แต่ระหว่างที่เจ้าอยู่ในวังหนึ่งเดือน ข้ากลับยุ่งอยู่กับการจัดการผลพวงจากสัญญาพันธมิตรผิงโจว จึงไม่ว่าง” เฉินหรงกุมมือจิ้นเยวี่ย “น้องชายคนดี เจ้าโทษข้าหรือไม่”

“องค์ชายสามกล่าวเกินไปแล้ว” จิ้นเยวี่ยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ย่อมมีงานมาก จิ้นเยวี่ยเข้าใจ”

“…ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ โกรธก็ถูกต้องแล้ว เป็นเรื่องที่สมควร” เฉินหรงคว้ามือเขามาแนบหน้า “เจ้าตีข้าเถอะ”

จิ้นเยวี่ยถอนหายใจยาว ดึงมือกลับ “วันนี้ข้ามาพบท่าน ไม่ใช่เพื่อพูดพล่ามไร้สาระ”

เฉินหรงถึงกับอึ้ง น้ำเสียงหนักใจ “เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ามาแล้ว จะต้องพาเจ้ากลับเหลียงจิงไปด้วยให้ได้”

จิ้นเยวี่ยบอกเฉินหรง เขาได้ข้อมูลเรื่องเส้นทางผ่านเทือกเขาอิงหลงจากธิดาเทพเกาซินมาแล้ว สามารถใช้เส้นทางนี้หลบหนีข้ามแม่น้ำเลี่ยซิงได้ แต่ชายหนุ่มไม่เห็นด้วย จิ้นเยวี่ยเองก็ไม่อยากใช้วิธีอ้อมค้อมวกวน องค์ชายสามแห่งต้าอวี่บัดนี้มาอยู่ในเมืองปี้ซาน เฉินหรงย่อมมีวิธีให้เขาได้ติดตามตนเดินทางกลับเหลียงจิงได้อย่างเปิดเผย

“อวิ๋นโจวอ๋องพาเจ้ามาก็เพื่อเยาะเย้ยพวกเรา บุตรชายของจิ้นหมิงเจ้ากลายเป็นทาสของเป่ยหรง นี่ย่อมเป็นความอับอายใหญ่หลวงของต้าอวี่” เฉินหรงเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าจะมาจึงไม่ประหลาดใจ ราชครูเหลียงเห็นเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็หวาดกลัวมาก แต่พอเจ้าปรากฏตัวพร้อมตราประทับทาสที่แขน สำหรับทหารต้าอวี่เป็นเรื่องที่รับได้ยากจริงๆ”

นอกจากทหารประจำการที่เมืองปี้ซาน อีกส่วนหนึ่งยังมีทหารทัพเหนือด้วย จิ้นหมิงเจ้าไต่เต้ามาจากทัพเหนือ ทั้งแม่ทัพและเหล่าทหารของทัพเหนือต่างเคารพนับถือแม่ทัพจงเจามาก การตายของเขาและเรื่องที่สกุลจิ้นบ้านแตกสาแหรกขาด ล้วนเป็นเหมือนหนามตำใจทหารทัพเหนือทั้งมวล

“อวิ๋นโจวอ๋องผู้นี้ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร” จิ้นเยวี่ยถาม

“คราวนี้ข้าเพิ่งได้รู้จักเขา ดูเป็นมิตรเข้ากับคนง่าย พูดจาสบายๆ น่าคบหา”

“ความคิดอ่านของเขาละเอียดลออยิ่ง ไม่ใช่คนที่จะไว้ใจได้ง่ายๆ” จิ้นเยวี่ยเตือน “เขานำข้ามา ไม่เพียงเพื่อใช้ข้าเยาะเย้ยชาวต้าอวี่”

เฉินหรงตะลึงงัน “เจ้าว่าอะไรนะ”

จิ้นเยวี่ยจึงเล่าเรื่องคืนนั้นที่ได้พบอวิ๋นโจวอ๋องกับเทียนจวินเจ๋อเวิง รวมทั้งคำพูดอันมีความหมายคลุมเครือ ที่ว่า ‘ผู้มีชีพยืนนาน ไร้ขีดจำกัด’ ให้เฉินหรงฟัง

อวิ๋นโจวอ๋องมั่นใจว่าตนเองจะได้ขึ้นเป็นเทียนจวินแห่งเป่ยหรงคนต่อไป ส่วนเฉินหรงต้องได้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าอวี่คนต่อไปแน่ การยอมส่งตัวจิ้นเยวี่ยคืนให้แก่ต้าอวี่ผ่านทางอวิ๋นโจวอ๋อง ย่อมเป็นการแสดงมิตรไมตรีต่อกันอย่างหนึ่ง

“เขารู้ว่าข้าไม่อาจเป็นขุนนางในราชสำนักเป่ยหรง จะเป็นผู้ช่วยของเขาก็ไม่ได้” จิ้นเยวี่ยว่า “ระหว่างการเดินทางข้าพูดคุยกับเขาหลายครั้ง คนผู้นี้มีปณิธานยิ่งใหญ่แต่บัดนี้ยังไร้หนทางจะทำให้เกิดขึ้น ตัวเขาร้อนใจยิ่ง นอกจากนี้เขาไม่เหมือนเทียนจวินเจ๋อเวิง ไม่อาจทำเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาดไร้ความปรานี อย่างเรื่องของเฮ่อหลันจินอิง ท่านน่าจะได้เคยพบมาก่อน เขาเป็นแม่ทัพเผ่าเกาซินที่อยู่ข้างกายอวิ๋นโจวอ๋อง”

เฉินหรงทำท่าให้เขาเล่าต่อ

“ชนชั้นสูงเผ่าเกาซินเคยจุดไฟเผาเมืองของแคว้นเป่ยหรงจนวอดวาย มีคนบาดเจ็บล้มตายมากมาย แต่เพราะการโน้มน้าวของอวิ๋นโจวอ๋อง เทียนจวินเจ๋อเวิงจึงยังให้เฮ่อหลันจินอิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพเป่ยหรงต่อไป จุดยืนของอวิ๋นโจวอ๋องที่ทำเช่นนี้ก็เพราะการใช้งานเฮ่อหลันจินอิงต่อไปย่อมจะคุ้มค่ากว่าการปลดเขาออก”

เฉินหรงเข้าใจแล้ว “การส่งตัวเจ้าคืนให้ต้าอวี่ย่อมมีความหมายกว่าการทิ้งเจ้าไว้ที่เป่ยหรง นอกจากนี้ยังต้องเป็นเขาที่ส่งตัวเจ้า ไม่ใช่เป็นการที่เป่ยหรงส่งตัวให้ต้าอวี่ ถ้าให้การส่งเจ้าคืนแก่ต้าอวี่เกิดขึ้นในนามของแคว้นเป่ยหรง น้ำใจครั้งนี้ก็จะกลายเป็นน้ำใจจากเทียนจวินเจ๋อเวิงไป”

เขารู้สึกสนใจเฮ่อหลันจินอิงขึ้นมา “ชาวเป่ยหรงไว้ใจให้ชาวเกาซินผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นแม่ทัพของพวกเขาจริงหรือ”

จิ้นเยวี่ย “นี่เป็นตัวเลือกหนึ่งที่สมดุลที่สุดแล้วจากหลายตัวเลือก”

ภายหลังความวุ่นวายระหว่างห้าเผ่าในเป่ยหรงดูเหมือนจะร่วมใจเป็นหนึ่ง แต่ที่จริงในนั้นยังมีท่าทีแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแอบแฝงอยู่ นักโทษเผ่านู่ซานที่จิ้นเยวี่ยพบครั้งอยู่ที่เขาเซวี่ยหลางนับเป็นตัวอย่างให้เห็น พวกเขาไม่ไว้วางใจให้เจ๋อเวิงเป็นผู้นำเผ่าเป่ยหรงทั้งมวล

การปรากฏตัวของเฮ่อหลันจินอิงเป็นการส่งสัญญาณที่ยอดเยี่ยมว่าถ้าแม้แต่ชาวเกาซินก็เป็นแม่ทัพได้ ชาวเผ่าอื่นยังต้องเกรงกลัวอันใดอีก

“ข้าคิดว่าเฮ่อหลันจินอิงน่าจะลงมือปลงพระชนม์เทียนจวินเจ๋อเวิงเร็วๆ นี้” จิ้นเยวี่ยพูดอีก “ตั้งแต่เทียนจวินเจ๋อเวิงช่วงชิงแผ่นดินสิบสองเมืองตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงไปจากมือของต้าอวี่ได้ ยามนี้เป็นเวลาที่เทียนจวินเจ๋อเวิงทรงกระตือรือร้นมากที่สุด ย่ามใจมากที่สุด หากเฮ่อหลันจินอิงคิดจะแก้แค้นให้ชาวเกาซิน ไม่มีเวลาใดที่เหมาะสมไปกว่าเวลานี้อีกแล้ว”

“ถ้าเขาปลงพระชนม์เทียนจวินเจ๋อเวิง มิเป็นการทำลายแผนการของอวิ๋นโจวอ๋องหรือ ทางแคว้นเป่ยหรงจะต้องลงโทษคนทำผิดอย่างเฮ่อหลันจินอิง เมื่อโฉมหน้าอันดีงามของเมืองเป่ยตูหมดสิ้นไป ห้าเผ่าจะไม่หวาดระแวงหรือ”

จิ้นเยวี่ยครุ่นคิด “ข้าเคยพูดต่อหน้าเทียนจวินเจ๋อเวิงกับอวิ๋นโจวอ๋องว่า ‘ผู้ปกครองแผ่นดินควรทำให้ราษฎรเลื่อมใส หาใช่ทำให้ใต้หล้าหวาดกลัว’ คำพูดนี้เทียนจวินเจ๋อเวิงไม่เคยเก็บไปใส่พระทัย แต่อวิ๋นโจวอ๋องฟังและจดจำฝังใจ เฮ่อหลันจินอิงปลงพระชนม์เทียนจวินเจ๋อเวิง อวิ๋นโจวอ๋องก็จะได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องตามหลัก ผู้ที่ถูกตำหนิหลังจากนั้นมีเพียงเฮ่อหลันจินอิง อวิ๋นโจวอ๋องจะปลดปล่อยนักโทษชาวเผ่านู่ซานส่วนหนึ่งและรับชาวเกาซินที่เขาเซวี่ยหลางให้มาใช้ชีวิตที่เป่ยตูก็ยังทำได้ สำหรับผู้มีส่วนร่วมระหว่างเหตุวุ่นวายห้าเผ่า นี่จะเป็นสัญญาณยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา”

เทียนจวินองค์ใหม่ที่แสนปราดเปรื่องยังหนุ่มแน่นมีอนาคต เขาเพียงต้องลงโทษคนทำผิด แต่จะไม่นำโทษนั้นไปโยนให้ชาวเผ่าคนอื่นๆ ฟังดูชาญฉลาด เปี่ยมด้วยปัญญาญาณ น่าเคารพยำเกรงเสียนี่กระไร! เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ผลกระทบจากความวุ่นวายภายในห้าเผ่ายังดำรงอยู่ อวิ๋นโจวอ๋องก็ยังสามารถยืมวิธีนี้มาใช้เบี่ยงเบนสถานการณ์ให้ความผิดที่แล้วมาถูกลบล้างหมดสิ้น ขอเพียงรวมตัวกันอยู่ข้างกายเทียนจวินองค์ใหม่ ทุกอย่างล้วนสามารถเริ่มต้นใหม่ได้

“อวิ๋นโจวอ๋องจะเป็นเทียนจวินที่มีพระทัยกว้างขวางและปราดเปรื่องที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเป่ยหรงเป็นต้นมา” จิ้นเยวี่ยพูดเบาๆ “เฉินหรง ถ้าเป็นท่านจะต้านทานเสน่ห์อันน่าดึงดูดใจนี้ได้หรือ”

ประกายตาเฉินหรงวูบไหว สีหน้าดูสับสน เขาไม่ได้พูดคุยเรื่องอวิ๋นโจวอ๋อง แต่ก้มลงจิบน้ำชา ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

“จิ้นเยวี่ย เจ้านี่…เหตุใดเมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้มาก่อน”

“รู้อะไร”

“ว่าเจ้าเป็นพวกน้ำเต้าปิดสนิท* ไม่ช่างเจรจา ชอบแต่เดินเล่นหาของกินไปเรื่อย ในราชสำนักล้วนบอกว่าเจ้าไม่ฉลาดหรือมีจิตใจเฉกเช่นบิดาเลยแม้เพียงครึ่ง พวกเขามองผิดไป”

ทุกครั้งที่คนรอบข้างชื่นชมนับถือความคิดของเขา สิ่งที่ประดังขึ้นในใจของจิ้นเยวี่ยกลับมิใช่ความเห่อเหิมได้ใจ แต่เป็นความหวาดหวั่นพรั่นพรึง เขาแทบจะเข้าใจได้ในทันทีว่าที่เฉินหรงแสดงความชื่นชมตนเองนั้น สาเหตุก็เป็นเพราะ…ข้าอยากจะใช้งานเจ้า

ก้มหน้าครุ่นคิดสักครู่ จิ้นเยวี่ยก็เปลี่ยนเรื่องคุย “โหยวจวินซานมาอยู่กับท่านได้อย่างไร”

เฉินหรงนิ่งอึ้งไป “จวินซานหรือ มีอะไรผิดแปลก”

“…เขายังมีชีวิตอยู่”

“คนของทหารม้าคะนองเมฆายังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เรื่องดีหรือ” เฉินหรงยิ้ม “ข้าได้ยินราชครูเหลียงพูดว่านอกจากโหยวจวินซาน ยังพบทหารและแม่ทัพอีกสองสามนายที่รอดมาได้จากสนามรบ บัดนี้ล้วนมีอาการดีขึ้นแล้ว พวกเขาอยู่กันที่เมืองเฟิงหู”

จิ้นเยวี่ยรู้สึกสับสนอย่างน่าประหลาด เฉินหรงดูเหมือนไม่รู้ว่าการที่จิ้นหมิงเจ้าบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตเป็นฝีมือของคนใน

เขาสะกดความเคลือบแคลงใจ พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “บัดนี้ผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือคือบุตรเขยของราชครูเหลียง ข้าคิดว่าเขาจะถูกส่งไปอยู่ข้างกายราชครูเหลียง”

“เป็นเช่นนั้นจริง” เฉินหรงพยักหน้า “แต่โหยวจวินซานคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่ราชครูเหลียงทำให้เกิดการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ด่านไป๋เชวี่ย ก็เพราะอยากมาขอพึ่งพิงข้า”

จิ้นเยวี่ยกำลังจะถามอีก

เฉินหรงกระซิบบอก “ทัพตะวันตกเฉียงเหนือต่อสู้อย่างดุเดือดนานหลายเดือน เสบียงร่อยหรอแทบจะหมดเกลี้ยง เสบียงถูกลำเลียงจากทัพเหนือและเมืองเหลียงจิงไปถึงเมืองเฟิงหู แต่ระหว่างทางประสบเหตุภัยหนาวที่แม่น้ำหรง คนของราชครูเหลียงกักเสบียงทัพไว้เพื่อใช้บรรเทาทุกข์ เสบียงกองนี้จึงไปไม่ถึงเมืองเฟิงหู”

จิ้นเยวี่ย “…”

เฉินหรงเกือบจะหัวเราะออกมา “อ๋อ…ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

เมื่อนำเงื่อนงำทุกอย่างมาประกอบเข้าด้วยกัน ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าเหตุใดจิ้นหมิงเจ้าจึงตายและต้องประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ด่านไป๋เชวี่ย

แม้เหลียงอันฉงจะเป็นใหญ่ในราชสำนักถึงขั้นเรียกลมเรียกฝนได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจรวบอำนาจกองทัพไว้ในมือ กองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือถือเป็นขุมกำลังทางทหารสองสายที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าอวี่ ซึ่งเหลียงอันฉงจับจ้องอยากครอบครองมาเนิ่นนานแล้ว

การที่แคว้นจินเชียงร่วมมือกับแคว้นเป่ยหรงบุกโจมตีแคว้นต้าอวี่ที่ด่านไป๋เชวี่ย เหลียงอันฉงยึดเสบียงทัพกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือไว้ ทั้งยังส่งสายสืบไปเล่นตุกติกในกองทัพ ทำให้กองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือต้องพ่ายแพ้ และจิ้นหมิงเจ้าต้องสละชีพในสนามรบ

ถึงแม้การพลีชีพของจิ้นหมิงเจ้าไม่ใช่เจตนาดั้งเดิมของเหลียงอันฉง แต่เขาย่อมเกี่ยวข้องด้วย…หลังจากเปิดศึกที่ด่านไป๋เชวี่ยแล้ว เหลียงอันฉงก็รีบลงนามสัญญาพันธมิตรผิงโจวทันที ทำให้จิ้นเยวี่ยต้องถูกส่งตัวไปยังแคว้นเป่ยหรง ทั้งยังฉวยโอกาสที่รบแพ้ทำการเนรเทศคนสกุลจิ้น เห็นได้ว่าเขาต้องการกำจัดลูกหลานของจิ้นหมิงเจ้าให้สิ้นซาก มีเพียงต้องทำลายอำนาจของจิ้นหมิงเจ้าเท่านั้น บุตรเขยของเขาจึงจะหยัดยืนในกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างมั่นคง

ทั้งแคว้นเป่ยหรงและแคว้นจินเชียงล้วนไม่อยากให้จิ้นหมิงเจ้ามีชีวิตรอด สามฝ่ายร่วมมือกันสร้างสถานการณ์อย่างแยบยล จิ้นหมิงเจ้าจึงถูกบีบให้ตาย

หลังพ่ายแพ้ที่ด่านไป๋เชวี่ย บุตรเขยของเหลียงอันฉงเร่งรีบติดตามแม่ทัพเจี้ยนเหลียงอิงไปยังเมืองเฟิงหู กำลังของทัพเหนือพลันว่างลง ทางแคว้นเป่ยหรงรีบฉวยโอกาสก่อการจนทัพเหนือพ่ายแพ้ จำต้องลงนามสัญญาสงบศึกปี้ซาน เฉือนแบ่งดินแดนให้ไป

เมื่อใดยอมยกดินแดนบางส่วนไปแล้ว กำลังของทัพเหนือก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก ชื่อเสียงของทัพเหนือย่อมถดถอยลงในที่สุด

ทว่าชื่อเสียงของทัพตะวันตกเฉียงเหนือที่มีบุตรเขยของเหลียงอันฉงบัญชาการกลับกำลังรุ่งโรจน์ ตัวเหลียงอันฉงเองแทบไม่สูญเสียสิ่งใด ทั้งที่ต้าอวี่เสียดินแดน จิ้นหมิงเจ้าสิ้นชีพ จิ้นเยวี่ยต้องสูญสิ้นญาติวงศ์พงศา ชาวบ้านนับไม่ถ้วนเสียที่ดินทำกิน พลัดที่นาคาที่อยู่…ทว่าเหลียงอันฉงกลับกลายเป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักอย่างแท้จริง ดินแดนต้าอวี่แม้จะหดเล็กลง แต่เขาได้มีอำนาจประหนึ่งมือเดียวปิดฟ้า กลายเป็นผู้ที่อยู่ใต้คนผู้เดียว แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นอย่างแท้จริง

“ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าราชครูเหลียงไม่ได้ติดต่อกับทางแคว้นเป่ยหรงและจินเชียง เรื่องทั้งหมดนี้ประจวบเหมาะเกินไป สะดวกราบรื่นเกินไป” จิ้นเยวี่ยพูดขึ้นในที่สุด “และเพราะเหตุนี้เขาจึงหวาดกลัวข้า”

เฉินหรงเพียงแต่ยิ้ม ส่ายศีรษะช้าๆ

“จิ้นเยวี่ย…” เขาถอนหายใจยาว

“ข้าจะติดตามท่านกลับไป” จิ้นเยวี่ยบอก

คำพูดนี้เป็นการตอบรับและเป็นคำมั่นสัญญา เขาติดตามเฉินหรงกลับไปยังเหลียงจิง เป็นการลิขิตว่าจะยืนอยู่ฝ่ายองค์ชายสาม ต่อต้านเหลียงอันฉง เขามีทางเลือกนี้ทางเดียวเท่านั้น

ในหัวใจจิ้นเยวี่ยพลันว่างโหวงไม่มีที่สิ้นสุด คล้ายเจ็บแปลบในอก ดูเหมือนเขาไม่เคยมีโอกาสได้เลือกแม้แต่น้อย จะไปที่ใด กับใคร ต้องเผชิญกับเรื่องใด ล้วนมีผู้อื่นคอยจัดแจงไว้เสร็จสรรพ หนทางที่วางไว้ต่อหน้ามีเพียงเส้นทางสายเดียวเสมอมา เขาไม่อาจเลือกอะไรได้เลย

ความหนาวเย็นยะเยือกเสียดกระดูกอันแสนโดดเดี่ยวในคืนนั้นที่ยืนอยู่ตามลำพังบนที่ราบฉือวั่งหยวน มองดูร่องรอยที่ขบวนรถม้าทิ้งไว้ก่อนหายลับตาไปพลันหวนคืนมาสู่ตัวเขาอีกครั้ง

ร่ำสุราและชาไปพอสมควรจิ้นเยวี่ยก็ลุกขึ้นบอกลา เฉินหรงนั่งบนม้านั่งยาวมองดูเด็กหนุ่ม จู่ๆ ก็เหลือบเห็นสิ่งที่เหน็บเอวเขา จึงยื่นมือไปเหนี่ยวเอวจิ้นเยวี่ยดึงเข้ามา หัวเราะพลางดึงมีดสั้นปลอกหนังหมีกับหยกสลักทรงหัวกวางที่เอว

“นี่มันของกระจุกกระจิกอะไรกัน”

“เป็นของขวัญจากชาวเป่ยหรง” จิ้นเยวี่ยตอบ

เฉินหรงลูบหัวกวาง “หยกชิ้นนี้ไม่เลว แม้จะเล็กจ้อยแต่หยกโลหิตหาได้ยาก ยกมันให้พี่ชายเป็นที่ระลึกเถอะ”

ทันทีที่พูดจบ จิ้นเยวี่ยผู้ที่ในคืนนี้จะพูด จะทำสิ่งใด หรือดื่มชาล้วนเชื่องช้า กลับพุ่งเข้าหาว่องไวดุจลูกเสือดาว ฉวยหยกทรงหัวกวางชิ้นนั้นไปจากมือเฉินหรงในชั่วพริบตา

เฉินหรงตะลึงงัน “ไม่ได้?”

“ไม่ได้”

เฉินหรงหัวเราะ “ของสำคัญล้ำค่าอันใดกัน เจ้าถึงกับกลัวจนหน้าถอดสีเชียว”

“มิได้ล้ำค่า หาได้ทั่วไป” จิ้นเยวี่ยตอบ “แต่สำหรับข้า มีเพียงชิ้นเดียวในใต้หล้า”

เฉินหรงรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดรากฟัน จนอดทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ ผ่านไปสักพักค่อยพูดขึ้น “ดอกซานฉาที่เจ้าชอบที่ข้าอุตส่าห์เสาะหามา ใช้เวลาทั้งวันคืนขนส่งมาจากแคว้นชื่อเยี่ยน มีค่าไม่ธรรมดาเลย น้ำใจดีเช่นนี้ของข้ามิใช่ว่ามีเพียงหนึ่งในใต้หล้านี้หรือ แค่ขอหยกแตกๆ จากเจ้า เจ้ากลับทำท่าทางเช่นนี้ กลัวข้าจะแย่งไปหรือ”

จิ้นเยวี่ยประสานมือคำนับท่าทางนอบน้อม “น้ำใจดีขององค์ชายสาม จิ้นเยวี่ยขอรับด้วยใจ”

“ข้าไม่ชอบให้เจ้าพูดกับข้าเยี่ยงนี้” เฉินหรงท้วง “ไม่ต้องพูดตามมารยาทอย่างเจ้ากับขุนนาง จะดีร้ายเช่นไร เจ้ากับข้าก็มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอยู่บ้าง เหตุใดพูดกันดีๆ ไม่ได้ เกือบปีมานี้ที่เจ้ามาอยู่เป่ยหรง ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกวันเฝ้าคิดถึงเจ้า กลัวเจ้าจะเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งกลัวว่าเจ้าจะไม่รอด โธ่…โธ่เอ๊ย!”

เขาผุดลุกอย่างโกรธเกรี้ยว ผลุนผลันเดินไปที่ลานเรือน คว้าต้นซานฉาได้ก็จะดึงทึ้งถอนขึ้นมาให้ได้

“ต้นซานฉานี่ แลกให้เจ้าทำสีหน้าดีๆ กับข้าหน่อยก็ไม่ได้ เก็บไว้มีประโยชน์อันใด!”

“จะถอนทิ้งก็ถอนไปเถิด” จิ้นเยวี่ยยุ “พี่ชาย ข้ารู้ว่าท่านคิดอ่านเพื่อข้า แต่ว่าตั้งแต่ท่านถอนซานฉาต้นนี้จากแผ่นดินชื่อเยี่ยน มันก็ตายไปแล้ว”

เฉินหรง “เจ้าเห็นต้นซานฉาแล้วไม่ดีใจหรือ”

จิ้นเยวี่ย “มันเติบโตในผืนแผ่นดินของตนเอง เบ่งบานออกดอกออกผลของตนเอง ต่อให้ข้าไม่ได้เห็น ข้าก็ยังดีใจกว่าตอนนี้”

 

ตอนกลับไปเป็นยามเหม่า* แล้ว ฟากฟ้าตะวันออกเริ่มฉายแสงขาวประหนึ่งท้องปลา ตามท้องถนนเริ่มมีผู้คนออกมา เฉินซวงไม่อาจแบกเขาขึ้นหลังกระโดดไปมาได้อีก ทั้งสองจึงเลือกเส้นทางที่เงียบสงบเพื่อเดินกลับ

เดินไปได้สักพัก จู่ๆ เฉินซวงก็ถาม “เจ้าทะเลาะกับองค์ชายสามหรือ”

“มิได้” จิ้นเยวี่ยดูแล้วก็มิได้อารมณ์ไม่ดี “เมื่อก่อนมีแต่เขาที่แอบแกล้งข้า บัดนี้ในที่สุดก็หาโอกาสทำเขาเสียหน้าได้บ้าง ข้ารู้สึกดีจริงๆ”

มีเสียงปรบมือดังอยู่เหนือศีรษะ “เยี่ยมยอด เยี่ยมยอด!”

เยวี่ยเหลียนโหลวปรบมือพลางเหาะถลาลงมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูคล่องตัว ดูแล้วพอจะนับว่าเป็นจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะได้ สีหน้ายิ้มระรื่น ท่าทางห้าวหาญน่าเกรงขาม

จิ้นเยวี่ยถาม “ได้พบประมุขพรรคของท่านแล้ว?”

“ได้พบแล้ว” เยวี่ยเหลียนโหลวบอก “หลับนอนกันแล้วด้วย”

จิ้นเยวี่ยทำตาโตขึ้นเล็กน้อย สีหน้านิ่งขึง “ว่าอย่างไรนะ”

เฉินซวงกลอกตาใส่เยวี่ยเหลียนโหลวอยู่ข้างหลัง

เยวี่ยเหลียนโหลวท่าทางกระตือรือร้นยิ่ง โอบตัวจิ้นเยวี่ยไว้ “เจ้ายังไม่รู้สินะว่าหลับนอนอย่างไร ข้าจะสอนให้ ที่ว่าหลับนอนนี้ ต้องเป็นการยินยอมพร้อมใจ ดื่มด่ำกำซาบ ลึกซึ้งจนไม่อาจยั้งตัว…”

จิ้นเยวี่ยขัดเขิน จึงกันมือเขาเอาไว้ “ข้าขอถาม เหตุใดพรรคหมิงเยี่ยจึงไม่บอกเรื่องที่ท่านพ่อของข้าถูกคนในสังหารให้เฉินหรงทราบ”

เยวี่ยเหลียนโหลวกำลังพูดสนุกปาก จึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้

“เรื่องนี้ประมุขพรรครู้แล้ว แต่เขาไม่ได้เผยให้เฉินหรงรู้” ชายหนุ่มอธิบาย “เพราะว่าเขาเองก็ยังไม่เชื่อใจเฉินหรงนัก”

จิ้นเยวี่ยทำตาโตขึ้นเล็กน้อย “เพราะเหตุใด ไม่ใช่ว่าเฉินหรงเป็นคนไหว้วานพรรคหมิงเยี่ยให้ตามหาข้าหรอกหรือ”

“ลืมไปแล้วหรือ เจ้าตัวยุ่ง” เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้มพลางบีบแก้มเขา “เป็นมารดาเจ้าต่างหาก ก่อนจะออกจากเมืองเหลียงจิงนางไปตามหาข้าคนแรกเชียว หลังพรรคหมิงเยี่ยกับเฉินหรงร่วมมือกัน เป็นประมุขพรรคถือโอกาสที่เอื้ออำนวยนี้ ยืมกำลังของเฉินหรงปกป้องเจ้า”

เยวี่ยเหลียนโหลวแขนข้างหนึ่งโอบเขา แขนอีกข้างโอบเฉินซวง พร้อมเดินก้าวใหญ่

“พรรคหมิงเยี่ยเป็นพรรคในยุทธภพที่ไว้วางใจได้มากที่สุดในใต้หล้า ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ย่อมต้องปกป้องคนสกุลจิ้นไว้ให้ได้” เขาพูดกับจิ้นเยวี่ย “ตลอดมาประมุขพรรคไม่ชอบเข้าหาคนของราชสำนัก แต่ว่าก่อนเจ้าจะออกเดินทางไปเป่ยหรง ช่วงหนึ่งเดือนที่เจ้าอยู่ในวัง พรรคหมิงเยี่ยคิดจะเข้าไปช่วยเจ้าออกมา แต่ก็ยังหาแผนที่รอบคอบไม่ได้ ประมุขพรรคได้เรียนรู้บางอย่าง ภายหลังเฉินหรงมาหาถึงที่เขาจึงรับปาก ต่างคนต่างก็มีแผน เจ้าไม่ต้องสนใจ เรื่องเปลืองหัวคิดเช่นนี้ปล่อยให้พวกเขาคิดกันไป พวกเราไม่ต้องไปปวดหัวด้วยหรอก”

จิ้นเยวี่ยซาบซึ้งใจ ความหวาดหวั่นและไม่สบายใจที่ต้องเผชิญหน้าเฉินหรงเมื่อครู่นี้ ถึงตอนนี้สลายไปมากทีเดียว

“นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน” เขาถาม “พรรคหมิงเยี่ยมีความเป็นมาอย่างไรกับตระกูลของพวกเรา”

“รอให้เจ้าได้พบประมุขพรรคเราก่อน เจ้าค่อยถามเขาโดยตรงก็แล้วกัน” เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม “ถ้าให้ข้าบอก คงเป็นคำเท็จครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นคำพูดเหลวไหล”

เฉินซวง “เจ้ารู้จักตนเองดีนี่”

“ข้าเฉยชากับเจ้าเกินไปแล้ว ขออภัยด้วยเสี่ยวซวงจื่อ” เยวี่ยเหลียนโหลวทำปากคล้ายจะจูบยื่นไปหาใบหน้าเฉินซวง “ไม่ได้พบกันตั้งหลายวัน เจ้าช่างดูหล่อเหลา มาให้พี่ชายหอมสักสองฟอดเร็ว”

ทั้งสองคนยื้อยุดต่อสู้กัน จิ้นเยวี่ยเดินตามช้าๆ อยู่ข้างหลัง กุมหยกทรงหัวกวางที่ห้อยเอว ความร้อนจากอุ้งมือแทรกเข้าไปในเนื้อหยกจนค่อยๆ อุ่นขึ้น

 

หลายวันผ่านไป ทุกวันจิ้นเยวี่ยแทบไม่ได้พบเฮ่อหลันเฟิง กว่าจะได้พบกันก็ไม่ง่าย เฮ่อหลันเฟิงกลับดูเหมือนมีเรื่องหนักใจ ยามเดินเฉียดผ่านกันได้แต่เกี่ยวนิ้วแลกเปลี่ยนความอบอุ่นอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ในที่ลับตาค่อยกล้าสวมกอดกัน

“มีอะไรไม่สบายใจหรือ” จิ้นเยวี่ยถาม

เฮ่อหลันเฟิงส่ายหน้า เขาพูดน้อย ในดวงตาคล้ายถูกปกคลุมด้วยเงาบางอย่างดูหนักอึ้ง เหมือนมีสิ่งที่ยากจะสลัดได้หลุดกำลังกดทับที่ตัว ทำให้ลืมเลือนว่าจะยิ้มอย่างไร

จิ้นเยวี่ยคาดเดาว่าการแยกจากที่ใกล้จะมาถึงคงทำให้เฮ่อหลันเฟิงหม่นหมอง

ยิ่งใกล้วันลงนามสัญญาสงบศึกเท่าใด บรรยากาศในเมืองก็ยิ่งซับซ้อนแปลกประหลาด ทหารเป่ยหรงทั้งยินดีทั้งตึงเครียด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าออกไปที่ใดตามลำพัง ทหารสองสามนายที่กล้าหน่อยพอออกไปก็ถูกชาวยุทธ์จู่โจมทำร้ายถึงตาย ทิ้งศพไว้ในตรอกร้างจนส่งกลิ่น

ตามตัวตูเจ๋อมีบาดแผลฟกช้ำทุกสามวันห้าวัน พวกทหารพอไม่มีอะไรทำยามว่างก็มักจะพูดคุยเล่นฆ่าเวลา ภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านของหุนต๋าเอ๋อร์มักตกเป็นหัวข้อสนทนาของทหารเผ่าชิงลู่อยู่เสมอ ว่ากันว่าหญิงสาวเผ่าชิงลู่ไม่ชอบหุนต๋าเอ๋อร์ เพราะหุนต๋าเอ๋อร์เป็นบุตรชายแม่ทัพหู่แห่งเผ่าเยี่ยไถ เผ่าเยี่ยไถเป็นเผ่าที่เล็กที่สุดของเป่ยหรง เผ่าเยี่ยไถรวมกันสิบกว่าเผ่าจึงจะมากเท่าชิงลู่เผ่าเดียว การแต่งงานครั้งนี้จึงถือว่าหุนต๋าเอ๋อร์เอาเปรียบเผ่าชิงลู่

หุนต๋าเอ๋อร์ไม่กล้าไปทะเลาะกับผู้อื่น จำต้องระบายอารมณ์ใส่ตูเจ๋อ

ตูเจ๋อนั้นยิ่งพูดน้อยลงเรื่อยๆ จิ้นเยวี่ยเห็นแล้วก็สงสาร มักแอบเอายารักษาแผลไปมอบให้อยู่เนืองๆ

“ข้าอยากกลับบ้าน” ตูเจ๋อรำพัน “ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้สร้างความชอบ ข้าจะต้องเป็นม้าตัวหนึ่งของหุนต๋าเอ๋อร์ไปตลอดชีวิต ยอมให้เขาตีเขาด่า ข้าเห็นผู้อื่นปฏิบัติต่อสหายของตนก็ไม่ได้โหดร้ายทารุณเช่นที่เขาทำ…”

เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้สึกเห็นใจต่อสภาพน่าอนาถของตูเจ๋อเลยแม้แต่น้อย จิ้นเยวี่ยพูดเรื่องนี้กับเขาทีไร เป็นต้องตอกย้ำว่า “เมื่อก่อนตูเจ๋อก็ทำกับข้าเช่นนี้ พวกชาวฮั่นเรียกว่าอะไรนะ…สุนัขอาศัยบารมีนายเบ่งอำนาจ* กระมัง”

เฮ่อหลันเฟิงกลายเป็นคนโมโหง่าย ฉุนเฉียวบ่อย นั่งยืนไม่เป็นสุข มีเพียงตอนที่อยู่กับจิ้นเยวี่ยจึงจะเผยให้เห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและเป็นกังวล จิ้นเยวี่ยจะคอยลูบเส้นผมเขา ขยับเข้าไปจ้องตา ใช้ปลายจมูกแตะกัน จุมพิตเบาๆ เฉกเช่นที่แกะจูบกัน

วันนี้จู่ๆ อวิ๋นโจวอ๋องก็เรียกจิ้นเยวี่ยเข้าไปพบ เขาแผ่ม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะให้จิ้นเยวี่ยดู จิ้นเยวี่ยแอบตกใจ นี่เป็นร่างสัญญาสงบศึกปี้ซานทั้งหมด ลงรายละเอียดเรียงแต่ละหัวข้อเป็นแถวๆ

“ข้าจะพูดตามตรงก็แล้วกัน” อวิ๋นโจวอ๋องเกริ่นนำ “ต้าอวี่ต้องการจะแบ่งดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงทั้งหมดให้เป่ยหรง เห็นพวกเขาแสดงความกระตือรือร้นเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกไม่สบายใจ”

จิ้นเยวี่ยไม่พูดอะไรสักคำ จ้องมองเขา

อวิ๋นโจวอ๋องงอนิ้วเคาะโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อ “ชาวต้าอวี่เจ้าเล่ห์ ข้าคิดว่าในสัญญานี้มีการเล่นตุกติก”

จิ้นเยวี่ยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ก้มลงอ่านสัญญาสงบศึกอย่างละเอียด

ระหว่างเดินทางมาเมืองปี้ซาน จิ้นเยวี่ยพอจะคาดเดาได้ว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นสักวัน การลงนามครั้งนี้เดิมทีเป็นความรับผิดชอบทั้งหมดของหลงถูชิน พออวิ๋นโจวอ๋องรู้ว่าต้าอวี่เป็นฝ่ายยอมยกดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงให้เป่ยหรงเอง ฉับพลันก็เป็นตัวตั้งตัวตีเข้ามาแทรกแซงการลงนามสัญญาสงบศึกปี้ซาน จิ้นเยวี่ยเดาถูกว่าเขาฉุกใจสงสัยเข้าให้แล้ว

เป่ยหรงต้องการเพียงสิบสองเมือง แต่ต้าอวี่กลับเป็นฝ่ายยอมยกดินแดนเพิ่มจากเดิมให้เป่ยหรง นี่เห็นได้ชัดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

สัญญาสงบศึกเขียนไว้อย่างละเอียดว่าตั้งแต่ฟากตะวันออกของแม่น้ำเลี่ยซิงจรดปากอ่าว ด้านตะวันตกจรดทะเลทรายหลุนเต๋อปู้หลุนทางตอนเหนือของด่านไป๋เชวี่ย แผ่นดินผืนใหญ่นี้ล้วนขีดแบ่งให้เป่ยหรง

ทว่าสิ่งตอบแทนสำหรับแผ่นดินผืนนี้ก็คือ เป่ยหรงต้องหยุดเรียกร้องสินสงครามที่ผู้ชนะต้องได้รวมทั้งเบี้ยรายปี

ในการประชุมลับเมื่อคืนนี้ จิ้นเยวี่ยได้ยินเฉินหรงพูดถึงเบี้ยรายปีในสัญญาสงบศึกปี้ซาน แต่เดิมมีทั้งเงินตำลึง ผ้าไหม ผ้าแพรต่วน ธัญพืช เครื่องลายคราม แร่ และไม้ซุง รวมเป็นจำนวนมากที่ต้องสนองตลอดสิบปี เฉินหรงคิดจะแลกเปลี่ยนด้วยการมอบแผ่นดินผืนใหญ่ขึ้นเพื่อขอให้ทางเป่ยหรงยกเลิกเบี้ยรายปีและสินสงคราม ดูจากในสัญญาสงบศึกแล้วเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล

“จิ้นเยวี่ย เจ้าเป็นชาวต้าอวี่ คิดว่าสัญญาสงบศึกนี้เชื่อถือได้หรือไม่” อวิ๋นโจวอ๋องถาม

จิ้นเยวี่ยเงยหน้า ดูเหมือนเขากำลังตื่นเต้น มือที่ถือสัญญาไว้เกร็งจนข้อนิ้วขาวซีด ทั้งยังสั่นน้อยๆ

“เชื่อไม่ได้!” เขาตอบด้วยเสียงแหบกร้าว “อย่าลงนาม!”

คิ้วเข้มของอวิ๋นโจวอ๋องขยับ “เพราะเหตุใด”

เมื่อมีเฉินหรงร่วมด้วย การลงนามครั้งนี้ก็แทบจะเสร็จสมบูรณ์ ต้าอวี่ไม่ต้องการสนองเบี้ยรายปีมหาศาลต่อเนื่องนับสิบปี เป่ยหรงได้แผ่นดินผืนใหญ่ขึ้น ดูเหมือนสองฝ่ายถอยคนละก้าว อีกทั้งต่างฝ่ายต่างได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ

ทว่าเพื่อซ่อนการมีอยู่ของเมืองด้านเหนือของเฟิงหู ในสัญญาจึงไม่ได้ระบุชื่อเมืองทางตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง แต่กำหนดจุดที่ชายแดนใช้คำนวณขนาดพื้นที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวเป่ยหรงก็จะไม่พบว่ามีครึ่งเมืองเฟิงหูที่ชาวจินเชียงจับจ้องอยู่ตาเป็นมัน

จิ้นเยวี่ยลอบถอนหายใจ

เฉินหรงฉลาดจริงๆ

บัดนี้ตนเองกำลังเผชิญหน้ากับอวิ๋นโจวอ๋องที่เฉลียวฉลาดไม่แพ้เฉินหรง

ต้องทำให้อวิ๋นโจวอ๋องเชื่อ…ว่าสัญญาสงบศึกมีสัจจะและเชื่อถือได้

“อวิ๋นโจวอ๋อง สัญญาฉบับนี้ทางเป่ยหรงได้ผลประโยชน์มากเกินไป ท่านพูดไม่ผิด นี่จะต้องมีการเล่นตุกติกแน่” จิ้นเยวี่ยอ่านเนื้อหาในสัญญาออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ดินแดนทั้งหมดตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง อันรวมถึงสิบสองเมืองและที่ดินชายขอบนอกเมือง ทั้งหมดมอบแด่เป่ยหรง…” เขาแค่นหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้น “สัญญาฉบับนี้ เขียนขึ้นโดยเหลียงอันฉงใช่หรือไม่!”

อวิ๋นโจวอ๋องพยักหน้า “ใช่แล้ว เจ้ารู้จักเขาดีหรือ”

“…คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย คดในข้องอในกระดูก เชื่อถือไม่ได้”

“ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่น เจ้าบอกข้ามา สัญญาฉบับนี้มีจุดใดไม่ชอบมาพากล”

“จะยกดินแดนทั้งหมดตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงให้เป่ยหรงได้หรือ!” จิ้นเยวี่ยท่าทีโกรธจนเนื้อเต้น “ท่านจะลงนามสัญญานี้ไม่ได้ ข้าจะหาหลุมพรางในนี้ออกมาให้ท่าน…ในนี้จะต้องมีหลุมพรางแน่…”

เขาเบิกตากว้าง เพ่งอ่านทุกตัวอักษร อวิ๋นโจวอ๋องไม่เคยเห็นจิ้นเยวี่ยเสียกิริยาเช่นนี้มาก่อนก็รู้สึกว่าน่าสนใจนัก ยิ้มพลางจ้องมองเขา

“สัญญาสงบศึกนี้เป็นประโยชน์ต่อเป่ยหรงมากเกินไป” อวิ๋นโจวอ๋องพูด “นี่หรือที่เจ้าบอกว่าเป็นหลุมพราง เอาล่ะ คืนมาได้แล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”

จิ้นเยวี่ยถือสัญญาไว้แน่นไม่ยอมคืน ปล่อยให้ตัวเองเสียกิริยา “ไม่ได้ อวิ๋นโจวอ๋อง…ข้าจะหาหลุมพรางให้ท่าน รออีกสักประเดี๋ยว”

“ชาวต้าอวี่มีคำพูดว่า ‘พิทักษ์ดินแดนประหนึ่งบ้าน’ ใช่หรือไม่ ต้องเฉือนแบ่งแผ่นดินมากถึงเพียงนี้ คงปวดใจล่ะสิ แม่ทัพน้อย” อวิ๋นโจวอ๋องฉวยสัญญาจากมือจิ้นเยวี่ย ม้วนแล้วถือไว้ ยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าไม่พอใจสัญญาฉบับนี้ ข้าก็วางใจ”

เฉินซวงแอบรออยู่ข้างนอกตลอดเวลา อวิ๋นโจวอ๋องจากไปไม่นาน จิ้นเยวี่ยจึงค่อยๆ เดินออกมาช้าๆ รอจนเขาเดินไปถึงที่ลับตาคน ชายหนุ่มก็มาอยู่ข้างกายพลางถามว่า “เป็นอย่างไร”

จิ้นเยวี่ยเล่าเรื่องเมื่อครู่คร่าวๆ ให้เฉินซวงฟัง ชายหนุ่มทำสีหน้าตกใจ “เขาพบว่าสัญญามีข้อพิรุธจริงๆ?”

“แค่สงสัย เงื่อนไขในสัญญาสำหรับเป่ยหรงแล้วเป็นประโยชน์อย่างมากทีเดียว” จิ้นเยวี่ยกลับมาสงบใจได้แล้ว ประหนึ่งว่าการเสียกิริยาเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “อวิ๋นโจวอ๋องไม่เชื่อข้า โดยเฉพาะหลังจากมาถึงเมืองปี้ซาน ยิ่งข้าบอกว่าสัญญาฉบับนี้ไร้ข้อพิรุธ เขามีแต่จะยิ่งสงสัย”

การที่จิ้นเยวี่ยแสร้งทำเป็นตื่นเต้นตกใจเงื่อนไขในสัญญากลับทำให้อวิ๋นโจวอ๋องคิดว่าเขาแสดงออกด้วยความรู้สึกแท้จริง จิ้นเยวี่ยเป็นชาวต้าอวี่ ทั้งยังเป็นบุตรชายของจิ้นหมิงเจ้า ย่อมมีความรู้สึกอันรุนแรงต่อแผ่นดินมากกว่าผู้อื่น ถ้าผิดไปจากนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าแสร้งทำ

“…เจ้าเหนื่อยหรือไม่” เฉินซวงกระซิบถาม

“เหนื่อยเหลือเกิน” จิ้นเยวี่ยกระซิบตอบ

สองคนเดินผ่านร่มเงาไม้หนาทึบนอกชายคา เดือนเจ็ดจวนผ่านพ้น อากาศอบอ้าวกลางคิมหันต์ของแดนเหนือค่อยๆ สลายไป ยามค่ำคืนอากาศหนาวเหน็บขึ้นทุกที เทือกเขาสูงนับพันนับหมื่นเริ่นนอกเมืองปี้ซานกำลังเปลี่ยนสีทุกวันที่ผันผ่าน ยิ่งใกล้ยามสารท ฟ้ายิ่งเป็นสีฟ้าเข้ม สายลมพัดขึ้นเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ ตะวันสาดแสงขาวเจิดจ้าชวนให้ว้าวุ่นใจ

คิมหันตฤดูของที่ราบฉือวั่งหยวนที่เฮ่อหลันเฟิงอยากให้จิ้นเยวี่ยได้เห็น ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้

 

 

* น้ำเต้าปิดสนิท หมายถึงคนหรือสิ่งที่คลุมเครือ เข้าใจได้ยาก ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่พูดน้อย

* ยามเหม่า คือช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00 น. ถึง 07.00 น.

* สุนัขอาศัยบารมีนายเบ่งอำนาจ เป็นสำนวน หมายถึงคนชั่วอาศัยบารมีเจ้านายเที่ยวข่มเหงรังแกผู้อื่น

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

  

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com