everY
ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 ข่าวร้าย
จิ้นเยวี่ยหลับไปได้ไม่นานก็ถูกไป๋หนีปลุก นางรีบสวมเกราะให้เด็กหนุ่ม ทั้งยังให้เขาสวมเสื้อคลุม
มีคนเข้ามาใกล้ประตูกระโจม ฝีเท้ามั่นคงทรงพลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำ “เฮ่อหลันจินอิงนายกองเป่ยหรง ขอเข้าพบองค์ประกัน”
ผู้มาสูงแปดฉื่อ* ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มหวีรวบไว้ตรงท้ายทอย นัยน์ตาดุดัน ดวงตาทั้งคู่เป็นนัยน์ตาหมาป่าสีดำเหลือบเขียวเหมือนกับเฮ่อหลันเฟิง
เฮ่อหลันจินอิงพิจารณาจิ้นเยวี่ยโดยละเอียด เด็กหนุ่มเบื้องหน้ายืนสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หลังตั้งตรง ในสีหน้าสงบเยือกเย็นมีความตึงเครียดหลายส่วน แม้อายุเพียงสิบกว่าปีกลับไม่เห็นความขี้ขลาดตาขาวแม้แต่น้อย
จิ้นเยวี่ยไม่เคยเข้าร่วมในสนามรบ ทว่ากลับมีจิตวิญญาณซึ่งซ่อนเร้นความน่าเกรงขามเอาไว้
เฮ่อหลันจินอิงย้ายสายตาไปไว้ที่ผนังกระโจมด้านหลังจิ้นเยวี่ยกับไป๋หนี เขาไม่อยากจ้องมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้ายามเอ่ยคำพูดเหล่านี้
“แม่ทัพจิ้นหมิงจ้าว พ่ายแพ้สิ้นชีพในการรบที่ด่านไป๋เชวี่ยเมื่อครึ่งเดือนก่อน”
ชายหนุ่มพูดจบรวดเดียว หยุดครู่หนึ่งแล้วค่อยก้มหน้ามองจิ้นเยวี่ย
ท่าทีจิ้นเยวี่ยไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์ของเขาเลยสักนิด เด็กหนุ่มมีสายตานิ่งงัน คล้ายฟังไม่เข้าใจ
เฮ่อหลันจินอิงต้องทวนซ้ำอีกครั้ง จิ้นเยวี่ยจึงอ้าปากถาม “ทหารม้าคะนองเมฆาเล่า”
ทหารม้าคะนองเมฆาคือกองทหารม้าของกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นพลทหารชั้นเยี่ยมซึ่งผู้บัญชาการจิ้นหมิงจ้าวเป็นผู้ฝึกฝนมากับมือ ชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกร แทบจะถูกมองเป็นร่างจำแลงของจิ้นหมิงจ้าว สามีของไป๋หนีเป็นนายกองซึ่งหนุ่มที่สุดของทหารม้าคะนองเมฆา ในกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือต่อต้านจินเชียงครั้งนี้ เขาเองก็อยู่ในสนามรบด้วย
เฮ่อหลันจินอิงตอบ “ทหารม้าคะนองเมฆาพินาศย่อยยับทั้งกองทัพ”
ไป๋หนีซวนเซทันที
จิ้นเยวี่ยขอบตาแดงเรื่อ นิ้วมือทั้งสิบบีบแน่นในแขนเสื้อ เด็กหนุ่มควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทา เขาอยากเอ่ยปาก มารยาทซึ่งร่ำเรียนมาตั้งแต่ยังเล็กบอกเขาว่าจะเสียมารยาทต่อหน้าเฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ เขาควรกล่าวขอบคุณ ควรขอบคุณที่เฮ่อหลันจินอิงนำข่าวร้ายมาบอกพวกเขาอย่างสงบนิ่งเช่นนี้
ทว่าเขากลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว จิ้นเยวี่ยกัดริมฝีปากล่างแน่น รสคาวของโลหิตเอ่อล้นอยู่ระหว่างฟัน
จนกระทั่งเฮ่อหลันจินอิงจากไป เด็กหนุ่มถึงค่อยทรุดลงคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง ไป๋หนีรีบเข้ามาประคองไหล่เขา
จิ้นเยวี่ยกำพรมหนังใต้เท้าแน่น กระดูกหลังมือปูดโปนออกมาเป็นรอยช้ำสีน้ำเงิน เขาไม่กล้าร้องไห้ ไม่กล้าเอ่ยถาม ทว่าสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจล้วนเป็นความฉงนสงสัย
“ไม่มีทาง ท่านพ่อกับทหารม้าคะนองเมฆา ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้…” ท่ามกลางความมึนงงเขายังคิดจะปลอบโยนไป๋หนี ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าหญิงสาว อารมณ์ต่างๆ พลันพังทลาย เด็กหนุ่มโผเข้าใส่อ้อมอกไป๋หนี กอดนางแน่น ในที่สุดก็เปล่งเสียงสะอื้นออกมา
ข่าวร้ายเรื่องจิ้นหมิงจ้าวกับทหารม้าคะนองเมฆานั้นประหนึ่งค้อนยักษ์ หลังจิ้นเยวี่ยร้องไห้ฟูมฟายก็รู้สึกเพียงในใจปวดร้าวรุนแรง สติเลื่อนลอย กระทั่งหายใจก็กลายเป็นเรื่องยากลำบาก
ครั้นระลึกได้ว่าตัวยังอยู่ต่างแคว้น ไป๋หนีก็ฝืนเรียกแรงใจ กำชับให้ทหารต้าอวี่กับขุนนางที่ติดตามมาเพิ่มความตื่นตัว ต้องเฝ้าม้ากับขบวนรถอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น
จิ้นเยวี่ยไม่อาจข่มตาหลับ ไม่กี่วันก็ผ่ายผอมลงไปอีก บนเส้นทางนี้เขากินกลางลมนอนกลางแจ้ง บัดนี้จิตใจยิ่งซึมเศร้า บางครั้งยามจมสู่ห้วงฝัน ก็มักเห็นเศษซากกำแพงหักพังบนสนามรบที่ถูกปกคลุมไปด้วยควันดำลอยคละคลุ้ง ในสายตาเต็มไปด้วยเลือด
แม้เขาจะดูเหมือนปกติทุกอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ยังล้มป่วย เด็กหนุ่มจับไข้จนตัวร้อนผ่าว สลบไสลไม่ได้สติ
เมื่อตื่นมาคืนนี้ในกระโจมเงียบสงัด จิ้นเยวี่ยได้ยินเสียงสายลมด้านนอก เขาลุกขึ้นร้องเรียกไป๋หนี
ไม่มีผู้ขานรับ จิ้นเยวี่ยปากคอแห้งผาก ลำคอเจ็บแสบรุนแรง เขาจิบน้ำไปเล็กน้อย ครั้นหันหน้ากลับมาก็มองเห็นเสื้อคลุมขนจิ้งจอกซึ่งวางพับไว้เรียบร้อยอยู่ข้างหมอน
เป็นเสื้อคลุมซึ่งเขามอบให้เฮ่อหลันเฟิงวันนั้น
ชั้นผ้าด้านในของเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมีรอยเลือดจางๆ ซึ่งไม่สามารถซักให้สะอาดได้ จิ้นเยวี่ยสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนร่าง จดจำไม่ได้ว่าเฮ่อหลันเฟิงมาเยี่ยมตนเมื่อใด เขาเดินออกนอกกระโจมสักหลาด ฉับพลันนั้นก็บังเกิดความหวาดกลัวจับใจ
“…ไป๋หนี?!”
ยังไร้ซึ่งการขานตอบ
เขาอกสั่นขวัญหาย ทหารต้าอวี่ซึ่งเฝ้าอยู่รอบกระโจมสักหลาดเมื่อวันก่อนหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา รอบกระโจมที่พักเงียบกริบจนน่าหวาดหวั่น มองไม่เห็นทหารเยี่ยไถที่คอยลาดตระเวนประจำวันสักราย
จิ้นเยวี่ยรีบวิ่งไปทางตำแหน่งที่ขบวนรถอยู่ ความหวาดกลัวนั้นแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋หนีหายไปแล้ว ทหารต้าอวี่ทุกนายก็หายไปด้วย กระทั่งขบวนรถของต้าอวี่ก็หายไปจากที่เดิม อย่างไร้ร่องรอย!
ทันใดนั้นจิ้นเยวี่ยก็ใจเย็นลง เรื่องราวผิดปกติเกินไปย่อมมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เด็กหนุ่มหยิกหน้าตัวเองอย่างแรง ความเจ็บเตือนสติเขาว่านี่หาใช่ความฝัน
ลมพัดรุนแรง ดวงดาวซึ่งอยู่ห่างไกลแขวนเต็มผืนฟ้าเหนือยอดกระโจม แสงสะท้อนจากหิมะบนที่ราบฉือวั่งหยวนเรืองรองกระจ่างตา จิ้นเยวี่ยถูกลมพัดจนซวนเซ ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงที่จอดขบวนรถเนิ่นนาน
เมื่อเดินกลับมายังกระโจมสักหลาด เฮ่อหลันจินอิงรออยู่ด้านในเรียบร้อย สถานการณ์ต่างไปจากครั้งก่อน หนนี้ชายหนุ่มนั่ง ส่วนจิ้นเยวี่ยยืน อีกทั้งเขายังไม่มีความคิดจะลุกขึ้นแม้แต่น้อย
“ไป๋หนีพาขบวนรถต้าอวี่ไปแล้ว” เฮ่อหลันจินอิงบอก “แม่ทัพน้อย นางไม่ต้องการเจ้าแล้ว”
จิ้นเยวี่ยไม่กล่าววาจา เดินไปยังกล่องไม้วางเอกสาร กระบี่เล่มหนึ่งกดลงบนหลังมือเขา เฮ่อหลันจินอิงกล่าวเสียงเบา “ไม่ต้องหา นางไปแล้วจริงๆ กระทั่งทรัพย์สินกับเอกสารทั้งหมดของพวกเจ้าก็นำไปด้วย”
“ไม่มีทาง” น้ำเสียงจิ้นเยวี่ยสั่นเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ขลาดกลัวแม้แต่น้อย “ต่อให้ตาย ไป๋หนีก็ไม่มีวันไปจากข้า”
เฮ่อหลันจินอิง “เหตุใดจึงมั่นใจเช่นนี้”
“นางเป็นคนของทหารม้าคะนองเมฆา เป็นแม่ทัพหญิงคนแรกของต้าอวี่” จิ้นเยวี่ยมองไปทางเฮ่อหลันจินอิง ชายหนุ่มเบื้องหน้ามีนัยน์ตาหมาป่าซึ่งในสีดำสนิทเจือด้วยสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับเฮ่อหลันเฟิง “การปกป้องข้า ส่งข้าไปยังเป่ยตู คือคำสั่งทหารที่ไป๋หนีได้รับ นางไม่มีทางฝ่าฝืนคำสั่งทหาร”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงยิ่งดังขึ้น “อีกอย่างไป๋หนีก็เหมือนคนในครอบครัวของข้า! หากเฮ่อหลันเฟิงประสบภยันตราย ท่านจะทิ้งเขาไว้แล้วหนีไปไกลหรือ”
เฮ่อหลันจินอิงถามกลับ “หากคำสั่งทหารที่นางได้รับหาใช่การคุ้มกันเจ้าเล่า”
จิ้นเยวี่ยนิ่งอึ้งอย่างห้ามไม่อยู่
“หากฮ่องเต้ต้าอวี่เพียงให้นางมาส่งเจ้าที่เยี่ยไถ แค่ให้นางแน่ใจว่าเจ้าได้อยู่ในเงื้อมมือแม่ทัพเป่ยหรงของข้าอย่างราบรื่นเล่า” เฮ่อหลันจินอิงหัวเราะแผ่วเบา “องค์ประกัน เจ้าคือองค์ประกัน ต้าอวี่มีองค์ชายมากมายปานนั้น เหตุใดเป่ยหรงเทียนจวินกลับไม่ต้องการผู้ใด ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น เจ้าเป็นเพียงบุตรชายของจิ้นหมิงจ้าว มีคุณสมบัติใดถึงได้เป็นองค์ประกันจากต้าอวี่มายังเป่ยหรง”
จิ้นเยวี่ยหวั่นไหวอยู่ในใจ ไม่เอ่ยคำอยู่นาน คำถามที่เฮ่อหลันจินอิงเอ่ยถาม ก็คือจุดที่ในใจเขาสับสนไม่เข้าใจ
ยามเมื่อมีข่าวต้าอวี่เลือกเขาเป็นองค์ประกันถูกส่งมานั้นบิดามิได้อยู่เหลียงจิง มารดาสับสนหวาดกลัว กลุ่มราชองครักษ์พาจิ้นเยวี่ยเข้าวังอย่างรีบร้อน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
ระยะเวลาที่พักอยู่ในวัง ผู้คนซึ่งเคยปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนมในวันวาน เขากลับไม่ได้พบแม้แต่คนเดียว
อีกทั้งตั้งแต่เข้าวังจนถึงออกจากเขตแดนระยะเวลาก็แค่สิบวัน เร็วเหลือเกิน เขาแทบจะถูกคนบังคับให้เข้ามาในเป่ยหรงซึ่งปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง ไม่ได้บอกลามารดาให้ดีเสียด้วยซ้ำ อาภรณ์ป้องกันความหนาวกับของที่เขาชอบกินและใช้เป็นประจำ ทุกอย่างล้วนเป็นไป๋หนีนำติดมา
คิดถึงมารดาในใจจิ้นเยวี่ยก็ปวดร้าวประหนึ่งหายใจไม่ออกอีกครั้ง บิดารู้ว่าเขาถูกเลือกเป็นองค์ประกันส่งมาเป่ยหรงหรือไม่ บิดาเสียชีวิตจากการรบจริงหรือ ทหารม้าคะนองเมฆาพินาศย่อยยับทั้งกองทัพเป็นความจริงหรือ มารดาเล่า มารดาจะทำเช่นไร แม้นางจะเป็นองค์หญิงในรัชสมัยก่อน ทว่าก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้ยินไป๋หนีบอกว่าวันนั้นเพื่อขอร้องฝ่าบาทให้ปล่อยเขาไป มารดาถึงกับเคยคุกเข่าอยู่นอกตำหนักฉือเซวียนของไทเฮาสองวันสองคืน กระนั้นเขาก็ยังคงถูกผลักขึ้นขบวนรถมุ่งหน้ามายังเป่ยหรง
“ศพของบิดาเจ้า ข้าเป็นคนนำใส่โลง” เฮ่อหลันจินอิงพลันพูดขึ้นมา
จิ้นเยวี่ยจ้องเขาเขม็ง ในนัยน์ตาราวกับไข่มุกสีนิลสว่างไสวคู่นั้นค่อยๆ รื้นด้วยน้ำตา ขอบตาแดงก่ำคล้ายซึมด้วยโลหิต
ณ เวลานี้ ท่ามกลางความสับสนยุ่งเหยิง จิ้นเยวี่ยคว้าจับปลายเชือกเส้นหนึ่งไว้แน่น
“ท่านเป็นแม่ทัพเป่ยหรง!” เขาถามเสียงเข้ม “แม่ทัพเป่ยหรงเหตุใดจึงไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่รบราระหว่างจินเชียงกับต้าอวี่!”
เฮ่อหลันจินอิงลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม สายตายามก้มศีรษะลงต่ำนั้นคมกริบ ทั้งยังแฝงแววเย้ยหยันหลายส่วน “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
จิ้นเยวี่ยวิงเวียนตาลาย เขายังคงจับไข้สูง ไป๋หนีไม่อยู่ข้างกาย สติที่เหลืออยู่ทำให้เด็กหนุ่มพอจะฝืนยันตัวเองไว้ได้โดยไม่กล้าล้มลง
แม่ทัพจงเจาจิ้นหมิงจ้าวเป็นหอกซึ่งแหลมคมที่สุดของต้าอวี่ เป่ยหรงหวาดกลัวเขา จินเชียงหวั่นเกรงเขา ฮ่องเต้ต้าอวี่องค์ปัจจุบัน…ก็หวั่นกลัวเขาเช่นกัน
แผนการร้ายปิดล้อมจิ้นหมิงจ้าวกับทหารม้าคะนองเมฆา!
“เทียนจวินทรงมีพระเมตตา พระองค์ไม่สังหารเจ้า” เฮ่อหลันจินอิงเลิกม่านสักหลาด ไม่ได้หันกลับมา “หากชาวต้าอวี่รู้ว่าบุตรชายของแม่ทัพจงเจาต้องเป็นทาสของชาวเป่ยหรงจะคิดเช่นไรกัน”
เพิ่งขาดคำ ด้านหลังก็มีเสียงดังตุบ จิ้นเยวี่ยหมดสติล้มลงพื้นไปเสียแล้ว
อาการไข้ขึ้นสูงทำให้จิ้นเยวี่ยงุนงง เขาแทบจะหลบซ่อนอยู่ในความฝันอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ประเดี๋ยวก็เป็นตรอกของเหลียงจิง ประเดี๋ยวก็เป็นความอนธการไร้ขอบเขต เขาร้องเรียกไป๋หนีครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงเหยี่ยวซึ่งเบิกดวงตาสีเลือดออกกว้างบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ ปราศจากคนขานตอบ
มือเล็กแสนอบอุ่นคู่หนึ่งลูบหน้าผากจิ้นเยวี่ยแล้วพูดภาษาเป่ยหรงที่เขาฟังไม่เข้าใจอย่างหวาดกลัว ยัดสาลี่ตากแห้งใส่ปากเขา จากนั้นก็ถูกคนหยิบออกอย่างรีบร้อน
เมฆดำทะมึนปกคลุมแน่นขนัดเหนือด่านไป๋เชวี่ย หิมะตกหนักมืดฟ้ามัวดิน ซากศพของทหารม้าคะนองเมฆากลาดเกลื่อนผืนดิน จิ้นเยวี่ยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งซากศพ แผดเสียงตะโกนชื่อทหารม้าคะนองเมฆาทุกนายที่เขาจำได้
เขามองเห็นไป๋หนีขี่ม้าของนางไกลออกไปเรื่อยๆ จนเขาไล่ตามไม่ทัน
หน้าอกรู้สึกเจ็บปวด ลมหายใจถี่กระชั้น ยามลืมตาตื่นขึ้นมาจิ้นเยวี่ยก็ค้นพบว่าตนเองนอนอยู่ในกระโจมสักหลาดไม่คุ้นตา ในปากล้วนเป็นรสยาขมฝาด ข้างหมอนมีกระดาษน้ำมันหนึ่งแผ่นที่มีลูกกวาดสิงโตครึ่งชิ้นกับสาลี่ตากแห้งไม่กี่ชิ้นวางไว้
ภายในกระโจมสักหลาดไม่กว้างนัก เครื่องเรือนรกระเกะระกะ ทั้งยังมีกลิ่นประหลาดเข้มข้นผสมผสานระหว่างชาน้ำมัน* กับมูลแพะ จิ้นเยวี่ยรู้ว่านี่คือกระโจมสักหลาดของเฮ่อหลันเฟิง เขาหยัดร่างลงจากเตียง คลุมกายด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเดินออกไป
ผู้คนที่อาศัยในเยี่ยไถมีไม่มาก อีกทั้งค่ายก็ไม่ใหญ่นัก กระโจมของเฮ่อหลันเฟิงอยู่บริเวณชายขอบของเยี่ยไถ เวลานี้ในค่ายมีทหารกลุ่มละสองสามนายเดินลาดตระเวนแต่ไม่ได้ใส่ใจเขามากนัก จิ้นเยวี่ยนั่งยองๆ คลานไปข้างหน้าระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปทางที่ราบฉือวั่งหยวน
ขณะนี้ในกระโจมทหารของแม่ทัพหู่ เฮ่อหลันจินอิงเพิ่งจะชงชาน้ำมันให้ตนเองหนึ่งถ้วย
“ตอนเจ้าไปเป็นแค่ทหารธรรมดา กลับมาก็เป็นนายกองเสียแล้ว” แม่ทัพหู่ไม่พูดภาษาทางการอ้อมค้อมกับเขา กินไปถามไป “ตกลงสร้างความดีความชอบใดกันแน่”
เฮ่อหลันจินอิงไม่ตอบ
“จินเชียงสู้รบกับต้าอวี่ เหตุใดเป่ยหรงอย่างเราต้องวิ่งไปผสมโรงกับคนใฝ่ต่ำที่ด่านไป๋เชวี่ยซึ่งอยู่ห่างไกลพันหลี่* ด้วยเล่า” แม่ทัพหู่ถามขึ้นอีก “ได้ยินว่าคนส่งข่าวทหารคือเจ้า? ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้น”
เฮ่อหลันจินอิงส่ายศีรษะ เพียงยิ้มอย่างเดียว
“เจ้าช่างเป็นกาทองแดงที่ง้างปากไม่ออกเสียจริง…จริงสิ ในเมื่อเป็นนายกองแล้ว เช่นนั้นก็อย่าอยู่กระโจมสักหลาดโทรมๆ หลังนั้นเลย ข้าจะจัดกระโจมใหม่กับทาสรับใช้ให้เจ้า” แม่ทัพหู่ชินกับความเงียบขรึมของเขาแล้ว “พวกเจ้าพี่ชายน้องสาวสามคนไม่มีทาสไม่ได้ ข้าจะแบ่งให้เจ้าสักสองสามคน”
“ไม่จำเป็น” เฮ่อหลันจินอิงเปิดปากในที่สุด “พวกเรามีทาส”
แม่ทัพหู่ตกใจ “มาจากที่ใด ลงทะเบียนฐานะแล้วหรือ”
“ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน” เฮ่อหลันจินอิงฉีกขาแกะ กินไปยิ้มไป “เป็นเชลยต้าอวี่ผู้นั้น”
แม่ทัพหู่เห็นเขากินอย่างเปรมปรีดิ์ ลังเลอยู่นานถึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าตอนแรกเทียนจวินมีพระราชประสงค์จะสังหารองค์ประกันต้าอวี่ผู้นั้น แต่ต่อมาไม่รู้กระซิบตรัสบอกสิ่งใดกับเจ้ากันแน่ถึงได้เปลี่ยนพระดำริ ไว้ชีวิตเขาให้เป็นทาสของเป่ยหรง”
เฮ่อหลันจินอิงเพียงตอบว่า “อืม”
แม่ทัพหู่มองเขาอย่างใคร่รู้
เฮ่อหลันจินอิงถามขึ้น “ไฉนท่านไม่กิน ขาแกะนี่อร่อยมากนะ”
แม่ทัพหู่โกรธจนเงื้อกระดูกแกะในมือหมายตีคน “เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาให้ไวหน่อยไม่ได้หรืออย่างไรเล่า”
“ในเมื่อข้าไม่พูด นั่นก็เพราะเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้” เฮ่อหลันจินอิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เทียนจวินพระราชทานเด็กคนนี้ให้ข้า ย่อมต้องมีพระราชประสงค์บางอย่างแน่”
แม่ทัพหู่ยังไม่สบายใจ “แต่พวกเราควรจัดการเช่นไร เมื่อก่อนเขาเป็นองค์ประกัน พวกเราเลี้ยงดูให้ดีก็พอแล้ว ยามนี้…”
“ท่านไม่ต้องกลัดกลุ้ม” เฮ่อหลันจินอิงเอ่ย “ย่อมไม่อาจให้เขาอยู่สบายเกินไป แต่ก็ห้ามให้เขาตายเด็ดขาด ข้ารู้อะไรควรไม่ควร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเยี่ยไถ ข้ารับผิดชอบก็พอ”
แม่ทัพหู่มองชายหนุ่ม ยังคงหนักอกหนักใจ เฮ่อหลันจินอิงแต่งกายเรียบง่าย มัดเส้นผมยาวไว้ลวกๆ ตรงท้ายทอย รูปโฉมหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม แม้จะเห็นเขาแต่เล็กจนเติบใหญ่ กระนั้นแม่ทัพหู่ก็ไม่กล้าบอกว่าเข้าใจชายหนุ่มผู้นี้ทั้งหมด
จิตใจเขาหนักอึ้ง เฮ่อหลันจินอิงกลับกินอย่างว่องไว เมื่อจานชามวางกองเกลื่อน ทันใดนั้นก็มีคนมารายงานว่าองค์ประกันหนีไปแล้ว
เฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ลนลาน เขาคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากเช็ดมือ หันไปยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ทัพไม่ต้องกลัว เด็กผู้นั้นเหลือเพียงครึ่งชีวิตหนีไปได้ไม่ไกลหรอก ข้ากำลังรอให้เขาหนี ขอเพียงเขาหนีครั้งนี้ก็จะรู้ว่ากำลังของคนผู้เดียวนั้นไม่มีวันหนีไปจากที่ราบฉือวั่งหยวนได้”
แม่ทัพหู่โกรธจนควันแทบจะพุ่งเหนือศีรษะ “ที่นี่สภาพอากาศหนาวเหน็บ หากตายเล่า! ตายแล้วจะทูลเทียนจวินเช่นไร”
เพิ่งพูดจบ เฮ่อหลันจินอิงก็วิ่งบึ่งออกไปแล้ว
จิ้นเยวี่ยไม่เชื่อคำพูดของเฮ่อหลันจินอิง
เมื่อคืนเขาดูจุดที่ตั้งขบวนรถอยู่นาน ขบวนรถจากไปอีกทางหาใช่ทางกลับต้าอวี่ บนพื้นหิมะมีรอยเหยียบย่ำมากมาย ใต้หิมะบางๆ ยังสามารถคลำเจอหัวลูกธนู ในหิมะมีกลิ่นคาวเลือดซึ่งไม่อาจอำพราง
พวกเขาประสบกับการจู่โจมฉับพลันและพ่ายแพ้ ขบวนรถถูกคนขับไล่ มุ่งหน้าไปที่อื่นแล้ว
แต่ไป๋หนีเล่า จิ้นเยวี่ยหาร่องรอยของหญิงสาวไม่เจอ
เดินไปตามทิศทางที่ขบวนรถจากไปได้ประมาณหนึ่ง จิ้นเยวี่ยก็ไม่อาจฝืนเดินต่อได้ เขาทรุดลงคุกเข่าบนหิมะ ละอองหิมะโปรยปรายลงบนร่าง ไม่ถึงชั่วพริบตาก็ถูกความอุ่นในกายเขาหลอมละลาย ไหลร่วงลงมาเสมือนเหงื่อเม็ดใหญ่
แขนขาเขาอ่อนยวบ ในปอดแสบร้อน ไอโขลกไม่หยุด
เวลานี้ไม่เหมาะจะฝืนหลบหนี แต่ให้อยู่ในเยี่ยไถนานขึ้นหนึ่งเค่อ ความหวาดกลัวของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน เป่ยหรงเทียนจวินไม่ยอมรับฐานะองค์ประกันของเขา บ่งบอกชัดเจนว่าเป่ยหรงตัดสินใจจะทำลายสัญญาพันธมิตรผิงโจว หากสัญญาพันธมิตรถูกทำลาย เป่ยหรงก็สามารถรุกรานต้าอวี่ได้ทุกเมื่อ เขาจะอยู่ที่เป่ยหรงไม่ได้ หนึ่งคือไม่ปลอดภัย สองคือ…มารดากับพี่สาวเขายังอยู่ที่บ้าน เขาจำเป็นต้องกลับไป
ฉับพลันเสียงแส้แหวกอากาศก็ดังมาจากด้านหลัง จิ้นเยวี่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งโซเซไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวแผ่นหลังก็เจ็บปวดรุนแรง ทั้งร่างโผล้มลงจมหิมะ ลุกไม่ขึ้นไปครู่ใหญ่
“จับทาสไว้!” หุนต๋าเอ๋อร์หัวเราะเสียงดัง พร้อมกับเด็กหนุ่มหลายคนขี่ม้าเดินวนเวียนรอบจิ้นเยวี่ยที่นอนกองกับพื้น
บนแผ่นหลังจิ้นเยวี่ยถูกลูกธนูปักอยู่หนึ่งดอก ปวดจนชาไปครึ่งร่าง เขาไม่กล้าขยับส่งเดช ส่วนหิมะก็เข้าปากและจมูก
“ตายแล้วหรือ” หุนต๋าเอ๋อร์ถาม
“ไม่ตาย ยังหายใจอยู่” ตูเจ๋อเครียดเล็กน้อย “นี่องค์ประกันชาวฮั่นมิใช่หรือ ไฉนกลายเป็นทาสเสียแล้วล่ะ”
จิ้นเยวี่ยไม่รู้เอาเรี่ยวแรงจากที่ใด ดิ้นรนยันครึ่งร่างลุกขึ้นมา แผดเสียงคำรามลั่น “ข้าไม่ใช่ทาส!”
“บิดาข้าบอกว่าเจ้าเป็นทาส เจ้าก็คือทาส” หุนต๋าเอ๋อร์หัวเราะ “คลุกคลีอยู่กับเจ้าลูกฮั่นเฮ่อหลันเฟิงก็คงไม่ใช่ตัวดีเด่อะไร”
ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็ดิ้นรนจนลุกขึ้นยืนได้ เขาพยายามยันหัวเข่าไว้ไม่ให้ตนเองล้มลง ตรงหน้าพร่าเลือนเห็นภาพซ้อน มีเพียงแสงตะวันสาดเข้าตากับร่างคนและม้าส่ายไปมา เงาแส้มาพร้อมเสียงหัวเราะ พุ่งตรงใส่หน้าเขา…กระนั้นแส้กลับไม่ได้ถูกตัว
มีคนขวางอยู่ด้านหน้า กำแส้ซึ่งชิงมาจากมือหุนต๋าเอ๋อร์ไว้
หุนต๋าเอ๋อร์ตะกายขึ้นจากพื้น กระทืบเท้าร้องคำราม “เฮ่อหลันเฟิง เจ้ากล้าถีบข้า! นี่คือทาสของเยี่ยไถ! ทั้งยังมิได้ขึ้นกับเจ้านาย ผู้ใดเจอก่อนย่อมเป็นของผู้นั้น!”
เฮ่อหลันเฟิงถือแส้ไว้ด้วยมือเดียว ไม่ถอยแม้เพียงครึ่งก้าว “ห้ามแตะต้องเขา”