ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 87-88 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 87-88 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 87

 

หากราชสำนักจะใช้ราษฎรทำงานก็ต้องใส่ใจกับรายละเอียดในทุกด้าน ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบ ไม่อาจกดขี่ข่มเหงราษฎรและไม่อาจปล่อยให้ราษฎรยักยอกเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้

ระยะเวลาที่ฮ่องเต้ต้องการจะเร่งตัดเย็บเสื้อกันหนาวนั้นกระชั้นมาก เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ต่างทำงานอย่างหนักและพยายามเพิ่มกำลังความสามารถของตนเองให้สูงมากยิ่งขึ้น

ตั้งแต่สมัยโบราณสงครามไม่เพียงเป็นการต่อสู้โดยทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสงครามด้านพลาธิการทางทหารอีกด้วย ชนเผ่าเร่ร่อนใช้เนื้อแห้งเป็นอาหาร พวกเขาไม่ต้องการการขนส่ง และสามารถโจมตีได้อย่างรวดเร็ว นี่คือข้อได้เปรียบของพวกเขา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีการระบาดของฝูงตั๊กแตน กอปรกับต้าเหิงมีอาหารเพียงพอกว่า ข้อได้เปรียบของพวกเขาจึงไม่ได้มีชัยเหนือกว่าแล้ว

ขณะที่กู้หยวนไป๋หารือกับเหล่าขุนนาง บัดนี้ทั้งท้องพระคลังและยุ้งฉางของต้าเหิงล้วนถูกเติมจนเต็มปรี่ เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจิ้นไม่เพียงต้องการส่งเสื้อกันหนาวไปยังชายแดนตอนเหนือเท่านั้น กองทัพของต้าเหิงประสบความยากลำบาก แต่ก็ไม่อาจลำบากถึงขั้นที่ไม่สามารถผ่านพ้นปีใหม่นี้ไปได้ เจิ้นต้องการให้พวกเขามีปีใหม่ที่ดีต่อหน้าชนเผ่าเร่ร่อน”

ขุนนางค้อมคำนับพร้อมกับถามต่อ “ฝ่าบาท มีปีใหม่ที่ดีคืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้กินอิ่ม ได้สวมเสื้อผ้าอบอุ่น มีน้ำแกงเนื้ออุ่นๆ ให้ดื่ม มีแป้งทอดใหม่ๆ ให้กิน” กู้หยวนไป๋มองพวกเขา “เป็ดหนึ่งแสนตัวที่เหล่าผู้มีอำนาจส่งไปยังชายแดนคงใกล้ถึงแล้วกระมัง”

“คนที่จุดพักม้ารายงานมาว่า บัดนี้ใกล้ถึงชายแดนตอนเหนือแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมอากรอดที่จะยิ้มตาหยีมิได้ “ท่านแม่ทัพเซวียเคยกล่าวไว้ในจดหมายว่าตั๊กแตนเริ่มรุกรานตอนเหนือตั้งแต่เดือนเจ็ด เมื่อเขาไปถึงชายแดน สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายเป็นทวีคูณ ตั๊กแตนฤดูใบไม้ร่วงจะตายในเดือนสาม เช่นนั้นกลางเดือนสิบ พวกมันก็ควรเข้าสู่ระยะตัวอ่อนแล้ว”

หัวหน้าที่ปรึกษาราชกิจเอ่ยว่า “เป็ดหนึ่งแสนตัวถูกส่งออกไปตั้งแต่เดือนเก้า อย่างช้าที่สุดก็คงจะถึงชายแดนตอนเหนือปลายเดือนนี้ ถึงตอนนั้นก็เป็นระยะตัวอ่อนของตั๊กแตนพอดี หลังจากกินตั๊กแตนจนหมดก็สามารถเพิ่มเนื้อสัตว์ให้เหล่าทหารได้”

“ครั้งนี้บรรดาผู้มีอำนาจก็ทำได้ไม่เลว” ขุนนางหลายคนหัวเราะ เอ่ยเย้าว่า “ในที่สุดก็นับว่าได้ทำเรื่องดีงามครั้งใหญ่แล้ว”

กู้หยวนไป๋ยิ้ม “ช่วยลดงานของพวกเราไปได้มากทีเดียว ทว่านี่ก็ยังไม่เพียงพอ ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนมีมาจนถึงบัดนี้ ตราบใดที่อาหารจากแนวหลังไปถึงทันเวลา ก็นับว่าเป็นการผ่านพ้นวิกฤตสำหรับแนวหน้า ขุนนางทั้งหลาย สิ่งที่เจิ้นต้องการในตอนนี้คือชัยชนะเหนือชนเผ่าเร่ร่อน”

“ต้องให้ชนเผ่าเร่ร่อนรู้ถึงความน่าเกรงขามของต้าเหิง” ฮ่องเต้เอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขามีความมั่นใจในการสู้รบของตัวเอง มีความมั่นใจในม้าชั้นดี รวมถึงวัวและแกะของตัวเอง ครั้งนี้ตั๊กแตนออกรุกราน กองทัพเข้ากดดัน หากไม่ทำให้พวกเขารู้เสียบ้างว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใดก็จะเสียโอกาสครั้งนี้ไปเปล่าๆ”

“ในขณะที่พวกเขาไม่มีอาหารและไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ในฤดูหนาว ทหารของเราต้องกินดีและสวมเสื้อผ้าดี ต้องมีพละกำลังเพียงพอที่จะจัดการกับทหารม้าของชนเผ่าเร่ร่อน” กู้หยวนไป๋เอ่ย “อาหาร เสื้อกันหนาว เนื้อสัตว์…สิ้นปีแล้ว ราษฎรต้าเหิงจะกินมื้อข้ามปีกันอย่างหรูหรา เหล่าทหารที่ต่อสู้กับใต้หล้าเพื่อเจิ้นก็ต้องมีปีใหม่ที่ดีเช่นกัน”

ขุนนางทุกคนรับคำ

 

ยามอู่ กู้หยวนไป๋รั้งขุนนางทุกคนให้กินอาหารในวัง อาหารในวังมีความละเอียดอ่อนและรสชาติโอชะ ทว่าวันนี้กลับเป็นอาหารจานสีแดงสลับเหลืองสดใส หัวหน้าสภาองคมนตรีลองชิมดู “เอ๋ นี่มันอะไรน่ะ รสชาติไม่เลว”

เปรี้ยวหวานกลมกล่อม เค็มกำลังดี เอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ

เถียนฝูเซิงเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าจ้าว อาหารจานนี้คือผลโคมแดงผัดไข่”

หัวหน้าสภาองคมนตรีเกิดความสงสัยขึ้น “ผลโคมแดงคือสิ่งใด”

“ผลโคมแดงเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ผู้ว่าการอำเภอหวงผูค้นพบในท้องที่” เถียนฝูเซิงเอ่ย “สีสันของผลสดใส กลมเล็ก ไม่มีพิษ ไม่ว่าจะนำมาผัดเป็นกับข้าวหรือต้มน้ำแกง ล้วนให้รสชาติที่แตกต่างกัน”

หลังจากกินปลาและเนื้อสัตว์มามาก มะเขือเทศผัดไข่จึงนับว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดีเยี่ยมจริงๆ นับตั้งแต่สำนักหมอหลวงยืนยันว่าผลโคมแดงนี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย กู้หยวนไป๋ก็นำพวกมันมาทำกับข้าว มะเขือเทศผัดไข่เป็นเพียงจานพื้นฐานเท่านั้น ซี่โครงเนื้อตุ๋นมะเขือเทศ ก๋วยเตี๋ยวซุปมะเขือเทศ มะเขือเทศหวาน…เขากินอาหารเหล่านี้มาหลายวันแล้ว

เหล่าข้าราชบริพารต่างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผลโคมแดงมาก หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ กู้หยวนไป๋ก็สั่งให้คนนำผลโคมแดงที่ล้างสะอาดแล้วเข้ามาให้พวกเขาชิมคนละลูก

ขุนนางทุกคนเมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็พบว่ารสชาตินี้แปลกประหลาดยิ่ง น้ำของมันเปรี้ยวทว่าเนื้อกลับมีรสหวาน แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าสิ่งนี้ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย ทำเป็นกับข้าวก็ได้ กินสดก็ดี บรรดาขุนนางต่างเอ่ยชมตามๆ กัน “ฝ่าบาท ผลโคมแดงนี้เป็นของดีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋อดยิ้มไม่ได้ “ทว่าต่อให้เจ้าสิ่งนี้ดีเพียงใด เจิ้นก็มีไม่มากแล้ว ครั้งนี้ใต้เท้าทุกท่านจึงได้เพียงลิ้มรส ไว้ปีหน้าได้ปลูกและเติบโตเมื่อไร ก็จะรู้จำนวนออกผลต่อหนึ่งหมู่ของเจ้าสิ่งนี้ได้”

เหล่าขุนนางอดไม่ได้ที่จะแสดงความผิดหวัง ความเร็วในการเคี้ยวผลโคมแดงที่เหลืออยู่ก็ลดลงอย่างมาก

 

ตกบ่ายขุนนางทุกคนต่างกลับจวนว่าการของตัวเอง ส่วนกู้หยวนไป๋กลับรั้งเสนาบดีกรมอากรไว้ พาเขาไปเปลี่ยนชุดลำลองแล้วนั่งรถม้าออกไปจากวัง

ฮ่องเต้สูงศักดิ์หาผู้ใดเปรียบพาผู้ติดตามมายังตลาดผักในนครหลวง

กู้หยวนไป๋ถามตั้งแต่ต้นตลาดไปจนถึงท้ายตลาดด้วยตัวเอง ถามตั้งแต่ราคาของไข่ไก่ไปจนถึงราคาของขนกระต่ายหนักหนึ่งจิน บุคลิกของเขาโดดเด่นมากแม้จะพยายามทำตัวสามัญเพียงใดก็ยังเป็นเหมือนกระเรียนในฝูงไก่ ทว่าน้ำเสียงของกู้หยวนไป๋นั้นอ่อนโยนและดูมีท่าทีเป็นกันเอง แม้ชาวบ้านที่ถูกเขาตั้งคำถามจะระมัดระวังตัวแต่ก็ไม่ได้มีความกลัวมากนัก

“คุณชาย หากท่านต้องการซื้อจำนวนมาก ข้าก็สามารถลดราคาได้” ชาวบ้านที่ขายไข่ไก่ถูมือแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ไข่ไก่ของข้าทั้งใหญ่ทั้งดี ราคาถูกที่สุดแล้ว”

กู้หยวนไป๋มองๆ แล้วก็พยักหน้า “ท่านลุง หากข้าซื้อจำนวนมาก ท่านสามารถลดราคาได้เท่าไร”

“ไข่ไก่หนึ่งจินข้าจะคิดให้ยี่สิบเหวิน” ชาวบ้านกล่าวด้วยความซื่อตรง

กู้หยวนไป๋เข้าใจแล้ว

เขาเดินมาตลอดทางและพอจะเข้าใจราคาของสินค้าแต่ละอย่างคร่าวๆ ระหว่างทางกลับตอนที่นั่งอยู่บนรถม้ากับเสนาบดีกรมอากร เขาก็พูดด้วยอารมณ์เศร้าเสียใจ “ข้างนอกขายไข่ไก่กันเพียงสิบสองเหวินต่อหนึ่งจิน ทว่าเมื่อไข่ไก่เหล่านี้เข้าวังก็กลายเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบเหวินแล้ว”

เสนาบดีกรมอากรไม่กล้าพูดอะไร

“จะบอกว่าให้สมกับที่เจิ้นเป็นฮ่องเต้หรือ แม้แต่ไข่ไก่ที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน เมื่ออยู่บนโต๊ะอาหารของเจิ้นกลับกลายเป็นไข่ไก่ทองคำไปเสียแล้ว” กู้หยวนไป๋เอ่ยเย้า “เพราะเจิ้นไม่คู่ควรที่จะกินไข่ไก่ราคาสิบสองเหวินต่อหนึ่งจินเช่นนั้นหรือ”

“ฝ่าบาท” หน้าผากของเสนาบดีกรมอากรชุ่มไปด้วยเหงื่อ “บัญชีของฝ่ายใน คือว่า…”

“ใต้เท้าทัง ท่านดูเถิดว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน” กู้หยวนไป๋ส่ายหน้า ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เจิ้นเพิ่งจะชำระล้างฝ่ายในยังไม่ถึงปีกระมัง ทว่าความเจริญของใต้หล้ามีไว้เพื่อผลกำไร ความวุ่นวายของใต้หล้ามีไว้เพื่อผลประโยชน์ ในเวลาไม่ถึงปีก็มีบางคนกล้าที่จะฉวยโอกาสภายใต้จมูกของเจิ้นเสียแล้ว”

ยามนี้เสนาบดีกรมอากรไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี รถม้าส่ายไปส่ายมา เหงื่อที่แผ่นหลังของเขาเปียกโชกเสื้อผ้าเล็กน้อย

“กองพระคลัง กองธนารักษ์ กองพระคลังรับผิดชอบคลังทรัพย์สินและเงินเข้าออกของฝ่ายใน และทุกวันนี้ขุนนางกองพระคลังกับทังชิงก็คุ้นเคยกันดี” กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นสบายๆ “กองธนารักษ์ไม่เคยเกิดเรื่องมาก่อน แต่ว่ากองพระคลังกลับเกิดเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า หลายวันก่อนการปราบปรามการทุจริตเพิ่งจะผ่านพ้น อดีตขุนนางกองพระคลังประสบไว้ทุกข์พอดี เขาจึงได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อกลับไปแสดงความกตัญญูที่บ้านเกิด ขุนนางกองพระคลังคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งน่าจะไม่เข้าใจนิสัยของเจิ้น อันที่จริงเขาเข้ารับตำแหน่งยังไม่ทันสองเดือนก็เปลี่ยนไข่ไก่ให้กลายเป็นไข่ทองคำ ท่านว่าต่อไปเจิ้นจะยังมีปัญญากินไข่ไก่หรือไม่”

เส้นประสาทในสมองของเสนาบดีกรมอากรตึงเครียด เขาไม่เพียงอกสั่นขวัญแขวนกับคำว่า ‘คุ้นเคยดี’ เท่านั้น ทั้งยังเกลียดการกระทำโลภไร้ปัญญาของขุนนางกองพระคลังอีกด้วย

อารมณ์ของฝ่าบาท ความคิด และความอดทนต่อการทุจริต จนป่านนี้แล้วขุนนางกองพระคลังผู้นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ

รถม้าหยุดลงพอดี กู้หยวนไป๋ตบๆ ที่แขนของเสนาบดีกรมอากร เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “เจิ้นได้ยินว่าทังชิงกำลังจะจัดการเรื่องงานแต่งงานให้กับบุตรสาวที่บ้าน การแต่งงานของบุตรสาวนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด ห้ามตัดสินใจตามอำเภอใจเป็นอันขาด”

ในเวลานี้เสนาบดีกรมอากรจึงตระหนักถึงความหมายในพระราชดำรัสของฝ่าบาท

อันที่จริงระยะหลังมานี้เสนาบดีกรมอากรก็คล้ายจะลังเลอยู่ว่าควรเกี่ยวดองกับขุนนางกองพระคลังดีหรือไม่ บัดนี้ฮ่องเต้ตรัสประโยคเช่นนี้กับเขาตามลำพัง เกรงว่าคงกำลังเตือนสติเขาว่าอย่าไปยุ่งกับคนผู้นั้นมากนัก นี่คือความรักความห่วงใยที่ฮ่องเต้มีต่อเขา

เสนาบดีกรมอากรถอนหายใจอย่างโล่งอก ตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า เขาถวายคำนับต่ำ “ทุกถ้อยคำที่ฝ่าบาทตรัสวันนี้กระหม่อมจดจำไว้ในใจแล้ว กระหม่อมผู้ต่ำต้อยยากที่จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ ความรักความห่วงใยที่ฝ่าบาทมีต่อกระหม่อมนั้นยากที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดอย่างแท้จริง เพียงแต่อดใจไม่ไหวที่จะต้องการทำงานถวายชีวิตเพื่อฝ่าบาท ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่ถอย”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า หลังจากปลอบเขาพร้อมกับรอยยิ้มสองประโยคก็ปล่อยให้เขาลงจากรถ

ในความเป็นจริงขุนนางกองพระคลังซื่อสัตย์มาโดยตลอด และเพิ่งเริ่มมีเจตนาทุจริตเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาเพิ่งจะลงมือก็ถูกกู้หยวนไป๋ค้นพบเสียแล้ว ต้องกล่าวว่าเป็นคนอับโชคนัก

ในนครหลวง กู้หยวนไป๋กำลังวุ่นอยู่กับการจัดการขุนนางกองพระคลัง ในขณะที่คอยดูเรื่องเสื้อบุนวมไปด้วย

 

ที่ชายแดนตอนเหนือ

กลางเดือนสิบ ในที่สุดกองทัพขนส่งธัญพืชที่นอนกลางดินกินกลางทรายตลอดเวลาก็ได้มาสมทบกับทหารที่ชายแดนตอนเหนือแล้ว

แม่ทัพอาวุโสเซวียต้อนรับกองทัพแถวยาวเหยียดนี้ท่ามกลางสายลมโหมกระหน่ำ และได้ต้อนรับเกวียนขนส่งธัญพืชที่ถูกทหารทัพนี้คุ้มกันอยู่ใจกลาง ทั้งยังยาวสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย

เกวียนเหล่านี้ต่างบรรทุกธัญพืชซ้อนกันถุงแล้วถุงเล่าเหมือนภูเขา เมื่อผู้ประสบภัยตามสองข้างทางของพื้นที่รกร้างได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากที่พักและจ้องมองไปยังขบวนเสบียงจนตาค้าง

เกวียนบรรทุกธัญพืชที่แล่นผ่านหน้าพวกเขาก่อให้เกิดเงาเป็นสาย บดบังพวกเขาไว้ใต้เงาของมัน ทั้งยังบดบังแสงอาทิตย์และก้อนเมฆบนท้องฟ้า

ทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนมองขบวนเสบียงเหล่านี้ตาไม่กะพริบ ในชั่วขณะนี้เองสีหน้าอิดโรยของแม่ทัพอาวุโสเซวียก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นทันตา

“เห็นแล้วหรือยัง เห็นแล้วหรือยัง” แม่ทัพเซวียตื้นตัน “ข้าบอกแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าฝ่าบาทจะต้องส่งเสบียงกองใหญ่มาให้! พวกเจ้าเชื่อแล้วหรือยัง พวกเจ้าเชื่อหรือไม่”

ทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนและผู้ประสบภัยที่ได้รับการช่วยเหลือจากแม่ทัพเซวียกินแต่ข้าวต้มมาเป็นเวลานานแล้ว

หลังจากที่แม่ทัพเซวียมาถึงชายแดนตอนเหนือก็ได้ทำทุกอย่างตามอำนาจตนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย อย่างไรก็ตามผู้ประสบภัยมีมากเกินไปและเสบียงที่พวกเขานำมาก็ไม่เพียงพอ ระหว่างรอราชสำนักส่งเสบียงมาก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าราชสำนักไม่ยินยอมส่งเสบียงมาที่ชายแดนตอนเหนือ

บรรดาทหารที่แม่ทัพอาวุโสเซวียพามาจากนครหลวงจนถึงชายแดนตอนเหนือไม่สนใจข่าวลือนี้ พวกเขาเป็นทหารที่ถูกฮ่องเต้เลี้ยงดูจึงรู้ดีที่สุดว่าฮ่องเต้ปฏิบัติต่อทหารอย่างไร ทว่าทหารซึ่งประจำการที่ชายแดนตอนเหนือกลับตื่นตระหนก พวกเขาเคยผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดมาก่อน แม้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาราชสำนักจะขนส่งเสบียงมาอย่างสม่ำเสมอและเปลี่ยนเสื้อเกราะกับอาวุธให้พวกเขา ทว่าพวกเขาก็ยังคงหวาดกลัว ความตื่นตระหนกนี้เริ่มแพร่กระจายไปในหมู่พวกเขา แม่ทัพอาวุโสเซวียที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รวบตัวผู้กระจายข่าวลือและตัดศีรษะทันที จึงสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่ทหารบางส่วนได้ชั่วคราว

อย่างไรก็ดี ทหารส่วนนี้ยังคงกังวล เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวังในใจ

และท่ามกลางความสิ้นหวังนี้เอง ขบวนเสบียงของราชสำนักก็มาถึง

กองทัพนำธัญพืชเข้ามาใกล้แล้ว แต่ถึงแม้จะเข้าใกล้ก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของธัญพืชเหล่านั้นราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด

ทหารผู้ไม่เคยออกจากการรักษาการณ์ในชายแดนตอนเหนือตกตะลึง “เหตุใดเสบียงถึงได้มากมายเพียงนี้…”

ทหารในนครหลวงกลับเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ฝ่าบาททรงรักและปกป้องพวกเรา แน่นอนว่าย่อมส่งเสบียงจำนวนมากให้แก่พวกเราอยู่แล้ว ก็กินข้าวต้มมาสิบวันแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ตื่นตระหนกเพียงนี้”

เหล่าทหารเอาแต่สนใจเสบียงอาหาร ไม่ทันได้ตอบคำของเขาและแทบจะไม่สามารถละสายตากลับมาได้เลย

เสบียงอาหารมากมายเพียงนี้ ชั่วชีวิตนี้มีสักกี่คนเชียวที่จะได้เห็นอาหารมากมายเพียงนี้

อย่างไรก็ดี มีเพียงไม่กี่คนในหมู่ทหารประจำการที่ชายแดนเท่านั้นที่เคยเห็นอาหารมากมายเพียงนี้ ส่วนผู้คนที่ไม่เคยเห็นอาหารจำนวนมหาศาลมาก่อน ลูบคลำใบหน้าของตัวเองโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ถูกคนข้างกายเตือนสติ ถึงได้พบว่าไม่รู้ดวงตาของพวกเขาเปียกชื้นตั้งแต่เมื่อไร

ร้องไห้อะไรกัน

เหล่าทหารต่างงุนงง

พวกเขาเพียงมองเสบียงแค่แวบเดียว ยังมองไม่พอและมองซ้ำเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ในใจยังไม่ทันได้พินิจพิจารณาด้วยซ้ำว่ามันมีรสชาติอย่างไร เหตุใดถึงได้เสียน้ำตาให้กับเสบียงจำนวนมากเหล่านี้เล่า

ในขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้แสนเจ็บปวดดังมาจากสองข้างทางและมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที เหล่าทหารหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นผู้ประสบภัยสองสามคนที่ถูกแม่ทัพเซวียรวบรวมตัวมา พวกเขากำลังกอดกันร้องไห้อย่างขมขื่น เมื่อผู้ประสบภัยที่มีอาการด้านชาหลายวันมานี้ได้เห็นอาหารแล้วก็ราวกับได้พบทางสว่างฉับพลัน ครั้นคนหนึ่งร้องไห้ก็ทำให้เสียงร้องไห้กระจายเป็นวงกว้าง ห้ามอย่างไรก็ห้ามไว้ไม่อยู่

มีอาหารแล้ว พวกเขารอดตายแล้ว

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com