everY
ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4 ทาส
ลูกธนูบนหลังจิ้นเยวี่ยยังไม่ได้ถูกดึงออก ทั่วร่างร้อนผ่าว อยากเอ่ยคำพูดทว่ากลับไร้เรี่ยวแรง
เฮ่อหลันเฟิงสะบัดแส้จนเกิดเสียงดังเพียะๆ จิ้นเยวี่ยได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของพวกหุนต๋าเอ๋อร์ เสียงกีบเท้าม้าค่อยๆ ห่างออกไป รอบด้านเงียบเสียงลง
“เดินไหวหรือไม่” เฮ่อหลันเฟิงหันมาประคองเขา
เฮ่อหลันจินอิงขี่ม้าเข้ามา ผิวปากหนึ่งที “ตายแล้ว?”
“รีบพาเขากลับไป” เฮ่อหลันเฟิงกล่าวรัวเร็ว “เขาถูกธนูของหุนต๋าเอ๋อร์ยิงใส่ โชคดีไม่ใช่ศรจินเหอ”
ท่ามกลางความพร่าเลือน จิ้นเยวี่ยรู้เพียงว่าตนเองถูกคนหิ้วขึ้นพาดร่างขวางบนหลังม้า มือเท้าห้อยต่องแต่งไปตามการก้าวเดินของม้า ลูกธนูยังไม่ได้ถอนออก เฮ่อหลันจินอิงยื่นนิ้วไปดีด จิ้นเยวี่ยเจ็บจนตัวสั่นสะท้านโดยพลัน
เฮ่อหลันจินอิงหันหน้ามาบอก “ไม่ต้องกลัว หุนต๋าเอ๋อร์เรี่ยวแรงน้อย ลูกธนูเข้าเนื้อไปแค่ครึ่งชุ่น* กรีดออกก็เรียบร้อย”
เพิ่งขาดคำ จิ้นเยวี่ยก็พลันไถลหล่นจากหลังม้าตกลงพื้นดังตุบ
“เจ้า!” เฮ่อหลันเฟิงประคองจิ้นเยวี่ยที่จวนสิ้นสติขึ้นมา พอสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินไม่ไหวแล้วเขาก็คุกเข่า แบกจิ้นเยวี่ยขึ้นหลัง เมื่อต้องแบกน้ำหนักของสองคน สองเท้าเขาพลันจมลึกลงไปในหิมะ
“ไยจึงต้องดีกับองค์ประกันต้าอวี่ถึงเพียงนี้” เฮ่อหลันจินอิงยิ้มพลางถาม
ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังถึงได้ยินคำพูดเฮ่อหลันเฟิงชัดเจน
“เขาให้ข้ายืมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ทั้งยังให้สาลี่ตากแห้งกับจั๋วจั๋ว”
เฮ่อหลันจินอิงเปล่งเสียงหัวเราะยาว เฮ่อหลันเฟิงไม่สนใจเขาอีก แบกจิ้นเยวี่ยด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ก้าวเดินไปทางค่ายอย่างทุลักทุเล หนึ่งก้าวลึกหนึ่งก้าวตื้น
จิ้นเยวี่ยหลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ หลังไข้ขึ้นสูงเด็กหนุ่มก็อ่อนแอลงมาก ใบหน้าซูบตอบจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม
ลูกธนูถอนออกไปแล้ว อีกทั้งหุนต๋าเอ๋อร์ยังถูกแม่ทัพหู่ดุด่าหนึ่งยก ทั้งยังต้องมาดูแลจิ้นเยวี่ยในกระโจมเฮ่อหลันเฟิงอีกด้วย
แม้ยามปกติหุนต๋าเอ๋อร์ดุร้าย ทว่าก็ไม่เคยฆ่าผู้ใดจริงๆ เด็กหนุ่มจึงคอยตลบผ้าห่มจิ้นเยวี่ยดูว่าเขายังมีลมหายใจหรือไม่อยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่าแลกมาด้วยการถูกเฮ่อหลันเฟิงต่อยจนน่วมหนึ่งยก บางครั้งจิ้นเยวี่ยก็ตกใจตื่นเพราะเสียงโหวกเหวกทะเลาะกันของพวกเขา เมื่อรู้สึกรำคาญก็นอนคว่ำไม่ส่งเสียงอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีไข้ ข้านึกว่าเจ้าจะหลบพ้น” หุนต๋าเอ๋อร์มักจะฉวยโอกาสตอนเฮ่อหลันเฟิงไม่อยู่พูดคุยกับเขาเสมอ “เช่นนั้นเจ้าก็ยิงธนูใส่ข้าหนึ่งที?”
เฮ่อหลันเฟิงก้าวยาวๆ เดินเข้ามา “ข้ายิงเจ้าแทนเขาเอง”
หุนต๋าเอ๋อร์รีบเปลี่ยนหัวข้อ “บ้านข้าสะอาด ทั้งยังไม่มีกลิ่นมูลแพะ ไม่สู้เจ้าไปอยู่บ้านข้า?”
ทว่าหลังถูกเฮ่อหลันเฟิงถลึงตาใส่หลายที หุนต๋าเอ๋อร์ก็หุบปาก
นับแต่ได้รู้ว่าเฮ่อหลันจินอิงเป็นนายกอง ทั้งยังเคยพบเป่ยหรงเทียนจวิน พวกหุนต๋าเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารังแกเฮ่อหลันเฟิงอีก เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้สึกรู้สาใดๆ กับความเปลี่ยนแปลงของพวกเขา หลังไล่หุนต๋าเอ๋อร์ไปก็มักเตือนจิ้นเยวี่ยว่าอย่าสนิทสนมกับหุนต๋าเอ๋อร์มากเกินไป
“หลังจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องหนีแล้ว” ยามจิ้นเยวี่ยป่วยจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เฮ่อหลันเฟิงเป็นฝ่ายทนความเงียบกริบเช่นนี้ไม่ได้ก่อน จึงหาเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกับเขา “ที่ราบฉือวั่งหยวนกว้างใหญ่เกินไป ชาวต้าอวี่ทนความหนาวเย็นไม่ไหว เจ้าคนเดียวเดินไปได้ไม่ไกลหรอก”
จิ้นเยวี่ยหลับตา เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าหูหรือไม่ จึงขยับเข้าไปสำรวจลมหายใจเขา ขนตาเด็กหนุ่มสั่นไหว ปรือตามองเฮ่อหลันเฟิงอย่างเกียจคร้าน ดวงตาดำขลับกลมดิกครึ่งหนึ่งถูกบดบังอยู่ใต้เปลือกตา สายตาเย็นชายิ่ง
เฮ่อหลันเฟิงหดมือกลับ
หลังจิ้นเยวี่ยหายป่วย ในที่สุดสามพี่น้องเฮ่อหลันก็ย้ายเข้าไปยังกระโจมสักหลาดหลังใหม่ พี่ชายน้องสาวทั้งสามไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแออัดอยู่ในกระโจมหลังเดียวอีกต่อไป
จิ้นเยวี่ยค้นพบว่าในกระโจมมีข้าวของของต้าอวี่มากมาย เช่น โต๊ะเตี้ย พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกใหม่เอี่ยม ฉากบังลมซึ่งใหญ่โตจนไม่มีที่วาง บนผนังยังแขวนขลุ่ยต้งเซียว* ไว้หนึ่งเลา เด็กหนุ่มเดาว่านี่น่าจะเป็นของที่ตกทอดมาจากมารดาของสามพี่น้อง
เฮ่อหลันเฟิงกำลังเช็ดมีดสั้นซึ่งพกติดกาย เมื่อหันหน้ากลับมาก็เห็นจิ้นเยวี่ยยืนอยู่กลางกระโจมสักหลาด จ้องมองตนเงียบๆ
จิ้นเยวี่ยเปลี่ยนมาแต่งกายอย่างทาสเป่ยหรงแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าหนาหนักหลายชั้น ใบหน้าขาวซีดดวงนั้นจึงยิ่งซูบเซียว เขามองเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนแขน ลังเลหลายส่วน “เสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนี้ข้าเก็บไว้ได้หรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงตอบ “เดิมทีมันก็เป็นของเจ้า”
“ข้าต้องคุกเข่าให้เจ้าหรือไม่” จิ้นเยวี่ยถาม “ยามนี้ข้าเป็นทาสของพวกเจ้าสามพี่น้อง”
“ไม่ต้อง” เฮ่อหลันเฟิงว่าพลางยัดมีดสั้นใส่มือจิ้นเยวี่ยให้เขาไว้ป้องกันตัว
มีดสั้นเป็นของที่เฮ่อหลันเฟิงพกติดตัว วันนั้นจิ้นเยวี่ยเคยเห็นมันเหน็บอยู่ที่เอวเขา ฝักมีดทำจากหนังหมีฟอก ทนทานยิ่ง บนด้ามมีดฝังไข่มุกสีทองกระจิริดไว้สองสามเม็ด น่ากลัวว่าจะเป็นของที่มีมูลค่าสูงที่สุดบนตัวเด็กหนุ่ม
จิ้นเยวี่ยไม่ยอมรับไว้ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเกี่ยงกันไปมานั้นเฮ่อหลันจินอิงก็เลิกม่านเดินเข้ามาอย่างไม่แยแส
“นั่นเป็นของที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้เจ้ามิใช่หรือ” เขาพูดไปตามอารมณ์ “ไปกัน พวกเราไปกินอาหารที่กระโจมแม่ทัพหู่”
คล้ายว่าเฮ่อหลันจินอิงจะเข้ากระโจมสักหลาดมาเพื่อกล่าวประโยคนี้ ครั้นอุ้มจั๋วจั๋วขึ้นมาก็มองจิ้นเยวี่ยหนึ่งที คลี่ยิ้มเย็นชาเอ่ย “มีทาสที่เห็นเจ้านายแล้วไม่คุกเข่า ไม่เลิกม่านให้ด้วยหรือ”
จิ้นเยวี่ยกลัวนัยน์ตาหมาป่าของเฮ่อหลันจินอิงยิ่ง ในนั้นคล้ายซุกซ่อนวิญญาณสัตว์ป่าไว้ ราวกับจะกลืนกิน ฉีกทึ้งตนได้ทุกเมื่อ เขาจึงคุกเข่า ศีรษะก้มจรดพื้น
เฮ่อหลันเฟิงบอก “เขาไม่ต้องคุกเข่า”
เฮ่อหลันจินอิงถาม “ด้วยเหตุใด”
เฮ่อหลันเฟิงให้เหตุผล “เขา…เขาให้ข้ายืมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ทั้งยังให้สาลี่ตากแห้งกับจั๋วจั๋ว”
เฮ่อหลันจินอิงหัวเราะลั่น “เหตุผลอะไรของเจ้ากัน! เจ้าลืมคำที่ข้าบอกแล้วหรือ ชาวต้าอวี่ดีต่อเจ้าก็มักจะมีเป้าหมายของพวกเขา ชาวต้าอวี่ไม่มีวันเป็นสหายของพวกเรา” กล่าวจบก็ดึงเฮ่อหลันเฟิงออกไป
เฮ่อหลันเฟิงหันกลับมา เห็นเพียงจิ้นเยวี่ยยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ไม่ขยับแม้แต่น้อย
เมื่อกลับบ้านหลังงานเลี้ยงเลิกรา ในกระโจมสักหลาดเงียบสงัดวังเวง แม้จุดตะเกียงไว้แต่จิ้นเยวี่ยกลับไม่อยู่ บริเวณที่เขาคุกเข่ามีมีดสั้นวางอยู่ ไข่มุกสีทองบนด้ามมีดสะท้อนแสงเรื่อเรืองอยู่ภายใต้ตะเกียงน้ำมัน
เผ่าเยี่ยไถมีคนน้อย ทาสที่สามารถเลี้ยงดูได้ก็ยิ่งน้อย เพื่อความสะดวกแม่ทัพหู่จึงนำทาสของหกเจ็ดครอบครัวในเผ่ามารวมไว้ในที่เดียวกันหมด สร้างเป็นกระโจมสักหลาดหลังใหญ่ให้ทาสอาศัยอยู่
ก่อนหน้านี้จิ้นเยวี่ยป่วยหนัก เฮ่อหลันเฟิงกับจั๋วจั๋วขอร้องให้พี่ชายรับเขาไว้ เฮ่อหลันจินอิงจึงตามใจน้องชายน้องสาว บัดนี้จิ้นเยวี่ยหายดี ย่อมถูกชายหนุ่มไล่กลับกระโจมใหญ่สำหรับทาส
กระโจมทาสมืดสลัวเก่าโทรม ตลบอบอวลด้วยกลิ่นเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ ผสมปนเประหว่างกลิ่นสาบแพะ ฝุ่นละออง พรมสกปรก และคราบน้ำมัน กลิ่นนั้นฉุนจมูกจนอยากอาเจียน รอบกระโจมเต็มไปด้วยรอยปะ สายลมหนาวเห็นช่องก็ลอดเข้ามา บรรดาทาสชายหญิงอาศัยอยู่ปะปนกัน ในกระโจมมีเพียงผ้าห่มกับฟูกนอนขาดๆ ม้วนอยู่ ซ่อนคนผู้นอนหลับสนิทไว้ด้านในคนสองคน
จิ้นเยวี่ยหาที่ว่างตรงมุมด้วยตนเอง ใต้ร่างคือหญ้าแห้งกับพรมเก่าซึ่งบางราวกับกระดาษ เขาห่อเสื้อคลุมขนจิ้งจอกจึงพอได้ไออุ่นเล็กน้อย
กลางดึกจิ้นเยวี่ยผู้หลับไม่ลึกพลันถูกมือข้างหนึ่งลูบบนกายจนตื่น
คนผู้นั้นกำลังจะเลิกเสื้อคลุมขนจิ้งจอกของเขา จิ้นเยวี่ยพยายามถีบคนบนร่างออกด้วยความตกใจไม่ใช่น้อย คนผู้นั้นหลบอย่างรวดเร็ว คว้าท่อนขาจิ้นเยวี่ยไว้ มือใหญ่เหม็นหึ่งกดลงบนหน้าอกเขา พูดด้วยภาษาเป่ยหรงหนึ่งประโยค “บุรุษ?”
กระนั้นการกระทำกลับไม่หยุดชะงักเลยสักนิด หลังดึงเสื้อคลุมขนจิ้งจอกออกก็รีบลงมือฉีกทึ้งเสื้อผ้าจิ้นเยวี่ย เขาขนลุกซู่ คำรามเสียงต่ำ และถีบหว่างขาคนผู้นั้นไปหนึ่งที
ทว่าเสื้อผ้าฤดูหนาวหนาหนัก ทั้งเรี่ยวแรงเขานั้นไม่เพียงพอ การโจมตีจึงไร้ผลอย่างสิ้นเชิง กลับกลายเป็นให้โอกาสคนผู้นั้นจับมือเท้าตนไว้ได้ พวกเขาต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง จิ้นเยวี่ยล้วนถูกคนผู้นั้นกดไว้อย่างแน่นหนาทุกครั้ง มือใหญ่หยาบกร้านแฝงกลิ่นเหม็นจับและลูบไล้ใบหน้าเขาไปมา ในดวงตาจิ้นเยวี่ยแทบจะสาดพ่นเปลวไฟ เขาอ้าปากงับนิ้วคนผู้นั้นโดยแรง
คนผู้นั้นร้องโอดโอย จิ้นเยวี่ยยังไม่ทันมุดออกจากใต้ร่างเขาก็โดนตบจนหน้าหัน คนผู้นั้นหมดอารมณ์ปรารถนา จิกผมจิ้นเยวี่ยจะลากออกไปนอกกระโจม ปากพ่นภาษาเป่ยหรงที่เด็กหนุ่มฟังไม่เข้าใจส่งเดช
ทาสจำนวนไม่น้อยในกระโจมตกใจตื่นแต่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ การต่อสู้ระหว่างทาสมีทั้งรอดและตาย พวกเขาดูแลตัวเองยังไม่ไหว ไม่มีทางให้การช่วยเหลือใครได้
ทันใดนั้นจิ้นเยวี่ยก็พลิกมือบีบข้อมือคนผู้นั้น ออกแรงจิกเล็บเข้าไปในเนื้อ แรงมือคนผู้นั้นไม่คลายออก เด็กหนุ่มกอดขาเขา เงื้อศอกกระแทกหัวเข่าอีกฝ่ายโดยแรง
คนผู้นั้นร้องโหยหวนอีกครั้ง ครานี้ถึงได้คลายมือออก จิ้นเยวี่ยข่มกลั้นความเจ็บร้าวบนหนังศีรษะ ลุกขึ้นพุ่งออกจากกระโจม…ยามนี้ในค่ายเยี่ยไถมีเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ มีเพียงเฮ่อหลันเฟิงเท่านั้น
เขาต้องรีบไปหาเฮ่อหลันเฟิง…
เด็กหนุ่มชาวต้าอวี่วิ่งชนแผ่นอกคนคนหนึ่ง ครั้นเงยหน้าก็เห็นนัยน์ตาหมาป่าทอแววยิ้มคู่หนึ่ง
เฮ่อหลันจินอิงประคองเขาด้วยมือข้างเดียว ถามอย่างสนิทสนม “แม่ทัพน้อยอยู่จนคุ้นชินแล้วหรือไม่”
จากตอนแรกที่สวมเสื้อผ้าหนาหนักหลายชั้นกลับถูกดึงทึ้งจนยับย่นหลุดลุ่ย เวลานี้จิ้นเยวี่ยจึงยิ่งดูเสียขวัญ เขาจัดเสื้อตนเองให้เรียบร้อย ยืนตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะได้รู้วันนี้ว่าชาวเป่ยหรงปฏิบัติต่อทาสเช่นนี้”
เฮ่อหลันจินอิงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นทาส เจ้ายังอยากกินน้ำแกงทองอาหารหยก ห่มผ้าห่มหนาสวมเสื้อขนสัตว์อบอุ่น?”
จิ้นเยวี่ยแค่นยิ้มเย็น ตรงเอวเขาเจ็บแปลบ ระหว่างพูดหายใจไม่ทันเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเป็นทาสของครอบครัวท่าน รังแกข้าต่างอันใดกับรังแกท่าน”
เฮ่อหลันจินอิงพยักหน้า “ชาวฮั่นมีคำกล่าวว่าตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ”
จิ้นเยวี่ยปวดรากฟัน ชาวเป่ยหรงให้ความสำคัญกับสุนัขมาก ไม่ได้มองสุนัขเป็นสิ่งต้อยต่ำ ประโยคนี้ของเฮ่อหลันจินอิงจงใจหยามเกียรติเขา
“ท่านไม่มีทางให้ข้าตาย” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเย็นชา “ท่านกับเฮ่อหลันเฟิงไม่ช่วยข้า หยามเกียรติบุตรชายของแม่ทัพจงเจาเช่นนี้แล้วท่านมีความสุขหรือ ที่แท้ชาวเป่ยหรงก็มีเพียงความสามารถไร้ระดับเช่นนี้ หากพวกท่านองอาจห้าวหาญจริง ไฉนบนสนามรบวันนั้นจึงได้สูญเสียทหารเป่ยหรงสามหมื่นนายให้บิดาข้า!”
เฮ่อหลันจินอิงจ้องมองจิ้นเยวี่ยเงียบๆ กวาดตาขึ้นลงประเมินเด็กหนุ่ม
“ยามนี้เจ้าถึงค่อยคล้ายบุตรชายจิ้นหมิงจ้าว” เฮ่อหลันจินอิงไม่โกรธสักนิด เขาหัวเราะพลางเอ่ย “แต่ลมปากมีประโยชน์อันใด ดูซิว่าเจ้าจะทนผ่านฤดูหนาวของเป่ยหรงไปได้หรือไม่”
เขามองทาสเป่ยหรงที่ตามหลังจิ้นเยวี่ยมา แล้วกำชับทหารด้านหลังอย่างสั้นๆ ว่า “โยนทิ้ง”
ทหารลากทาสผู้นั้นที่ร้องโหยหวนไปทางที่ราบฉือวั่งหยวน ครั้นทาสผู้นั้นอ้อนวอนขอให้ยกโทษให้ไม่สำเร็จ ก็เริ่มใช้ภาษาเป่ยหรงด่าทอเฮ่อหลันจินอิงกับเฮ่อหลันเฟิงว่าล้วนเป็นลูกหมาป่าที่กินบิดามารดา จิ้นเยวี่ยฟังภาษาเป่ยหรงเข้าใจก็อดมองเฮ่อหลันจินอิงแวบหนึ่งไม่ได้
“กลับไปเสีย” เฮ่อหลันจินอิงกล่าวอย่างสงบ “เจ้าทาส”
กระโจมทาสเงียบสงัดราวกับเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อน กระนั้นตำแหน่งที่จิ้นเยวี่ยนอนยังคงว่างอย่างน่าประหลาด เขาเก็บเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนพื้นขึ้นมาตบจนสะอาด และได้สบตากับทาสคนหนึ่ง คนผู้นั้นพลันลนลานหันหลังให้
ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีทาสคนใดกล้าพูดคุยกับจิ้นเยวี่ยอีก
ด้วยเหตุนี้ทุกวันนอกจากปัดกวาดกระโจม ป้อนอาหารแพะ อาบน้ำม้า ลงแม่น้ำเจาะน้ำแข็ง จิ้นเยวี่ยก็ไม่มีธุระอื่นใดอีก
เฮ่อหลันเฟิงสามพี่น้องชินกับการดูแลตนเองนานแล้ว จั๋วจั๋วผู้อายุน้อยสุดก็ยังทำกับข้าวซักเสื้อผ้าเป็น จิ้นเยวี่ยเคยหาเสื้อกางเกงเฮ่อหลันเฟิงออกมาซักให้สะอาด แต่เสื้อเพิ่งจะลงน้ำ เฮ่อหลันเฟิงก็วิ่งหน้าแดงหูแดงมายกไปทั้งอ่าง
ฤดูหนาวน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง พวกทาสไม่สนใจเขา อีกทั้งเขายังไม่ค่อยอยากใกล้ชิดเฮ่อหลันเฟิง นอกจากเล่าเรื่องราวของต้าอวี่กับจั๋วจั๋วเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็รับมือกับการหยอกล้ออย่างไม่เว้นหนักเบาของหุนต๋าเอ๋อร์ วันแล้ววันเล่าล้วนซ้ำซาก
เวลาสองเดือนกว่าผ่านไปอย่างสับสนมึนงง ฝ่ามือจิ้นเยวี่ยค่อยๆ เกิดหนังด้านบางๆ การเสียชีวิตของจิ้นหมิงจ้าว ความพินาศย่อยยับของทหารม้าคะนองเมฆา รวมทั้งการหายตัวไปของไป๋หนี ความเจ็บปวดค่อยๆ คลายความรุนแรงลง เรื่องราวเมื่อสองเดือนก่อน หรือกระทั่งเรื่องราวต่างๆ ในเหลียงจิงซึ่งเนิ่นนานกว่านั้นคล้ายถูกปกคลุมด้วยม่านโปร่งบาง ยามเขามองย้อนกลับไปบางครั้งก็เห็นเพียงภาพเลือนราง
จิ้นเยวี่ยซึ่งเป็นทาสของเป่ยหรงอยู่ตอนนี้ คล้ายไม่ได้โกรธแค้นและไม่ได้ต่อต้าน
ฤดูหนาวอันยาวนานผ่านจุดที่หนาวเหน็บที่สุดไปแล้ว เฮ่อหลันเฟิงสามพี่น้องก็เดินทางไปเป่ยตู
บางครั้งหลังจิ้นเยวี่ยปัดกวาดกระโจมสักหลาดก็จะนั่งขัดสมาธิลงบนพรม เป่าขลุ่ยต้งเซียวแผ่วเบา
บางครั้งหุนต๋าเอ๋อร์จะมาเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูกระโจม ถามคำถามเขาอย่างกระโชกโฮกฮาก จิ้นเยวี่ยตอบแล้วเขาก็ไม่ไป ยืนฟังเสียงขลุ่ยอย่างเงียบเฉียบอยู่ด้านนอกกระโจม เสียงขลุ่ยซับซ้อนอ่อนหวาน หวีดหวิวดุจร่ำไห้
วันหนึ่งที่ท้องฟ้าแจ่มใสหลังหิมะตก ครอบครัวเฮ่อหลันเฟิงก็กลับถึงเยี่ยไถในที่สุด ทันทีที่ลงจากม้า เขาก็วิ่งตรงดิ่งไปยังกระโจมสักหลาดของทาส ทว่ากลับไม่เจอจิ้นเยวี่ย
จิ้นเยวี่ยกำลังดูพวกหุนต๋าเอ๋อร์ล่ากระต่าย
ยามสภาพอากาศแจ่มใส กระต่ายหิมะในที่ราบฉือวั่งหยวนก็จะออกจากโพรงมาหาอาหาร ภายใต้แสงตะวันขนสีเทาอ่อนของกระต่ายหิมะก็แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสะท้อนจากพื้นหิมะ จึงมองเห็นได้ยากยิ่ง หุนต๋าเอ๋อร์กับตูเจ๋อเป็นมือดีในการล่ากระต่ายของเยี่ยไถ ทั้งสองอยากอวดความสามารถต่อหน้าจิ้นเยวี่ย ต่างบอกว่าจะจับกระต่ายหิมะเป็นๆ ให้เขา บ่วงบาศสองอันกวัดแกว่งลอยขึ้น
กระต่ายหิมะวิ่งวุ่นไปทั่วด้วยกำลังขาแข็งแรงเปี่ยมพลัง ที่ราบฉือวั่งหยวนเวิ้งว้างกว้างใหญ่ทอดสายตามองไปไร้ที่สิ้นสุด ทว่าพวกมันกลับขุดปากโพรงในจุดที่แทบไม่มีจุดสังเกตใดๆ หลบหลีกบ่วงเชือกของนักล่าได้อย่างเฉียดฉิว
ตอนเฮ่อหลันเฟิงมาถึงที่ราบฉือวั่งหยวน ก็เห็นหุนต๋าเอ๋อร์นำกระต่ายตัวหนึ่งมามอบให้ถึงมือจิ้นเยวี่ยพอดี
นับแต่จิ้นเยวี่ยกลายเป็นทาสที่เยี่ยไถ เฮ่อหลันเฟิงก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มปีติยินดีและความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ปรากฏบนใบหน้าเขามาก่อน
ท่ามกลางความมึนงงแฝงด้วยความโกรธเคืองหลายส่วน เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ เดินไปทางทั้งสองคน
หุนต๋าเอ๋อร์วางกระต่ายหิมะใส่อ้อมแขนจิ้นเยวี่ยอย่างใจกว้าง “ได้ยินว่าชาวต้าอวี่ถนัดเรื่องการกินมาก เจ้ารู้เรื่องการปรุงกระต่ายหรือไม่”
“รู้” จิ้นเยวี่ยเงยหน้าคลี่ยิ้มให้เขา “เจ้าน่าจะเคยได้ยินปัวสยากง* ?”
ขนาดจะทวนคำนี้ให้ถูกต้องหุนต๋าเอ๋อร์ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “ไม่เคยได้ยิน”
จิ้นเยวี่ยพูดขึ้นอีก “แล่เนื้อกระต่ายเป็นแผ่น นำน้ำสะอาดใส่ในหม้อ ใส่วัตถุดิบเข้าไป พอลวกสุกก็กินได้ แต่วัตถุดิบอาหารบางอย่างที่เยี่ยไถอาจไม่มี ข้าต้องลองหาดู”
หุนต๋าเอ๋อร์ดึงสายบังเหียนตรงหัวม้าแน่น หยุดลงตรงหน้าเขา ก้มตัวโค้งเอว “วัตถุดิบอาหารใดกัน เจ้าบอกข้า ข้ารู้จักพ่อค้าของต้าอวี่ ให้พวกเขานำมาก็หมดเรื่องแล้ว”
จิ้นเยวี่ยยังคงมีรอยยิ้มสนิทสนม ในดวงตาดำขลับสะท้อนใบหน้าซึ่งมีหนวดสั้นๆ ของหุนต๋าเอ๋อร์ “ได้สิ ขอข้าลองคิดดูดีๆ”
หุนต๋าเอ๋อร์คล้ายยังมีคำพูดอยากบอกกับเขา ทว่าหางตากลับเหลือบเห็นเฮ่อหลันเฟิงเดินเข้ามาใกล้ จึงแค่นเสียงเย็นชา “เจ้านายเจ้ากลับมาแล้ว”
เฮ่อหลันเฟิงมองหุนต๋าเอ๋อร์ แล้วก็มองกระต่ายที่จิ้นเยวี่ยกอดไว้แน่นในอ้อมแขน “ก็จับได้แค่กระต่าย”
หุนต๋าเอ๋อร์ถลึงตากว้าง “เจ้าว่าอะไรนะ!”
จิ้นเยวี่ยกอดกระต่ายหนีออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว
เฮ่อหลันเฟิงสาวเท้าตามมา รอยยิ้มที่จิ้นเยวี่ยเผยให้กับหุนต๋าเอ๋อร์หายวับไปโดยสมบูรณ์ ยามช้อนตามองเขาก็กลายเป็นดวงตาดำขลับสงบนิ่งเย็นชาคู่นั้นอีกครั้ง ในใจเฮ่อหลันเฟิงมีความน้อยใจอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
เขาเก็บคำพูดในใจไว้ไม่อยู่ “เจ้าเป็นสหายกับหุนต๋าเอ๋อร์แล้ว?”
จิ้นเยวี่ย “ไม่ใช่”
เฮ่อหลันเฟิงเอ่ยออกมาอีก “เจ้าขอกระต่ายจากเขา”
จิ้นเยวี่ยยืนนิ่ง “เพราะเจ้าไม่ชอบหุนต๋าเอ๋อร์ ดังนั้นข้าเลยไม่อาจไปมาหาสู่กับเขา?” ใบหน้าเขาหาได้ปรากฏแววโกรธเคือง เพียงบอกเล่าอย่างสงบ “เฮ่อหลันเฟิง ข้าเป็นทาสของพวกเจ้า กระทั่งข้านั้นจะพูดจากับผู้ใดเจ้าก็ตัดสินใจจะก้าวก่ายรึ”
“เขาทำให้เจ้าบาดเจ็บ เจ้ากลับยิ้มให้เขา” เฮ่อหลันเฟิงจะแย่งกระต่ายไปจากอ้อมแขนจิ้นเยวี่ย ทว่าเด็กหนุ่มกลับปกป้องสัตว์ตัวน้อยนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนอย่างเอาเป็นเอาตาย “เจ้าไม่เกลียดเขาหรือ”
ตั้งแต่ต้นจนจบจิ้นเยวี่ยไม่ยอมให้เขาแย่งไป รอเฮ่อหลันเฟิงหดมือกลับจิ้นเยวี่ยจึงค่อยตอบหนึ่งประโยค “ข้าไม่ว่างไปเกลียดเขา”
เห็นเฮ่อหลันเฟิงไม่กล่าวอันใด จิ้นเยวี่ยก็เดินไปข้างหน้าต่อ เฮ่อหลันเฟิงโมโหอยู่ครู่หนึ่งก็ตามไปติดๆ อีกครั้ง เขาพูดเสียงดัง “ข้านำสิ่งของของต้าอวี่มาให้เจ้า”
จิ้นเยวี่ยหันกลับมา สีหน้าตกใจระคนดีใจดังคาด “สิ่งใดหรือ”
ทั้งสองคนรีบร้อนดิ่งเข้าไปในกระโจมทาส เฮ่อหลันเฟิงชี้ตรงมุม บนใบหน้าซึ่งปกติดื้อรั้นฉายแววภาคภูมิใจหลายส่วน
ตรงมุมมีที่นอนหนังกวางผืนหนึ่งม้วนไว้ เวลานี้เมื่อได้ยินเสียงคน เด็กสาวบนที่นอนอยู่ถึงได้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ผมนางถูกตัดจนแหว่งไม่เป็นทรง ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น ทันทีที่เห็นสองคนตรงหน้า นางก็หดคอแน่นประหนึ่งถูกทำให้ตระหนกตกใจ
จิ้นเยวี่ยตะลึงอึ้ง “นี่คือ…”
“ข้าซื้อทาสต้าอวี่มาให้เจ้า” กระทั่งน้ำเสียงเฮ่อหลันเฟิงก็แฝงแววลิงโลดอยู่มาก “หลังจากนี้ไปมีนางเป็นสหาย เจ้าก็ไม่มีทางเบื่อหน่าย”
พริบตานั้นจิ้นเยวี่ยก็รู้สึกเดือดดาลจนตาลาย บาดแผลบนแผ่นหลังเขารักษาหายดีแล้ว ยามนี้กลับแสบร้อนเลือนรางขึ้นมาฉับพลัน ราวกับว่าลูกธนูดอกนั้นไม่เคยถูกถอดถอนออก แต่หยั่งรากลึกในเลือดเนื้อเขาไปแล้ว
“เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าซื้อทาสให้ข้าได้อย่างไร!” เขาคำรามลั่น “พวกเจ้าเห็นคนเป็นสิ่งใดกัน!”
ทาสหลายคนในกระโจมตกใจจนรีบคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นงันงก เฮ่อหลันเฟิงถูกจิ้นเยวี่ยคว้าคอเสื้อ ทั้งยังเห็นเขาบันดาลโทสะใส่ตนเอง ฉับพลันความโกรธก็แล่นลิ่วมาเช่นกัน “อะไร ในบ้านชาวต้าอวี่ไม่มีทาส?”
“นั่นไม่เหมือนกัน!”
“มีสิ่งใดไม่เหมือนกัน” เขาดึงมือจิ้นเยวี่ยออก “หรือคนเป็นๆ ดีสู้กระต่ายของหุนต๋าเอ๋อร์ไม่ได้”
จิ้นเยวี่ยไม่สามารถถกปัญหานี้กับเฮ่อหลันเฟิงให้เข้าใจได้อย่างสิ้นเชิง “เจ้าเอาคนไปเปรียบกับกระต่ายได้อย่างไร!”
กระต่ายตัวนั้นกระโดดลงจากอ้อมแขนจิ้นเยวี่ยวิ่งออกจากกระโจมสักหลาดไป เฮ่อหลันเฟิงจัดคอเสื้อให้ตรง ในใจกระสับกระส่ายอย่างน่าประหลาดจนไม่อาจปล่อยวาง “ข้าได้ยินว่าทุกบ้านของชาวต้าอวี่ล้วนมีทาส ไฉนมาถึงเป่ยหรงกลายเป็นเรื่องไม่ถูกต้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชาวต้าอวี่ซื้อทาสได้ ชาวเป่ยหรงกลับซื้อไม่ได้ เจ้าเสแสร้งเกินไปหน่อยแล้ว”
จิ้นเยวี่ยถูกต่อว่าด้วยคำว่า ‘เสแสร้ง’ ก็โกรธจนพูดจาไม่ไตร่ตรอง “ชาวเป่ยหรง ชาวเป่ยหรง แต่เจ้าก็ไม่ใช่ชาวเป่ยหรงเสียหน่อย!”
สีหน้าเฮ่อหลันเฟิงนิ่งขึง อารมณ์ซับซ้อนหลากหลายหมุนวนอยู่ในดวงตาหมาป่าซึ่งยังไม่พ้นวัยอ่อนเยาว์ เขาไม่รู้จะตอบเช่นไรไปชั่วขณะ ขณะอึกอักก็เกิดโมโหใหม่อีกครั้ง คล้ายไม่อยากเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากจิ้นเยวี่ย ความอับอาย โกรธเคือง เกลียดชัง และน้อยใจทั้งหมดร้อยรัดผสมผสานเข้าด้วยกัน เขาหันหน้าเดินจากไปทันที
ทาสในกระโจมสักหลาดพากันย่อตัววิ่งออกไป เหลือเพียงจิ้นเยวี่ยกับทาสสาวซึ่งถูกซื้อตัวมาใหม่ผู้นั้น เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ ในใจค่อยๆ บังเกิดความเสียใจ
เขากล่าวผิดไปแล้ว
* ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
* ชาน้ำมัน คือเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกันในแถบหูหนาน กวางสี ดื่มโดยนำน้ำชาผสมกับธัญพืชชนิดต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด
* หลี่ เป็นหน่วยวัดความยาวจีน 1 หลี่ เท่ากับ 500 เมตร
* ชุ่น เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ชุ่น เท่ากับ 3.33 เซนติเมตร
* ขลุ่ยต้งเซียว เรียกอีกอย่างว่าเซียว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าแนวตั้งชนิดหนึ่งของจีน
* ปัวสยากง เป็นชื่ออาหาร หมายถึงหม้อไฟเนื้อกระต่าย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 6 ต.ค. 65