everY
ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
บทที่ 2 เนื้อตากแห้ง
ในห้วงฝันเต็มไปด้วยหิมะมืดฟ้ามัวดิน จิ้นเยวี่ยหนาวจนสั่นสะท้าน ยามสะดุ้งตื่นจากฝันก็แทบจะขดตัวเป็นก้อนกลมในรถม้า
ด้านนอกรถมืดสนิท ไป๋หนีไม่อยู่ข้างกาย ขบวนรถรุดหน้าไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางพายุหิมะ ด้วยความหวาดกลัวเด็กหนุ่มจึงรีบผลักประตูไม้ฉลุร้องเรียกเสียงดัง “ไป๋หนี!”
ไป๋หนีอยู่บนหลังม้า ขานรับพลางควบม้าเข้ามาหา
เดิมทีขบวนรถตัดสินใจจะตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่เดิม ทว่าพายุหิมะเปลี่ยนจากตกปรอยๆ เป็นโหมกระหน่ำ แม่ทัพหู่จึงแนะให้ไปหยุดพักที่ค่ายเยี่ยไถซึ่งอยู่ไม่ไกล รอหลังหิมะตกหนักผ่านพ้นค่อยมุ่งหน้าไปยังเป่ยตูต่อ
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่” ไป๋หนีกล่าว “แม่ทัพหู่จะพาพวกเราไปยังค่ายเยี่ยไถ อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากนี้นัก”
จิ้นเยวี่ยหดตัวกลับเข้าไปในรถ ปิดประตูไม้ฉลุแน่น ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดมีเสียงม้าร้องและเสียงสายลมหวีดหวิวค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในหู เขาไม่รู้สึกง่วงนอนจึงห่มเสื้อคลุมหนังหมีนั่งอยู่ในรถ อดหวนคิดเรื่องที่เหลียงจิงขึ้นมาไม่ได้
นับแต่แคว้นต้าอวี่สร้างราชวงศ์ตั้งเมืองหลวงที่เหลียงจิงก็เป็นเวลาแปดสิบกว่าปีแล้ว
จิ้นเยวี่ยเกิดที่เมืองเฟิงหูอันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ครั้งเมื่ออายุหกเจ็ดขวบ ฮ่องเต้มีราชโองการเรียกตัวบังคับให้เขากับมารดากลับเหลียงจิง หลังจากนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสได้เดินทางไกลอีกเลย
จิ้นเยวี่ยไม่ได้เป็นตัวประกันครั้งแรก ในอดีตเขากับมารดาต่างก็เป็นตัวประกันซึ่งบิดามอบเป็นหลักประกันต่อหน้าฮ่องเต้ บัดนี้เขาเป็นองค์ประกันที่ต้าอวี่มอบเป็นหลักประกันให้แก่เป่ยหรง ถึงอย่างไรก็มิได้แตกต่างกันมากนัก
เขาไม่ชอบวังหลวง
สมัยเยาว์วัยจิ้นเยวี่ยได้ติดตามบิดามารดาเข้าวังหลวงไปพบฮ่องเต้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ให้ฮ่องเต้ถามไถ่เรื่องการเรียน ให้ฮองเฮากับพระสนมบีบแก้ม ต่อให้ไม่มีความสุขก็ต้องยิ้มแย้มน่าเอ็นดู เนื่องจากบิดามีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งมารดายังเป็นองค์หญิงในฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นยามเหล่าขุนนางและขันทีเห็นจิ้นเยวี่ยต่างก็ยิ้มแย้มพากันเข้ามาห้อมล้อมเขาไว้เป็นกลุ่มก้อนราวกับดอกเบญจมาศยักษ์สีทอง ไมตรีจิตเช่นนั้นกลับทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง
คราแรกเหล่าองค์ชายองค์หญิงในวังหลวงนึกว่าจิ้นเยวี่ยจะคล้ายคลึงกับจิ้นหมิงจ้าว ร่างกายองอาจ อุปนิสัยแข็งกร้าว ทว่าต่อมากลับค้นพบว่าเขาอ่อนแอขี้โรค ไม่แตกฉานวิชายุทธ์ เป็นเด็กหัวทึบที่ปล่อยเวลาเหม่อมองดอกซานฉา* ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งได้นานเป็นครึ่งชั่วยาม**
พวกเขาจึงยิ่งชอบหยอกล้อจิ้นเยวี่ย บีบนวดใบหน้าน้อยๆ เหมือนคลึงแป้ง ของเล่นแปลกใหม่และของกินล้ำค่าในวังหลวงมักจะถูกส่งมายังจวนสกุลจิ้นประหนึ่งสายน้ำไหล
จวนสกุลจิ้นอยู่ภายในเมืองเหลียงจิง เมื่อออกจากวังทางประตูจูเชวี่ย มุ่งหน้าไปทางตะวันออกผ่านสะพานหมินโจวแล้วเดินไปทางใต้เป็นเวลาครึ่งถ้วยชา*** ก็จะเป็นย่านชิงซูหลี่ จวนสกุลจิ้นอยู่ตรงใจกลางย่านชิงซูหลี่ เป็นจวนไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่ง
จวนสกุลจิ้นมีลานฝึกยุทธ์ ยามจิ้นหมิงจ้าวไม่อยู่จวน ที่นั่นจะเป็นอาณาเขตของพี่สาวจิ้นเยวี่ย จวนสกุลจิ้นยังมีโถงศึกษา เชื้อเชิญอาจารย์สอนพิเศษตามจวนผู้มีชื่อเสียงในเหลียงจิงมาสอน ผู้เล่าเรียนต่างก็เป็นบุตรชายราชเลขา บุตรสาวผู้บัญชาการทหารสูงสุด บางครั้งยังมีองค์ชายองค์หญิงปลอมตัวปิดบังฐานะมาเรียนด้วยอีกคนสองคน
ขอเพียงอาจารย์สอนพิเศษกับองครักษ์เผลอ องค์ชายสองสามคนนี้ก็จะนำเด็กกลุ่มหนึ่งปีนกำแพงวิ่งมาถึงย่านชิงซูหลี่ กินดื่มเล่นสนุกก่อกวนไปตลอดทางจนแมวเกลียดสุนัขชิงชัง
แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องผู้ที่ถูกลงโทษมักจะเป็นจิ้นเยวี่ย
กระนั้นจิ้นเยวี่ยกลับไม่โกรธอาจารย์สอนพิเศษตามจวนผู้นั้นแม้แต่น้อย แม้ชายชราจะดุ ทว่ารักเขายิ่ง ไม้เรียวฟาดบนฝ่ามือ วันรุ่งขึ้นก็จะนำของกินมาปลอบเขาเสมอ ไม่ซาลาเปาดอกเหมยกับขนมก่วงหาน* ก็ลูกพลัมดอง อิงเถาเชื่อม หรือแปะก๊วยคั่ว เกาลัดคั่ว ร้อนควันฉุยห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้า เปิดออกตรงหน้าจิ้นเยวี่ยอย่างทะนุถนอม
จิ้นเยวี่ยรู้สึกแสบจมูก จามหนึ่งที
ไป๋หนีเคาะหน้าต่าง “คุณชายหนาวหรือ”
“ไม่หนาว” เด็กหนุ่มหดตัวเข้าไปในผ้าห่มนุ่มนิ่มกับเสื้อคลุม “ข้าจะนอนอีกสักพัก ท่านไม่ต้องกังวล”
เขาไม่รู้ว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อใด รถม้าส่ายโคลงเคลง จิ้นเยวี่ยกลับไปยังย่านชิงซูหลี่อีกครา พี่สาวผู้กลับมาเยี่ยมเยียนบ้านนำขนมมามากมาย พี่เขยแอบหิ้วน้ำบ๊วยผสมสุรา คู่แฝดชายหญิงจวนราชเลขาฟางซึ่งอยู่ข้างกันร้องเรียกเขาออกไปเล่นข้างนอกอยู่ตรงกำแพง สุนัขซึ่งพ่อบ้านเก็บมานอนหลับอยู่ใต้พุ่มดอกไม้ มารดาสะพายตะกร้าสานไม้ไผ่ใบน้อยไว้สอยผลไม้อยู่ในลานเรือน ส่วนบิดา…จิ้นเยวี่ยไม่ได้ฝันเห็นจิ้นหมิงจ้าว
เขาวิ่งออกจากประตูจวน กลับเห็นแต่ทุ่งกว้างเวิ้งว้าง ตรงที่ไกลแสนไกลมีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ ร่างนั้นสวมเกราะเหล็กมือถือกระบี่ยาว ร้องเรียกเขาเสียงดัง
‘เยวี่ยเอ๋อร์!’
‘ท่านพ่อ!’ จิ้นเยวี่ยวิ่งถลาไปทางบิดา ทว่ากลับสะดุดหิมะล้มลง ‘ท่านพ่อ! ท่านมารับข้าหรือ!’
บิดากลับไม่ตอบ เพียงร้องเรียกเขาซ้ำๆ ทั้งเจ็บปวดและอาวรณ์ จิ้นเยวี่ยไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นหิมะ ได้แต่เปล่งเสียงร้องไห้โฮ
ยามตื่นมาครานี้เขาน้ำตาไหลอาบหน้า ขบวนรถหยุดลงแล้ว จิ้นเยวี่ยได้ยินด้านนอกมีเสียงผู้คนครึกครื้น แสงไฟวูบไหวผ่านไป เด็กหนุ่มเช็ดใบหน้าลวกๆ ทำใจให้กระปรี้กระเปร่า
นอกรถ กระโจมเกือบร้อยหลังตั้งเรียงรายอยู่บนทุ่งราบ แสงไฟสว่างไสว
ยามขบวนรถองค์ประกันต้าอวี่มาถึงค่ายเยี่ยไถ เฮ่อหลันเฟิงกำลังซักเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังเขากลับบ้านและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยถึงได้รู้ว่าด้านในเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเปรอะเลือดของตนเอง จึงตั้งอกตั้งใจซักอยู่ครึ่งค่อนวัน รอยเลือดสีแดงจางๆ ยังคงติดแน่นอยู่บนชั้นผ้าด้านในสีเทาอ่อนของเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างยากจะซักออก
เสียงคนด้านนอกดึงความสนใจเฮ่อหลันเฟิง เมื่อเด็กหนุ่มออกจากกระโจมก็เห็นแม่ทัพหู่กวักมือเรียกตนเองทันที
แม่ทัพหู่กำลังหารือเรื่องการจัดเตรียมกระโจมที่พักกับไป๋หนี เขากวักมือเรียกเฮ่อหลันเฟิงมาพลางบอก “เจ้าเข้าใจภาษาฮั่นมาก ไปคุยเล่นเป็นเพื่อนเขาไป” ว่าพลางรุนหลังเด็กหนุ่มเข้าไปในกระโจมหลังเล็กด้านข้าง
ในกระโจมมีแค่จิ้นเยวี่ยผู้เดียว ท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ จิ้นเยวี่ยมองเห็นในนัยน์ตาสีดำสนิทดุจหมึกของเฮ่อหลันเฟิงส่องประกายเหลือบเขียวเลือนรางราวกับนัยน์ตาหมาป่า
ทหารหลายนายเดินตามเข้ามา มีทั้งชาวเป่ยหรงและชาวต้าอวี่ พวกเขายืนตัวตรงเรียงแถวแยกกันอยู่สองฝั่ง จ้องทั้งจิ้นเยวี่ยทั้งเฮ่อหลันเฟิงเขม็ง
เห็นเฮ่อหลันเฟิงดูหงุดหงิดทั้งยังยืนตัวตรงแหน็ว จิ้นเยวี่ยก็อดถามไม่ได้ “กินลูกกวาดหรือไม่”
เขาหยิบห่อกระดาษออกจากอกเสื้อ ในนั้นยังเหลือลูกกวาดสิงโตอยู่สามชิ้น
เฮ่อหลันเฟิงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้านทานกลิ่นหอมหวานของลูกกวาดไม่ไหว หยิบมาหนึ่งชิ้นอย่างระมัดระวัง ก้อนลูกกวาดสีขาวน้ำนมทรงสิงโตงามประณีตคล้ายอำพันอยู่หลายส่วน เขามองดูซ้ายขวา ก่อนจะเอาใส่ปาก พลันเบิกตากว้าง
จิ้นเยวี่ยแย้มยิ้มทันที “อร่อยล่ะสิ”
เฮ่อหลันเฟิงไม่เคยกินของดีเช่นนี้มาก่อน เขาอมพลางลิ้มรสอย่างละเมียดละไมด้วยความประหลาดใจ จิ้นเยวี่ยก้าวไปหาพลางส่งให้อีกครั้ง พยายามเป็นมิตรอย่างที่สุด “เจ้าเอาไปให้หมดเถิด”
เฮ่อหลันเฟิงฉีกกระดาษออกนำมาห่อลูกกวาดหนึ่งชิ้นใส่ในเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วยืนตัวตรงแหน็วอีกครั้ง
จิ้นเยวี่ยเพียงรู้สึกเบื่อหน่าย ลูกกวาดชิ้นสุดท้ายเขาก็เป็นผู้กินเสียเอง เครื่องเรือนด้านในกระโจมเรียบง่าย เป็นที่พักชั่วคราวของทหารที่อยู่เวร เขาเดินหนึ่งรอบก็กลับมาข้างเฮ่อหลันเฟิง “เจ้าชื่ออะไร”
เฮ่อหลันเฟิงบอก จิ้นเยวี่ยก็ถามเขาอีกว่าเขียนอย่างไร “ข้ารู้ตัวอักษรเป่ยหรงไม่มาก เจ้าเขียนอักษรฮั่นเป็นหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงเขียนเบ้ๆ เบี้ยวๆ บนพื้น ตัวอักษรสามตัวแต่เขียนจนกว้างเท่าสี่ตัว เขียนเสร็จก็รีบร้อนใช้เท้าปัดทิ้ง ไม่ให้จิ้นเยวี่ยมองมากไป
“ข้าชื่อจิ้นเยวี่ย” จิ้นเยวี่ยเองก็เขียนตัวอักษรบนพื้น
เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้จัก จึงเอ่ยถามห้วนๆ “หมายความว่าอย่างไร”
จิ้นเยวี่ยคลี่ยิ้มบอก “จันทร์กระจ่างลอยขึ้นเหนือเทือกเขาเทียนซาน กลางทะเลเมฆกว้างสุดสายตา”
เฮ่อหลันเฟิงตอบกลับ “ฟังไม่เข้าใจ”
จิ้นเยวี่ยยอมแพ้ ยิ่งแน่ใจกับความคิดที่ว่าชาวเป่ยหรงนั้นคบหายาก ทั้งสองยืนทื่อไร้วาจา ทหารหลายนายรอบๆ มองนิ่งเงียบงัน บรรยากาศในกระโจมอึดอัดน่าเบื่อหน่าย
เฮ่อหลันเฟิงไม่ยอมเอ่ยปาก จิ้นเยวี่ยเลยได้แต่ต้องเค้นสมองคิดหาหัวข้อสนทนามาผูกไมตรีกับเด็กหนุ่มชาวเป่ยหรงผู้นี้ “เจ้าเคยไปต้าอวี่หรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิง “ข้าไม่ชอบต้าอวี่”
จิ้นเยวี่ยอยากมองตาเฮ่อหลันเฟิง ทว่าไม่กล้ามองอย่างโจ่งแจ้งนัก ฝืนสนทนากับเขาเพื่อหาเรื่องชวนคุย “เพราะเหตุใดเล่า”
เฮ่อหลันเฟิงไม่สนใจเขา เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ ออกจากกระโจม หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็นำห่อผ้าขนาดเท่ากำปั้นกลับมายัดใส่อกจิ้นเยวี่ย
จิ้นเยวี่ยใจเต้น ในท้องว่างเปล่า
เขาได้กลิ่นเนื้อ!
“ชาวเป่ยหรงไม่ติดค้างชาวต้าอวี่ นี่คือเนื้อตากแห้งบ้านข้า กินเสีย”
จิ้นเยวี่ยหิวจริงๆ เนื้อตากแห้งสดใหม่อร่อยเนื้อแน่น แม้จะเคี้ยวจนปวดแก้มก็ยังคงกินอย่างแสนเบิกบาน เขาคลี่ยิ้มให้เฮ่อหลันเฟิงซึ่งรีบเบนสายตาหลบ
จิ้นเยวี่ยกินไปถามไป “เจ้าไม่ชอบชาวต้าอวี่?”
เฮ่อหลันเฟิงตอบ “ข้าเป็นชาวเป่ยหรง ชาวเป่ยหรงย่อมไม่ชอบชาวต้าอวี่”
ปากจิ้นเยวี่ยไม่หยุดเคี้ยว “แต่เจ้าเพิ่งจะกินลูกกวาดสิงโตของชาวต้าอวี่”
เฮ่อหลันเฟิง “…!”
จิ้นเยวี่ยเห็นสีหน้าเขาก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ เมื่อไป๋หนีเลิกกระโจมเดินเข้ามาก็นิ่งงันไปเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
แม่ทัพหู่กับนางจัดเตรียมกระโจมที่พักของจิ้นเยวี่ยเรียบร้อยแล้ว เขาเลยจำต้องบอกลาเฮ่อหลันเฟิง ไป๋หนีถามเขาว่าหาสหายได้แล้วหรือไม่ เด็กหนุ่มครุ่นคิดหลายตลบจึงถามกลับ “นับด้วยหรือ”
ครู่เดียวเขาก็เอ่ยอีกว่า “พวกเราแค่พักอยู่ที่เยี่ยไถช่วงหนึ่งมิใช่หรือ สุดท้ายก็ต้องไปเป่ยตู จะหาสหายได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ”
เรื่องแปลกก็คือการหยุดพักนี้กลับหยุดถึงเจ็ดแปดวัน
หิมะตกหนักผ่านไปแล้ว ท้องนภาเป็นสีฟ้าคราม ไป๋หนีไปสอบถามแม่ทัพหู่หลายครั้ง แม่ทัพหู่เพียงบอกว่าหิมะสะสมปิดเส้นทาง ทำให้เดินทางยากลำบาก ยังต้องรออีกหลายวัน
ไป๋หนีค่อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติ ทหารต้าอวี่ผู้อารักขาอยู่ในกระโจมของจิ้นเยวี่ยยิ่งตึงเครียด คนเข้าออกล้วนตรวจสอบอย่างเข้มงวด จิ้นเยวี่ยยิ่งไม่อยู่ห่างจากสายตาไป๋หนีแม้แต่ครึ่งก้าว
ที่ราบฉือวั่งหยวนคือทุ่งหญ้าทางตอนใต้สุดของเป่ยหรง ถูกขนาบอยู่ระหว่างเทือกเขาสองลูกคือเทือกเขาคู่ตู๋หลินกับเทือกเขาอิงหลง สภาพอากาศไม่นับว่าหนาวเหน็บนัก ช่วงสิ้นปีแม่น้ำลำธารแข็งตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา ทว่าใต้ชั้นน้ำแข็งก็ยังคงมีสายน้ำไหลพร้อมกับปลาแหวกว่าย
หลังหิมะหยุดตก เด็กหนุ่มในเยี่ยไถไม่มีสิ่งใดให้ทำก็มักจะขี่ม้าไปยังที่ราบฉือวั่งหยวน ไม่ล่ากระต่าย ก็ตีคลี หรือตกปลาในแม่น้ำน้ำแข็งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
เฮ่อหลันเฟิงไม่สามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้ หนึ่งเพราะเด็กหนุ่มมีความบาดหมางมากมายกับคนพวกนั้น สองเพราะเขาไม่มีม้า
บิดาเขาเป็นชาวเผ่าเกาซิน ร่อนเร่พเนจรจากอีกด้านของเทือกเขาคู่ตู๋หลินมายังเยี่ยไถ ระหว่างทางได้พบและพานักดนตรีสาวตาบอดชาวต้าอวี่นางหนึ่งร่วมทางมาด้วย แม้นักดนตรีสาวตามืดบอด ทว่าสันทัดการขับร้องเพลงยิ่ง ชาวเกาซินชำนาญการดักจับล่าสัตว์ ทั้งสองหยุดอยู่ที่เยี่ยไถยี่สิบกว่าปี หลังล่วงลับไปก็เหลือบุตรไว้สามคน แพะผอมแห้งฝูงหนึ่ง รวมทั้งบ้านซึ่งมีผนังสี่ด้าน
พี่ชายคนโตของเฮ่อหลันเฟิงปรารถนาจะเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ยังเล็ก ทว่าผู้เข้าร่วมกองทัพเป่ยหรงต้องเตรียมม้ามาเอง เนื่องจากไม่มีม้าสำหรับขี่ เขาจึงไม่ถูกรับเลือกหลายครั้งหลายหน
เฮ่อหลันเฟิงกับพี่ชายคนโตล้วนถึงวัยที่สามารถพูดเรื่องแต่งงานได้แล้ว ทว่าด้วยบ้านยากจนข้นแค้นจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว อีกทั้งทั้งสองยังมีดวงตาหมาป่า สตรีดีๆ ของเยี่ยไถจึงล้วนไม่กล้ามาพบหน้า แม่ทัพหู่คิดจะเป็นพ่อสื่อให้พี่ชายคนโต พอเอ่ยชื่อผู้อื่นก็รีบกล่าวฉีกหน้าทันทีว่า ‘รู้ๆ ครอบครัวที่ไม่มีกระทั่งม้าสักตัวครอบครัวนั้น’
เฮ่อหลันเฟิงไม่มีวันบอกเรื่องราวเหล่านี้กับจิ้นเยวี่ย แม้เขาจะเตร็ดเตร่อยู่รอบกระโจมของเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่บ่อยครั้ง ทว่าก็พูดคุยกับจิ้นเยวี่ยน้อยมาก
กระนั้นจิ้นเยวี่ยกลับคุยเล่นกับจั๋วจั๋วน้องสาวอายุเจ็ดแปดขวบของเขาอย่างมีความสุข
จั๋วจั๋วเคยชิมลูกกวาดสิงโตที่เฮ่อหลันเฟิงนำกลับบ้าน นางตัดใจกินจนหมดไม่ลง เวลาอยากกินก็จะหยิบออกมาเลียทีหนึ่ง จิ้นเยวี่ยเห็นแล้วปวดใจจึงมอบสาลี่ตากแห้งให้นางกำใหญ่ ด้วยเหตุนี้จั๋วจั๋วจึงรักบ้านรวมถึงอีกาบนบ้าน* วิ่งแจ้นมาพูดคุยกับเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่ทุกวัน นางอายุยังน้อย ปากไม่มีหูรูด สะดวกให้จิ้นเยวี่ยสอบถามเรื่องราวเป็นอย่างยิ่ง
“ในบ้านพวกเรา ข้าสำคัญที่สุด” จั๋วจั๋วกินสาลี่ตากแห้งพลางเล่าไปด้วย “ถัดมาคือแพะ ถัดมาคือพี่ใหญ่ สุดท้ายถึงจะเป็นพี่รอง…”
เฮ่อหลันเฟิงปิดปากจั๋วจั๋ว
“ข้าไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เจ้าเลย” จิ้นเยวี่ยพูด
“แม่ทัพหู่ให้ม้าเขาหนึ่งตัว เขาไปรบแล้ว!” จั๋วจั๋วดิ้นหลุดจากการปิดปากของเฮ่อหลันเฟิง ตอบเสียงดัง
จิ้นเยวี่ยตะลึงไปเล็กน้อย
ต้าอวี่กับเป่ยหรงสู้รบกันมาหลายสิบปี เนื่องจากเจ๋อเวิง เป่ยหรงเทียนจวินผู้สืบทอดตำแหน่งองค์ใหม่ยุ่งอยู่กับการปราบปรามความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่างๆ ชายแดนระหว่างสองแคว้นจึงอยู่ในสภาวะสงบศึกชั่วคราว ก่อนหน้านี้ไม่นานเป่ยหรงกับต้าอวี่ได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรที่เมืองผิงโจว ต้าอวี่ตัดเมืองสามแห่งให้เป่ยหรง ทุกปีจะมอบผ้าไหมสิบหมื่นเพื่อแลกเปลี่ยนกับเครื่องมือเหล็กและวิชาหลอมเหล็กจากเป่ยหรง อีกทั้งเพื่อแสดงความจริงใจ ต้าอวี่ยังได้ส่งองค์ประกันมายังเป่ยหรง
หมายความว่าเป่ยหรงกับจินเชียงเปิดศึกกันเช่นนั้นหรือ แต่จินเชียงกำลังคุมเชิงกับต้าอวี่อยู่ไม่ไกลด่านไป๋เชวี่ย น่าจะแบ่งความสนใจมารับมือกับเป่ยหรงไม่ได้
จิ้นเยวี่ยนำเรื่องนี้ไปบอกไป๋หนี หญิงสาวสีหน้าเป็นกังวลทว่ากลับไม่อธิบาย
“ต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันแน่ พวกเราถึงได้ถูกกักอยู่ที่นี่” ขุนนางหลายคนผู้ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเองโวยวายไม่หยุดอยู่ในกระโจมชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้า
ไป๋หนีกำชับจิ้นเยวี่ย “สหายชาวเป่ยหรงผู้นั้นของเจ้า หากไม่จำเป็น พยายามอย่าเข้าใกล้”
จิ้นเยวี่ยอธิบาย “เฮ่อหลันเฟิงไม่ชอบชาวต้าอวี่ และก็ไม่คิดจะเป็นสหายกับข้า”
“เช่นนั้นหรือ” ไป๋หนีจัดเสื้อผ้าให้เขา คลี่ยิ้มบอก “แต่เขามาหาเจ้าทุกวัน”
อีกด้านหนึ่งของค่าย เฮ่อหลันเฟิงกับจั๋วจั๋วมองเห็นอาชาเป่ยหรงสีดำคุ้นตาตัวหนึ่งตรงประตูกระโจมที่พักตน
จั๋วจั๋วเลิกม่านกระโจม “พี่ใหญ่!”
เฮ่อหลันจินอิงกำลังถอดชุดเกราะ ครู่เดียวก็ถูกจั๋วจั๋วโผเข้าใส่เต็มรัก เขาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กางมือกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“เหตุใดท่านกลับมาแล้วล่ะ! รบจบแล้วหรือ!” เฮ่อหลันเฟิงคว้าคอเสื้อเขาพลางกวาดมองซ้ายขวา “บาดเจ็บหรือไม่ สร้างความดีความชอบแล้วหรือไม่…เหตุใดท่านจึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า”
ตอนเฮ่อหลันจินอิงจากบ้านไปร่วมรบเขาเป็นเพียงทหารธรรมดานายหนึ่งของกองทัพเป่ยหรง ไม่เจอกันหลายเดือน กลับสวมเกราะเหล็กสีเงินของนายกองเสียแล้ว
เฮ่อหลันจินอิงคลี่ยิ้มขยี้ผมเฮ่อหลันเฟิง “รบใกล้จบแล้ว ข้าล่วงหน้ากลับมาก่อน เพราะมีธุระบางอย่างต้องจัดการ”
เฮ่อหลันเฟิงตอบสนองว่องไวยิ่ง “เกี่ยวกับองค์ประกันต้าอวี่?”
* ต้าหวัง หมายถึงฮ่องเต้ หรือผู้มีความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง
** เทียนจวิน คือตำแหน่งจอมเทพผู้ปกครองสวรรค์ ในที่นี้หมายถึงฮ่องเต้ของเป่ยหรง
* เตาน้ำร้อน คือเครื่องใช้สำหรับให้ความอบอุ่น มักทำจากสำริด ดีบุก กระเบื้อง มีทรงกลมแบน ปากเล็ก ปิดด้วยฝาเกลียว เทน้ำร้อนใส่ไว้ด้านในสำหรับอุ่นมือ อุ่นเท้าหรืออุ่นเตียง
** เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที
* แม่ทัพจงเจา หมายถึงแม่ทัพผู้ภักดี
* ฟูเหริน หรือฮูหยิน หมายถึงภรรยาเอก
** อิงเถา หมายถึงเชอร์รี่
*** ชวนจง หมายถึงพื้นที่ราบลุ่มตอนกลางของเสฉวน
**** เซ่อลี่หลางจวิน หมายถึงตำแหน่งผู้ส่งสารในสมัยราชวงศ์ซ่ง
*ผิงโจว ตั้งอยู่ในเขตหลิงหลิง เมืองหย่งโจว มณฑลหูหนาน เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำเซียวและแม่น้ำเซียง
*ดอกซานฉา หมายถึงดอกแต้ฮวย หรือดอกชากุหลาบแดง เป็นไม้พุ่มมีดอก ดอกมีสีแดง ชมพู และสีขาว
**ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับ 1 ชั่วโมง
***ครึ่งถ้วยชา เป็นหน่วยนับเวลาของจีน หนึ่งถ้วยชาเท่ากับประมาณ 15 นาที
*ขนมก่วงหาน หรือเรียกอีกอย่างว่าขนมดอกกุ้ย เป็นขนมอบชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง งา น้ำผึ้ง และน้ำตาลดอกกุ้ยหรือดอกหอมหมื่นลี้
* รักบ้านรวมถึงอีกาบนบ้าน หมายถึงเมื่อรักใครแล้ว ต้องรักสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 ต.ค. 65