everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 87-88 #นิยายวาย
บทที่ 88
เพราะหิวโหยจนหวาดกลัว
ในขณะที่ภัยพิบัติจากตั๊กแตนกำลังระบาดและความหิวโหยกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า อาหารจึงเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุด ทั้งยังเป็นหินผาที่ให้ความอุ่นใจที่สุดด้วย เมื่อแม่ทัพอาวุโสเซวียเห็นชาวบ้านผู้ประสบภัยและทหารชายแดนตอนเหนือเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกระคายเคืองและทรมานในหัวใจยิ่งนัก
เมื่อสองเดือนก่อนเขาพากองทัพเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย แหงนหน้าก็เป็นฝูงตั๊กแตนมืดฟ้ามัวดิน ก้มหน้าก็เป็นซากศพของเหยื่อที่หิวโหยจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สิ่งใดที่เรียกว่านรก หากไม่เจอด้วยตาของตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดมากเพียงใดก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่านรกบนดินมีสภาพเป็นเช่นไร
เมื่อผู้คนหิวโหยถึงขีดสุดก็ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะและสามารถกินได้ทุกอย่าง ต้นไม้ ใบหญ้า หรือแม้แต่ดินที่ถูกเหยียบย่ำและคลุกเคล้ากับน้ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ยังกลืนลง ทว่าเมื่อคนกินดินมากเกินไปก็อาจตายได้ หลังจากไม่มีสิ่งใดที่สามารถกินได้แล้ว สุดท้ายมนุษย์ก็กินกันเอง
โศกนาฏกรรมนี้ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ในฎีกาที่แม่ทัพอาวุโสเซวียเขียนถวายฮ่องเต้นั้นก็มีเพียงสี่คำเท่านั้นนั่นคือ ‘หิวตายทุกที่’
พื้นที่ที่มีการระบาดของตั๊กแตนเกิดขึ้นเร็วที่สุดและร้ายแรงที่สุด สตรี เด็ก และบุรุษล้วนผอมแห้ง พวกเขาไม่เพียงหิวโซแต่ยังต้องหวาดระแวงว่าตนจะถูกคนอื่นกินด้วยหรือไม่ ภรรยาและลูกน้อยที่เอาแต่กระจองอแงของตัวเองจะกลายเป็นอาหารของคนอื่นหรือไม่
ฉากเช่นนี้ แม้แต่ปัญญาชนผู้มีไหวพริบดีที่สุดก็คงจะตกตะลึงจนไม่สามารถหยิบพู่กันขึ้นมาได้ แม่ทัพอาวุโสเซวียต้องการที่จะถ่ายทอดสถานการณ์ร้ายแรงในพื้นที่ภัยพิบัติอย่างละเอียด แต่จะถ่ายทอดได้อย่างไรเล่า ทุกหนแห่งร้ายแรงเหมือนกันหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่สามารถหยิบยกออกมาเขียนเป็นพิเศษแล้ว
ขณะที่ให้คนขี่ม้าเร็วนำฎีกาส่งไปยังนครหลวง แม่ทัพอาวุโสเซวียก็ยังเป็นกังวลว่าเขาจะสามารถบรรยายถึงความร้ายแรงของการระบาดของตั๊กแตนทางเหนือลงในฎีกาได้อย่างชัดเจนหรือไม่ กังวลว่าราชสำนักจะให้ความสำคัญหรือไม่ และจะส่งเสบียงจำนวนมากมาให้หรือไม่
เมื่อได้เห็นเสบียงอาหารที่เรียงรายสุดลูกหูลูกตาตรงหน้าเหล่านี้ เขาจึงสามารถวางใจลงได้อย่างสมบูรณ์
เรื่องหนึ่งที่แม่ทัพอาวุโสเซวียซาบซึ้งมากที่สุดก็คือเมื่อต่อสู้ในแนวหน้า ฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหลังยังสามารถวางใจเขาและสนับสนุนอย่างเต็มที่ เรื่องนี้หายากยิ่ง มันไม่ง่ายอย่างที่พูด ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว
แม่ทัพอาวุโสเซวียตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเห็นเซวียหย่วนนำทัพมาก็หัวเราะร่าอย่างมีความสุข “ลูกชายข้า เจ้ามาช้าไปหน่อยนะ!”
ทันทีที่เซวียหย่วนเผยใบหน้าให้เห็น เหล่าทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนตอนเหนือตลอดเวลาก็อุทานด้วยความตกใจ “เซวียจิ่วเหยา!”
“เซวียจิ่วเหยากลับมาแล้วจริงหรือ!”
เซวียหย่วนที่กำลังขี่ม้ามองแม่ทัพเซวียมาจากที่สูง มุมปากยกขึ้น “ไม่พบท่านแม่ทัพเซวียหลายเดือน สถานการณ์ดูมีความผันผวนไปไม่น้อย”
เขาพลิกกายลงจากม้า เดินเข้าไปคำนับแม่ทัพเซวีย กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้าน้อยเซวียหย่วน รับพระบัญชาจากฝ่าบาทมาส่งเสบียงอาหาร ท่านแม่ทัพได้โปรดตรวจสอบ”
แม่ทัพเซวียหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ “เยี่ยมๆๆ”
เขาตบไหล่ของเซวียหย่วน ทันใดนั้นดวงตาก็เปียกชื้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทมีราชโองการให้เจ้าขนส่งเสบียงอาหาร ฝ่าบาทเห็นความสามารถของเจ้าจริงๆ เลยนะ”
เซวียหย่วนแสยะยิ้ม “นี่มันแน่อยู่แล้ว”
แม่ทัพเซวียกับทหารสองสามนายดึงเซวียหย่วนไว้พูดคุยด้วยสองสามประโยค จากนั้นก็ไปตรวจสอบเสบียงอาหารด้วยกัน แม้ผู้ที่ขนส่งเสบียงจะเป็นเซวียหย่วน แม่ทัพเซวียก็สามารถแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้อย่างชัดเจน เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น พวกเขาก็ต้องตกใจกับปริมาณของเสบียงอาหารเหล่านี้
“นี่สามารถกินได้ถึงห้าปีเลยกระมัง”
เสบียงอาหารมากมายเพียงนี้ ทั้งยังมีกองทัพที่มาส่งอาหารนับหมื่นนาย แม่ทัพเซวียพิจารณาดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ธรรมดา ขณะที่เขากำลังจะเรียกเซวียหย่วนไปถามนั้น ก็มีคนเข้ามารายงานว่าเซวียหย่วนได้นำทุกคนไปชำระล้างร่างกายแล้ว
แม่ทัพเซวียเบิกตาโพลง ด่าว่าเจ้าเด็กเฮงซวยด้วยความขุ่นเคืองอย่างไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง “ขนเสบียงลงจากเกวียนให้หมด ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ทำอาหารให้ทุกคนได้กินอิ่มกันก่อน!”
หลังจากเซวียหย่วนชำระล้างร่างกายและออกมาจากห้องแล้ว ก็ได้กลิ่นอาหารตลบอบอวลไปทั่วทั้งพื้นที่
เขาเช็ดน้ำออกจากใบหน้า มองขึ้นไปยังควันสีขาวที่ลอยอยู่โดยรอบ จากนั้นก็มองดูกองทัพอย่างเอื่อยเฉื่อย ทหารใหม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขาในการปราบปรามโจรมาบ้าง ทหารในอดีตรู้ถึงกิตติศัพท์ของเซวียหย่วนขณะประจำการอยู่ที่ชายแดนตอนเหนือเป็นอย่างดี ทันทีที่เขาออกมาสำรวจรอบๆ เช่นนี้ คนในกองทัพจำนวนไม่น้อยก็รู้ว่าเซวียจิ่วเหยากลับมาแล้ว
สำหรับทหารในชายแดนตอนเหนือแล้ว ชื่อเสียงของเซวียหย่วนเกรียงไกรอย่างแท้จริง มีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยเข้าสู่สนามรบกับเขา เมื่อเซวียหย่วนเดินผ่านพวกเขาโดยบังเอิญ คนพวกนั้นก็ยังเรียกเขาด้วยความเคารพ “แม่ทัพน้อย”
ในอดีตเมื่อครั้งหลูเฟิงเรืองอำนาจ ชื่อเสียงของเซวียหย่วนถูกระงับโดยแม่ทัพเซวีย แม้ว่าต่อมาฮ่องเต้จะกุมอำนาจ ทว่าเนื่องจากความระมัดระวังและความกังวลของแม่ทัพเซวีย ทั้งยังไม่ใคร่เข้าใจธรรมชาติของฮ่องเต้องค์นี้ดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ให้เซวียหย่วนได้แสดงผลงาน แน่นอนว่าเซวียหย่วนประจำการอยู่ที่ชายแดนจึงไร้ซึ่งตำแหน่งทางการในกองทัพ เพียงเพราะความดื้อรั้นของเขาในอดีต เมื่อคนอื่นเรียกเขาเช่นนี้ เขาจึงตอบรับอย่างเปิดเผยราวกับว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
บัดนี้เมื่อได้ยินการเรียกที่คุ้นหูอีกครั้ง เซวียหย่วนกลับนึกถึงกู้หยวนไป๋ในแวบแรก จู่ๆ ก็รู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่กู้หยวนไป๋ไม่รู้เรื่องนี้
ไม่เช่นนั้นเจ้าเด็กไร้มโนธรรมคนนั้น จะต้องสงสัยว่าเขามีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน
เซวียหย่วนจงใจละทิ้งความคิดทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเองในอดีต และเดินไปยังกระโจมของแม่ทัพเซวียอย่างสบายๆ อาหารถูกนำขึ้นโต๊ะพอดี แม่ทัพเซวียหยุดหารือกับแม่ทัพสองสามคนและให้เขานั่งร่วมวงกินอาหารด้วยกัน
บนโต๊ะอาหาร หัวใจแห่งความจงรักภักดีของแม่ทัพเซวียไม่อาจหาทางระบายออกได้เลย ทำได้เพียงไถ่ถามเซวียหย่วนไม่หยุดหย่อน “ช่วงนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
ครั้นเซวียหย่วนได้ยินดังนี้ คิ้วและตาของเขาก็มีความขุ่นมัวเล็กน้อย “ข้าไม่ได้เจอฝ่าบาทมาเดือนกว่าแล้ว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
แม่ทัพเซวียไม่เข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของเขาถึงแย่ลงกะทันหัน “เช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะจากมา ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
“พระพักตร์อ่อนนุ่มจนแทบจะเหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้าอยู่แล้ว” ตะเกียบของเซวียหย่วนหยุดชะงัก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ยังคงผอมเหมือนเดิม พระหัตถ์เหลือแต่กระดูก”
แม่ทัพเซวียไม่เข้าใจประโยคก่อนหน้านี้ “อะไรคือพระพักตร์อ่อนนุ่มจนแทบจะเหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า”
เซวียหย่วนไม่ได้ยินเสียงของบิดา เขาจมดิ่งลงไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่กระดูกก็รู้สึกระคายเคือง “ข้าไม่อยู่ตอนที่เขาเกิด ในอดีตเขาล้มป่วย แม้แต่การเหยียบย่ำหยกขาวข้างสระน้ำร้อนก็ทำให้ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว ทำได้เพียงให้คนอื่นแบกขึ้นหลัง ครั้งนี้พอข้าจากมาแล้ว ใครจะแบกเขาเล่า”
“ก็ไม่แน่” จู่ๆ เขาก็หัวเราะน่ากลัว “ข้าไปอยู่ที่จิงหูหนานแรมเดือน พอกลับมาก็พบว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นมากเชียว”
“เขามีคนข้างกายมากมายเพียงนี้ เรียกใครแบกหลังก็ได้ไม่ใช่หรือ”
แม่ทัพเซวียได้ยินเพียงเสียงคลุมเครือราวกับหมอกควัน “เซวียหย่วน ข้ากำลังถามว่าพระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง!”
เซวียหย่วนดึงสติกลับมา หรี่ตามองบิดา กดคิ้วต่ำอย่างหมดความอดทน “สบายดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
“ข้าจะไม่ห่วงได้อย่างไร!” แม่ทัพเซวียโกรธอย่างมาก “ฝ่าบาททรงรักและห่วงใยข้าเพียงนี้ เชื่อใจเจ้ากับข้าเพียงนี้ ข้าจะกลายเป็นคนไร้คุณธรรม ไม่เป็นกังวลแม้แต่พระวรกายมังกรของฝ่าบาทได้อย่างไร”
เซวียหย่วน “มีข้าคอยเป็นห่วงอยู่”
แม่ทัพเซวียนิ่งงัน โทสะหายวับในทันตาและแปรเปลี่ยนเป็นเบิกบาน “เยี่ยมๆๆ บุตรของข้าห้ามลืมหัวใจแห่งความจงรักภักดีเป็นอันขาด เจ้ากับข้าในฐานะขุนนางต้องทำเช่นนี้ถึงจะถูกต้อง”
เซวียหย่วนจับตรงหัวใจ ยกยิ้มมุมปาก มีรอยยิ้มล้ำลึกวาบผ่านดวงตาครู่หนึ่ง “หัวใจแห่งความจงรักภักดีดวงนี้เต้นเร็วทีเดียว”
ทุกวันนี้ ชนเผ่าเร่ร่อนที่ปะทะกับทหารที่ชายแดนเป็นหนึ่งในแปดชนเผ่าชี่ตันซึ่งมีรื่อเหลียนน่าเป็นผู้นำ
ขบวนทัพที่เซวียหย่วนนำทหารม้าและเสบียงอาหารมาส่งที่ชายแดนตอนเหนือนั้นยิ่งใหญ่มาก หลังจากหน่วยสอดแนมที่รื่อเหลียนน่าส่งมาเห็นดังนี้ก็รีบกลับไปที่เผ่าทันที และรายงานเรื่องที่กองทัพต้าเหิงส่งเสบียงอาหารมาที่ชายแดนให้ผู้นำเผ่าฟัง
ครั้นรื่อเหลียนน่าได้ยินดังนี้ เนื้อวัวตากแห้งในห่อผ้าก็ไม่อร่อยอีกต่อไป เขาขมวดคิ้วเอ่ย “ฮ่องเต้ต้าเหิงส่งคนมาเท่าใด”
ผู้สอดแนมเอ่ยอย่างลังเล “น่าจะมีกว่าหมื่นนาย!”
“จิ๊…” รื่อเหลียนน่าสูดหายใจเย็นยะเยือก ถามต่อว่า “พวกเจ้าเห็นหน้าชัดหรือไม่ว่าผู้นำทัพเป็นใคร”
“พวกเขามีฝ่ายคอยสำรวจทาง พวกเราเข้าใกล้ไม่ได้” ผู้สอดแนมเอ่ย “แม้จะมองไม่เห็นว่าผู้นำทัพเป็นใคร แต่พอมองออกว่าผู้นำทัพนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง”
รื่อเหลียนน่าถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวเราะเสียงดัง “เกรงว่าราชสำนักต้าเหิงคงจะเหลือแต่ทหาร แม้แต่ผู้นำทัพที่ได้เรื่องก็ไม่มีแล้วกระมัง ฮ่าๆๆ ตาเฒ่าเซวียผิงนั่นก็อายุมากแล้ว ไม่ใช่เพราะราชสำนักคิดว่าส่งชายหนุ่มมาก็หมดเรื่องแล้วหรอกหรือ ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้นำทัพที่ขนยังงอกไม่ครบอย่างนี้ มาหนึ่งคนข้ารื่อเหลียนน่าก็จะสังหารหนึ่งคน! จะสังหารจนกระทั่งเจ้าเด็กขนไม่งอกเหล่านั้นเห็นข้าแล้วตกใจจนอุจจาระราดเลยเชียว!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่โดยรอบก็หัวเราะเสียงดังตามไปด้วย
หลังจากหัวเราะจบ แล้วนึกถึงเสบียงอาหารไร้ที่สิ้นสุดที่ผู้สอดแนมเอ่ยถึง ความโลภก็แวบผ่านใบหน้าของรื่อเหลียนน่า “ม้าของพวกเราไม่ได้กินอิ่มนานแล้ว เนิ่นนานปานนี้ นักรบของพวกเรากินเนื้อแกะและเนื้อวัวตากแห้งไปกี่ตัวแล้ว พวกเจ้ายังจำรสชาติของสตรีต้าเหิงและรสชาติของเมล็ดพืชต้าเหิงได้หรือไม่”
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาสีหน้าโหดเหี้ยม “หัวหน้า ตอนนี้พวกเราก็โดนตาเฒ่าเซวียผิงนั่นตีพ่ายกลับมาหลายครั้ง ครั้งนี้มีเด็กหนุ่มเข้ามา ไม่แน่อาจเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เคยเข้าสู่สนามรบและไม่เคยประมือกับพวกเราก็เป็นได้ หากฝ่าเขาไปได้ก็จะต้องจู่โจมตาเฒ่านั่นได้อย่างแน่นอน!”
ไอสังหารของรื่อเหลียนน่าหนักอึ้ง “กล่าวได้ถูกต้อง ครั้งนี้พวกเราจะต้องกลับมาพร้อมกับกำไรเป็นแน่แท้”
ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชามีคนเอ่ยขึ้น “ไม่เพียงเท่านี้ หัวหน้า บัดนี้หัวหน้าใหญ่ของชี่ตันทั้งแปดกลุ่มใกล้จะสิ้นใจแล้ว หากพวกเราสามารถทำการใหญ่ได้ก่อนที่หัวหน้าใหญ่จะตาย ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่คนต่อไปของเผ่าชี่ตันเกรงว่าจะเป็นท่านแล้ว”
ครั้นเอ่ยวาจาเช่นนี้ รื่อเหลียนน่าก็จิตใจปั่นป่วน
ถูกต้อง ในเวลานี้เมื่อหัวหน้าใหญ่กำลังจะตาย หากเรื่องที่ราชสำนักส่งเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้ามาล่วงรู้ไปถึงหัวหน้าเผ่าอื่นๆ พวกเขาจะต้องปล้นพวกต้าเหิงเพื่อแย่งชิงผลงานอย่างแน่นอน บัดนี้รื่อเหลียนน่าเป็นคนแรกที่รู้ข่าวทั้งยังอยู่ใกล้ที่สุด นี่ไม่ใช่ผลงานที่สวรรค์ต้องการจะประทานเขาหรอกหรือ
ตาเฒ่าเซวียผิงนั่นป้องกันอย่างแน่นหนา ทว่าบัดนี้แผ่นเหล็กนี้กลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ หากรื่อเหลียนน่าไม่เหยียบเข้าไปบนช่องโหว่นี้ เขาตายไปก็จะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
สังหาร จะต้องสังหาร!
จะต้องให้ทหารใหม่เหล่านี้รู้ว่าอะไรคือความโหดร้ายในใต้หล้านี้ และจะต้องให้แม่ทัพที่ขนยังไม่ขึ้นดีผู้นั้นรู้ว่าอะไรคือฝันร้าย!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 15 ส.ค. 65