X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 87-88 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 87

 

หากราชสำนักจะใช้ราษฎรทำงานก็ต้องใส่ใจกับรายละเอียดในทุกด้าน ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบ ไม่อาจกดขี่ข่มเหงราษฎรและไม่อาจปล่อยให้ราษฎรยักยอกเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้

ระยะเวลาที่ฮ่องเต้ต้องการจะเร่งตัดเย็บเสื้อกันหนาวนั้นกระชั้นมาก เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ต่างทำงานอย่างหนักและพยายามเพิ่มกำลังความสามารถของตนเองให้สูงมากยิ่งขึ้น

ตั้งแต่สมัยโบราณสงครามไม่เพียงเป็นการต่อสู้โดยทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสงครามด้านพลาธิการทางทหารอีกด้วย ชนเผ่าเร่ร่อนใช้เนื้อแห้งเป็นอาหาร พวกเขาไม่ต้องการการขนส่ง และสามารถโจมตีได้อย่างรวดเร็ว นี่คือข้อได้เปรียบของพวกเขา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีการระบาดของฝูงตั๊กแตน กอปรกับต้าเหิงมีอาหารเพียงพอกว่า ข้อได้เปรียบของพวกเขาจึงไม่ได้มีชัยเหนือกว่าแล้ว

ขณะที่กู้หยวนไป๋หารือกับเหล่าขุนนาง บัดนี้ทั้งท้องพระคลังและยุ้งฉางของต้าเหิงล้วนถูกเติมจนเต็มปรี่ เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจิ้นไม่เพียงต้องการส่งเสื้อกันหนาวไปยังชายแดนตอนเหนือเท่านั้น กองทัพของต้าเหิงประสบความยากลำบาก แต่ก็ไม่อาจลำบากถึงขั้นที่ไม่สามารถผ่านพ้นปีใหม่นี้ไปได้ เจิ้นต้องการให้พวกเขามีปีใหม่ที่ดีต่อหน้าชนเผ่าเร่ร่อน”

ขุนนางค้อมคำนับพร้อมกับถามต่อ “ฝ่าบาท มีปีใหม่ที่ดีคืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้กินอิ่ม ได้สวมเสื้อผ้าอบอุ่น มีน้ำแกงเนื้ออุ่นๆ ให้ดื่ม มีแป้งทอดใหม่ๆ ให้กิน” กู้หยวนไป๋มองพวกเขา “เป็ดหนึ่งแสนตัวที่เหล่าผู้มีอำนาจส่งไปยังชายแดนคงใกล้ถึงแล้วกระมัง”

“คนที่จุดพักม้ารายงานมาว่า บัดนี้ใกล้ถึงชายแดนตอนเหนือแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมอากรอดที่จะยิ้มตาหยีมิได้ “ท่านแม่ทัพเซวียเคยกล่าวไว้ในจดหมายว่าตั๊กแตนเริ่มรุกรานตอนเหนือตั้งแต่เดือนเจ็ด เมื่อเขาไปถึงชายแดน สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายเป็นทวีคูณ ตั๊กแตนฤดูใบไม้ร่วงจะตายในเดือนสาม เช่นนั้นกลางเดือนสิบ พวกมันก็ควรเข้าสู่ระยะตัวอ่อนแล้ว”

หัวหน้าที่ปรึกษาราชกิจเอ่ยว่า “เป็ดหนึ่งแสนตัวถูกส่งออกไปตั้งแต่เดือนเก้า อย่างช้าที่สุดก็คงจะถึงชายแดนตอนเหนือปลายเดือนนี้ ถึงตอนนั้นก็เป็นระยะตัวอ่อนของตั๊กแตนพอดี หลังจากกินตั๊กแตนจนหมดก็สามารถเพิ่มเนื้อสัตว์ให้เหล่าทหารได้”

“ครั้งนี้บรรดาผู้มีอำนาจก็ทำได้ไม่เลว” ขุนนางหลายคนหัวเราะ เอ่ยเย้าว่า “ในที่สุดก็นับว่าได้ทำเรื่องดีงามครั้งใหญ่แล้ว”

กู้หยวนไป๋ยิ้ม “ช่วยลดงานของพวกเราไปได้มากทีเดียว ทว่านี่ก็ยังไม่เพียงพอ ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนมีมาจนถึงบัดนี้ ตราบใดที่อาหารจากแนวหลังไปถึงทันเวลา ก็นับว่าเป็นการผ่านพ้นวิกฤตสำหรับแนวหน้า ขุนนางทั้งหลาย สิ่งที่เจิ้นต้องการในตอนนี้คือชัยชนะเหนือชนเผ่าเร่ร่อน”

“ต้องให้ชนเผ่าเร่ร่อนรู้ถึงความน่าเกรงขามของต้าเหิง” ฮ่องเต้เอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขามีความมั่นใจในการสู้รบของตัวเอง มีความมั่นใจในม้าชั้นดี รวมถึงวัวและแกะของตัวเอง ครั้งนี้ตั๊กแตนออกรุกราน กองทัพเข้ากดดัน หากไม่ทำให้พวกเขารู้เสียบ้างว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใดก็จะเสียโอกาสครั้งนี้ไปเปล่าๆ”

“ในขณะที่พวกเขาไม่มีอาหารและไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ในฤดูหนาว ทหารของเราต้องกินดีและสวมเสื้อผ้าดี ต้องมีพละกำลังเพียงพอที่จะจัดการกับทหารม้าของชนเผ่าเร่ร่อน” กู้หยวนไป๋เอ่ย “อาหาร เสื้อกันหนาว เนื้อสัตว์…สิ้นปีแล้ว ราษฎรต้าเหิงจะกินมื้อข้ามปีกันอย่างหรูหรา เหล่าทหารที่ต่อสู้กับใต้หล้าเพื่อเจิ้นก็ต้องมีปีใหม่ที่ดีเช่นกัน”

ขุนนางทุกคนรับคำ

 

ยามอู่ กู้หยวนไป๋รั้งขุนนางทุกคนให้กินอาหารในวัง อาหารในวังมีความละเอียดอ่อนและรสชาติโอชะ ทว่าวันนี้กลับเป็นอาหารจานสีแดงสลับเหลืองสดใส หัวหน้าสภาองคมนตรีลองชิมดู “เอ๋ นี่มันอะไรน่ะ รสชาติไม่เลว”

เปรี้ยวหวานกลมกล่อม เค็มกำลังดี เอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ

เถียนฝูเซิงเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าจ้าว อาหารจานนี้คือผลโคมแดงผัดไข่”

หัวหน้าสภาองคมนตรีเกิดความสงสัยขึ้น “ผลโคมแดงคือสิ่งใด”

“ผลโคมแดงเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ผู้ว่าการอำเภอหวงผูค้นพบในท้องที่” เถียนฝูเซิงเอ่ย “สีสันของผลสดใส กลมเล็ก ไม่มีพิษ ไม่ว่าจะนำมาผัดเป็นกับข้าวหรือต้มน้ำแกง ล้วนให้รสชาติที่แตกต่างกัน”

หลังจากกินปลาและเนื้อสัตว์มามาก มะเขือเทศผัดไข่จึงนับว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดีเยี่ยมจริงๆ นับตั้งแต่สำนักหมอหลวงยืนยันว่าผลโคมแดงนี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย กู้หยวนไป๋ก็นำพวกมันมาทำกับข้าว มะเขือเทศผัดไข่เป็นเพียงจานพื้นฐานเท่านั้น ซี่โครงเนื้อตุ๋นมะเขือเทศ ก๋วยเตี๋ยวซุปมะเขือเทศ มะเขือเทศหวาน…เขากินอาหารเหล่านี้มาหลายวันแล้ว

เหล่าข้าราชบริพารต่างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผลโคมแดงมาก หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ กู้หยวนไป๋ก็สั่งให้คนนำผลโคมแดงที่ล้างสะอาดแล้วเข้ามาให้พวกเขาชิมคนละลูก

ขุนนางทุกคนเมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็พบว่ารสชาตินี้แปลกประหลาดยิ่ง น้ำของมันเปรี้ยวทว่าเนื้อกลับมีรสหวาน แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าสิ่งนี้ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย ทำเป็นกับข้าวก็ได้ กินสดก็ดี บรรดาขุนนางต่างเอ่ยชมตามๆ กัน “ฝ่าบาท ผลโคมแดงนี้เป็นของดีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋อดยิ้มไม่ได้ “ทว่าต่อให้เจ้าสิ่งนี้ดีเพียงใด เจิ้นก็มีไม่มากแล้ว ครั้งนี้ใต้เท้าทุกท่านจึงได้เพียงลิ้มรส ไว้ปีหน้าได้ปลูกและเติบโตเมื่อไร ก็จะรู้จำนวนออกผลต่อหนึ่งหมู่ของเจ้าสิ่งนี้ได้”

เหล่าขุนนางอดไม่ได้ที่จะแสดงความผิดหวัง ความเร็วในการเคี้ยวผลโคมแดงที่เหลืออยู่ก็ลดลงอย่างมาก

 

ตกบ่ายขุนนางทุกคนต่างกลับจวนว่าการของตัวเอง ส่วนกู้หยวนไป๋กลับรั้งเสนาบดีกรมอากรไว้ พาเขาไปเปลี่ยนชุดลำลองแล้วนั่งรถม้าออกไปจากวัง

ฮ่องเต้สูงศักดิ์หาผู้ใดเปรียบพาผู้ติดตามมายังตลาดผักในนครหลวง

กู้หยวนไป๋ถามตั้งแต่ต้นตลาดไปจนถึงท้ายตลาดด้วยตัวเอง ถามตั้งแต่ราคาของไข่ไก่ไปจนถึงราคาของขนกระต่ายหนักหนึ่งจิน บุคลิกของเขาโดดเด่นมากแม้จะพยายามทำตัวสามัญเพียงใดก็ยังเป็นเหมือนกระเรียนในฝูงไก่ ทว่าน้ำเสียงของกู้หยวนไป๋นั้นอ่อนโยนและดูมีท่าทีเป็นกันเอง แม้ชาวบ้านที่ถูกเขาตั้งคำถามจะระมัดระวังตัวแต่ก็ไม่ได้มีความกลัวมากนัก

“คุณชาย หากท่านต้องการซื้อจำนวนมาก ข้าก็สามารถลดราคาได้” ชาวบ้านที่ขายไข่ไก่ถูมือแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ไข่ไก่ของข้าทั้งใหญ่ทั้งดี ราคาถูกที่สุดแล้ว”

กู้หยวนไป๋มองๆ แล้วก็พยักหน้า “ท่านลุง หากข้าซื้อจำนวนมาก ท่านสามารถลดราคาได้เท่าไร”

“ไข่ไก่หนึ่งจินข้าจะคิดให้ยี่สิบเหวิน” ชาวบ้านกล่าวด้วยความซื่อตรง

กู้หยวนไป๋เข้าใจแล้ว

เขาเดินมาตลอดทางและพอจะเข้าใจราคาของสินค้าแต่ละอย่างคร่าวๆ ระหว่างทางกลับตอนที่นั่งอยู่บนรถม้ากับเสนาบดีกรมอากร เขาก็พูดด้วยอารมณ์เศร้าเสียใจ “ข้างนอกขายไข่ไก่กันเพียงสิบสองเหวินต่อหนึ่งจิน ทว่าเมื่อไข่ไก่เหล่านี้เข้าวังก็กลายเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบเหวินแล้ว”

เสนาบดีกรมอากรไม่กล้าพูดอะไร

“จะบอกว่าให้สมกับที่เจิ้นเป็นฮ่องเต้หรือ แม้แต่ไข่ไก่ที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน เมื่ออยู่บนโต๊ะอาหารของเจิ้นกลับกลายเป็นไข่ไก่ทองคำไปเสียแล้ว” กู้หยวนไป๋เอ่ยเย้า “เพราะเจิ้นไม่คู่ควรที่จะกินไข่ไก่ราคาสิบสองเหวินต่อหนึ่งจินเช่นนั้นหรือ”

“ฝ่าบาท” หน้าผากของเสนาบดีกรมอากรชุ่มไปด้วยเหงื่อ “บัญชีของฝ่ายใน คือว่า…”

“ใต้เท้าทัง ท่านดูเถิดว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน” กู้หยวนไป๋ส่ายหน้า ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เจิ้นเพิ่งจะชำระล้างฝ่ายในยังไม่ถึงปีกระมัง ทว่าความเจริญของใต้หล้ามีไว้เพื่อผลกำไร ความวุ่นวายของใต้หล้ามีไว้เพื่อผลประโยชน์ ในเวลาไม่ถึงปีก็มีบางคนกล้าที่จะฉวยโอกาสภายใต้จมูกของเจิ้นเสียแล้ว”

ยามนี้เสนาบดีกรมอากรไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี รถม้าส่ายไปส่ายมา เหงื่อที่แผ่นหลังของเขาเปียกโชกเสื้อผ้าเล็กน้อย

“กองพระคลัง กองธนารักษ์ กองพระคลังรับผิดชอบคลังทรัพย์สินและเงินเข้าออกของฝ่ายใน และทุกวันนี้ขุนนางกองพระคลังกับทังชิงก็คุ้นเคยกันดี” กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นสบายๆ “กองธนารักษ์ไม่เคยเกิดเรื่องมาก่อน แต่ว่ากองพระคลังกลับเกิดเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า หลายวันก่อนการปราบปรามการทุจริตเพิ่งจะผ่านพ้น อดีตขุนนางกองพระคลังประสบไว้ทุกข์พอดี เขาจึงได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อกลับไปแสดงความกตัญญูที่บ้านเกิด ขุนนางกองพระคลังคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งน่าจะไม่เข้าใจนิสัยของเจิ้น อันที่จริงเขาเข้ารับตำแหน่งยังไม่ทันสองเดือนก็เปลี่ยนไข่ไก่ให้กลายเป็นไข่ทองคำ ท่านว่าต่อไปเจิ้นจะยังมีปัญญากินไข่ไก่หรือไม่”

เส้นประสาทในสมองของเสนาบดีกรมอากรตึงเครียด เขาไม่เพียงอกสั่นขวัญแขวนกับคำว่า ‘คุ้นเคยดี’ เท่านั้น ทั้งยังเกลียดการกระทำโลภไร้ปัญญาของขุนนางกองพระคลังอีกด้วย

อารมณ์ของฝ่าบาท ความคิด และความอดทนต่อการทุจริต จนป่านนี้แล้วขุนนางกองพระคลังผู้นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ

รถม้าหยุดลงพอดี กู้หยวนไป๋ตบๆ ที่แขนของเสนาบดีกรมอากร เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “เจิ้นได้ยินว่าทังชิงกำลังจะจัดการเรื่องงานแต่งงานให้กับบุตรสาวที่บ้าน การแต่งงานของบุตรสาวนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด ห้ามตัดสินใจตามอำเภอใจเป็นอันขาด”

ในเวลานี้เสนาบดีกรมอากรจึงตระหนักถึงความหมายในพระราชดำรัสของฝ่าบาท

อันที่จริงระยะหลังมานี้เสนาบดีกรมอากรก็คล้ายจะลังเลอยู่ว่าควรเกี่ยวดองกับขุนนางกองพระคลังดีหรือไม่ บัดนี้ฮ่องเต้ตรัสประโยคเช่นนี้กับเขาตามลำพัง เกรงว่าคงกำลังเตือนสติเขาว่าอย่าไปยุ่งกับคนผู้นั้นมากนัก นี่คือความรักความห่วงใยที่ฮ่องเต้มีต่อเขา

เสนาบดีกรมอากรถอนหายใจอย่างโล่งอก ตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า เขาถวายคำนับต่ำ “ทุกถ้อยคำที่ฝ่าบาทตรัสวันนี้กระหม่อมจดจำไว้ในใจแล้ว กระหม่อมผู้ต่ำต้อยยากที่จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ ความรักความห่วงใยที่ฝ่าบาทมีต่อกระหม่อมนั้นยากที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดอย่างแท้จริง เพียงแต่อดใจไม่ไหวที่จะต้องการทำงานถวายชีวิตเพื่อฝ่าบาท ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่ถอย”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า หลังจากปลอบเขาพร้อมกับรอยยิ้มสองประโยคก็ปล่อยให้เขาลงจากรถ

ในความเป็นจริงขุนนางกองพระคลังซื่อสัตย์มาโดยตลอด และเพิ่งเริ่มมีเจตนาทุจริตเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาเพิ่งจะลงมือก็ถูกกู้หยวนไป๋ค้นพบเสียแล้ว ต้องกล่าวว่าเป็นคนอับโชคนัก

ในนครหลวง กู้หยวนไป๋กำลังวุ่นอยู่กับการจัดการขุนนางกองพระคลัง ในขณะที่คอยดูเรื่องเสื้อบุนวมไปด้วย

 

ที่ชายแดนตอนเหนือ

กลางเดือนสิบ ในที่สุดกองทัพขนส่งธัญพืชที่นอนกลางดินกินกลางทรายตลอดเวลาก็ได้มาสมทบกับทหารที่ชายแดนตอนเหนือแล้ว

แม่ทัพอาวุโสเซวียต้อนรับกองทัพแถวยาวเหยียดนี้ท่ามกลางสายลมโหมกระหน่ำ และได้ต้อนรับเกวียนขนส่งธัญพืชที่ถูกทหารทัพนี้คุ้มกันอยู่ใจกลาง ทั้งยังยาวสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย

เกวียนเหล่านี้ต่างบรรทุกธัญพืชซ้อนกันถุงแล้วถุงเล่าเหมือนภูเขา เมื่อผู้ประสบภัยตามสองข้างทางของพื้นที่รกร้างได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากที่พักและจ้องมองไปยังขบวนเสบียงจนตาค้าง

เกวียนบรรทุกธัญพืชที่แล่นผ่านหน้าพวกเขาก่อให้เกิดเงาเป็นสาย บดบังพวกเขาไว้ใต้เงาของมัน ทั้งยังบดบังแสงอาทิตย์และก้อนเมฆบนท้องฟ้า

ทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนมองขบวนเสบียงเหล่านี้ตาไม่กะพริบ ในชั่วขณะนี้เองสีหน้าอิดโรยของแม่ทัพอาวุโสเซวียก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นทันตา

“เห็นแล้วหรือยัง เห็นแล้วหรือยัง” แม่ทัพเซวียตื้นตัน “ข้าบอกแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าฝ่าบาทจะต้องส่งเสบียงกองใหญ่มาให้! พวกเจ้าเชื่อแล้วหรือยัง พวกเจ้าเชื่อหรือไม่”

ทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนและผู้ประสบภัยที่ได้รับการช่วยเหลือจากแม่ทัพเซวียกินแต่ข้าวต้มมาเป็นเวลานานแล้ว

หลังจากที่แม่ทัพเซวียมาถึงชายแดนตอนเหนือก็ได้ทำทุกอย่างตามอำนาจตนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย อย่างไรก็ตามผู้ประสบภัยมีมากเกินไปและเสบียงที่พวกเขานำมาก็ไม่เพียงพอ ระหว่างรอราชสำนักส่งเสบียงมาก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าราชสำนักไม่ยินยอมส่งเสบียงมาที่ชายแดนตอนเหนือ

บรรดาทหารที่แม่ทัพอาวุโสเซวียพามาจากนครหลวงจนถึงชายแดนตอนเหนือไม่สนใจข่าวลือนี้ พวกเขาเป็นทหารที่ถูกฮ่องเต้เลี้ยงดูจึงรู้ดีที่สุดว่าฮ่องเต้ปฏิบัติต่อทหารอย่างไร ทว่าทหารซึ่งประจำการที่ชายแดนตอนเหนือกลับตื่นตระหนก พวกเขาเคยผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดมาก่อน แม้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาราชสำนักจะขนส่งเสบียงมาอย่างสม่ำเสมอและเปลี่ยนเสื้อเกราะกับอาวุธให้พวกเขา ทว่าพวกเขาก็ยังคงหวาดกลัว ความตื่นตระหนกนี้เริ่มแพร่กระจายไปในหมู่พวกเขา แม่ทัพอาวุโสเซวียที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รวบตัวผู้กระจายข่าวลือและตัดศีรษะทันที จึงสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่ทหารบางส่วนได้ชั่วคราว

อย่างไรก็ดี ทหารส่วนนี้ยังคงกังวล เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวังในใจ

และท่ามกลางความสิ้นหวังนี้เอง ขบวนเสบียงของราชสำนักก็มาถึง

กองทัพนำธัญพืชเข้ามาใกล้แล้ว แต่ถึงแม้จะเข้าใกล้ก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของธัญพืชเหล่านั้นราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด

ทหารผู้ไม่เคยออกจากการรักษาการณ์ในชายแดนตอนเหนือตกตะลึง “เหตุใดเสบียงถึงได้มากมายเพียงนี้…”

ทหารในนครหลวงกลับเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ฝ่าบาททรงรักและปกป้องพวกเรา แน่นอนว่าย่อมส่งเสบียงจำนวนมากให้แก่พวกเราอยู่แล้ว ก็กินข้าวต้มมาสิบวันแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ตื่นตระหนกเพียงนี้”

เหล่าทหารเอาแต่สนใจเสบียงอาหาร ไม่ทันได้ตอบคำของเขาและแทบจะไม่สามารถละสายตากลับมาได้เลย

เสบียงอาหารมากมายเพียงนี้ ชั่วชีวิตนี้มีสักกี่คนเชียวที่จะได้เห็นอาหารมากมายเพียงนี้

อย่างไรก็ดี มีเพียงไม่กี่คนในหมู่ทหารประจำการที่ชายแดนเท่านั้นที่เคยเห็นอาหารมากมายเพียงนี้ ส่วนผู้คนที่ไม่เคยเห็นอาหารจำนวนมหาศาลมาก่อน ลูบคลำใบหน้าของตัวเองโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ถูกคนข้างกายเตือนสติ ถึงได้พบว่าไม่รู้ดวงตาของพวกเขาเปียกชื้นตั้งแต่เมื่อไร

ร้องไห้อะไรกัน

เหล่าทหารต่างงุนงง

พวกเขาเพียงมองเสบียงแค่แวบเดียว ยังมองไม่พอและมองซ้ำเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ในใจยังไม่ทันได้พินิจพิจารณาด้วยซ้ำว่ามันมีรสชาติอย่างไร เหตุใดถึงได้เสียน้ำตาให้กับเสบียงจำนวนมากเหล่านี้เล่า

ในขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้แสนเจ็บปวดดังมาจากสองข้างทางและมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที เหล่าทหารหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นผู้ประสบภัยสองสามคนที่ถูกแม่ทัพเซวียรวบรวมตัวมา พวกเขากำลังกอดกันร้องไห้อย่างขมขื่น เมื่อผู้ประสบภัยที่มีอาการด้านชาหลายวันมานี้ได้เห็นอาหารแล้วก็ราวกับได้พบทางสว่างฉับพลัน ครั้นคนหนึ่งร้องไห้ก็ทำให้เสียงร้องไห้กระจายเป็นวงกว้าง ห้ามอย่างไรก็ห้ามไว้ไม่อยู่

มีอาหารแล้ว พวกเขารอดตายแล้ว

บทที่ 88

 

เพราะหิวโหยจนหวาดกลัว

ในขณะที่ภัยพิบัติจากตั๊กแตนกำลังระบาดและความหิวโหยกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า อาหารจึงเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุด ทั้งยังเป็นหินผาที่ให้ความอุ่นใจที่สุดด้วย เมื่อแม่ทัพอาวุโสเซวียเห็นชาวบ้านผู้ประสบภัยและทหารชายแดนตอนเหนือเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกระคายเคืองและทรมานในหัวใจยิ่งนัก

เมื่อสองเดือนก่อนเขาพากองทัพเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย แหงนหน้าก็เป็นฝูงตั๊กแตนมืดฟ้ามัวดิน ก้มหน้าก็เป็นซากศพของเหยื่อที่หิวโหยจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สิ่งใดที่เรียกว่านรก หากไม่เจอด้วยตาของตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดมากเพียงใดก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่านรกบนดินมีสภาพเป็นเช่นไร

เมื่อผู้คนหิวโหยถึงขีดสุดก็ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะและสามารถกินได้ทุกอย่าง ต้นไม้ ใบหญ้า หรือแม้แต่ดินที่ถูกเหยียบย่ำและคลุกเคล้ากับน้ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ยังกลืนลง ทว่าเมื่อคนกินดินมากเกินไปก็อาจตายได้ หลังจากไม่มีสิ่งใดที่สามารถกินได้แล้ว สุดท้ายมนุษย์ก็กินกันเอง

โศกนาฏกรรมนี้ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ในฎีกาที่แม่ทัพอาวุโสเซวียเขียนถวายฮ่องเต้นั้นก็มีเพียงสี่คำเท่านั้นนั่นคือ ‘หิวตายทุกที่’

พื้นที่ที่มีการระบาดของตั๊กแตนเกิดขึ้นเร็วที่สุดและร้ายแรงที่สุด สตรี เด็ก และบุรุษล้วนผอมแห้ง พวกเขาไม่เพียงหิวโซแต่ยังต้องหวาดระแวงว่าตนจะถูกคนอื่นกินด้วยหรือไม่ ภรรยาและลูกน้อยที่เอาแต่กระจองอแงของตัวเองจะกลายเป็นอาหารของคนอื่นหรือไม่

ฉากเช่นนี้ แม้แต่ปัญญาชนผู้มีไหวพริบดีที่สุดก็คงจะตกตะลึงจนไม่สามารถหยิบพู่กันขึ้นมาได้ แม่ทัพอาวุโสเซวียต้องการที่จะถ่ายทอดสถานการณ์ร้ายแรงในพื้นที่ภัยพิบัติอย่างละเอียด แต่จะถ่ายทอดได้อย่างไรเล่า ทุกหนแห่งร้ายแรงเหมือนกันหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่สามารถหยิบยกออกมาเขียนเป็นพิเศษแล้ว

ขณะที่ให้คนขี่ม้าเร็วนำฎีกาส่งไปยังนครหลวง แม่ทัพอาวุโสเซวียก็ยังเป็นกังวลว่าเขาจะสามารถบรรยายถึงความร้ายแรงของการระบาดของตั๊กแตนทางเหนือลงในฎีกาได้อย่างชัดเจนหรือไม่ กังวลว่าราชสำนักจะให้ความสำคัญหรือไม่ และจะส่งเสบียงจำนวนมากมาให้หรือไม่

เมื่อได้เห็นเสบียงอาหารที่เรียงรายสุดลูกหูลูกตาตรงหน้าเหล่านี้ เขาจึงสามารถวางใจลงได้อย่างสมบูรณ์

เรื่องหนึ่งที่แม่ทัพอาวุโสเซวียซาบซึ้งมากที่สุดก็คือเมื่อต่อสู้ในแนวหน้า ฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหลังยังสามารถวางใจเขาและสนับสนุนอย่างเต็มที่ เรื่องนี้หายากยิ่ง มันไม่ง่ายอย่างที่พูด ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว

แม่ทัพอาวุโสเซวียตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเห็นเซวียหย่วนนำทัพมาก็หัวเราะร่าอย่างมีความสุข “ลูกชายข้า เจ้ามาช้าไปหน่อยนะ!”

ทันทีที่เซวียหย่วนเผยใบหน้าให้เห็น เหล่าทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนตอนเหนือตลอดเวลาก็อุทานด้วยความตกใจ “เซวียจิ่วเหยา!”

“เซวียจิ่วเหยากลับมาแล้วจริงหรือ!”

เซวียหย่วนที่กำลังขี่ม้ามองแม่ทัพเซวียมาจากที่สูง มุมปากยกขึ้น “ไม่พบท่านแม่ทัพเซวียหลายเดือน สถานการณ์ดูมีความผันผวนไปไม่น้อย”

เขาพลิกกายลงจากม้า เดินเข้าไปคำนับแม่ทัพเซวีย กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้าน้อยเซวียหย่วน รับพระบัญชาจากฝ่าบาทมาส่งเสบียงอาหาร ท่านแม่ทัพได้โปรดตรวจสอบ”

แม่ทัพเซวียหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ “เยี่ยมๆๆ”

เขาตบไหล่ของเซวียหย่วน ทันใดนั้นดวงตาก็เปียกชื้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทมีราชโองการให้เจ้าขนส่งเสบียงอาหาร ฝ่าบาทเห็นความสามารถของเจ้าจริงๆ เลยนะ”

เซวียหย่วนแสยะยิ้ม “นี่มันแน่อยู่แล้ว”

แม่ทัพเซวียกับทหารสองสามนายดึงเซวียหย่วนไว้พูดคุยด้วยสองสามประโยค จากนั้นก็ไปตรวจสอบเสบียงอาหารด้วยกัน แม้ผู้ที่ขนส่งเสบียงจะเป็นเซวียหย่วน แม่ทัพเซวียก็สามารถแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้อย่างชัดเจน เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น พวกเขาก็ต้องตกใจกับปริมาณของเสบียงอาหารเหล่านี้

“นี่สามารถกินได้ถึงห้าปีเลยกระมัง”

เสบียงอาหารมากมายเพียงนี้ ทั้งยังมีกองทัพที่มาส่งอาหารนับหมื่นนาย แม่ทัพเซวียพิจารณาดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ธรรมดา ขณะที่เขากำลังจะเรียกเซวียหย่วนไปถามนั้น ก็มีคนเข้ามารายงานว่าเซวียหย่วนได้นำทุกคนไปชำระล้างร่างกายแล้ว

แม่ทัพเซวียเบิกตาโพลง ด่าว่าเจ้าเด็กเฮงซวยด้วยความขุ่นเคืองอย่างไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง “ขนเสบียงลงจากเกวียนให้หมด ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ทำอาหารให้ทุกคนได้กินอิ่มกันก่อน!”

 

หลังจากเซวียหย่วนชำระล้างร่างกายและออกมาจากห้องแล้ว ก็ได้กลิ่นอาหารตลบอบอวลไปทั่วทั้งพื้นที่

เขาเช็ดน้ำออกจากใบหน้า มองขึ้นไปยังควันสีขาวที่ลอยอยู่โดยรอบ จากนั้นก็มองดูกองทัพอย่างเอื่อยเฉื่อย ทหารใหม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขาในการปราบปรามโจรมาบ้าง ทหารในอดีตรู้ถึงกิตติศัพท์ของเซวียหย่วนขณะประจำการอยู่ที่ชายแดนตอนเหนือเป็นอย่างดี ทันทีที่เขาออกมาสำรวจรอบๆ เช่นนี้ คนในกองทัพจำนวนไม่น้อยก็รู้ว่าเซวียจิ่วเหยากลับมาแล้ว

สำหรับทหารในชายแดนตอนเหนือแล้ว ชื่อเสียงของเซวียหย่วนเกรียงไกรอย่างแท้จริง มีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยเข้าสู่สนามรบกับเขา เมื่อเซวียหย่วนเดินผ่านพวกเขาโดยบังเอิญ คนพวกนั้นก็ยังเรียกเขาด้วยความเคารพ “แม่ทัพน้อย”

ในอดีตเมื่อครั้งหลูเฟิงเรืองอำนาจ ชื่อเสียงของเซวียหย่วนถูกระงับโดยแม่ทัพเซวีย แม้ว่าต่อมาฮ่องเต้จะกุมอำนาจ ทว่าเนื่องจากความระมัดระวังและความกังวลของแม่ทัพเซวีย ทั้งยังไม่ใคร่เข้าใจธรรมชาติของฮ่องเต้องค์นี้ดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ให้เซวียหย่วนได้แสดงผลงาน แน่นอนว่าเซวียหย่วนประจำการอยู่ที่ชายแดนจึงไร้ซึ่งตำแหน่งทางการในกองทัพ เพียงเพราะความดื้อรั้นของเขาในอดีต เมื่อคนอื่นเรียกเขาเช่นนี้ เขาจึงตอบรับอย่างเปิดเผยราวกับว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

บัดนี้เมื่อได้ยินการเรียกที่คุ้นหูอีกครั้ง เซวียหย่วนกลับนึกถึงกู้หยวนไป๋ในแวบแรก จู่ๆ ก็รู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่กู้หยวนไป๋ไม่รู้เรื่องนี้

ไม่เช่นนั้นเจ้าเด็กไร้มโนธรรมคนนั้น จะต้องสงสัยว่าเขามีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน

เซวียหย่วนจงใจละทิ้งความคิดทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเองในอดีต และเดินไปยังกระโจมของแม่ทัพเซวียอย่างสบายๆ อาหารถูกนำขึ้นโต๊ะพอดี แม่ทัพเซวียหยุดหารือกับแม่ทัพสองสามคนและให้เขานั่งร่วมวงกินอาหารด้วยกัน

บนโต๊ะอาหาร หัวใจแห่งความจงรักภักดีของแม่ทัพเซวียไม่อาจหาทางระบายออกได้เลย ทำได้เพียงไถ่ถามเซวียหย่วนไม่หยุดหย่อน “ช่วงนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”

ครั้นเซวียหย่วนได้ยินดังนี้ คิ้วและตาของเขาก็มีความขุ่นมัวเล็กน้อย “ข้าไม่ได้เจอฝ่าบาทมาเดือนกว่าแล้ว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”

แม่ทัพเซวียไม่เข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของเขาถึงแย่ลงกะทันหัน “เช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะจากมา ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”

“พระพักตร์อ่อนนุ่มจนแทบจะเหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้าอยู่แล้ว” ตะเกียบของเซวียหย่วนหยุดชะงัก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ยังคงผอมเหมือนเดิม พระหัตถ์เหลือแต่กระดูก”

แม่ทัพเซวียไม่เข้าใจประโยคก่อนหน้านี้ “อะไรคือพระพักตร์อ่อนนุ่มจนแทบจะเหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า”

เซวียหย่วนไม่ได้ยินเสียงของบิดา เขาจมดิ่งลงไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่กระดูกก็รู้สึกระคายเคือง “ข้าไม่อยู่ตอนที่เขาเกิด ในอดีตเขาล้มป่วย แม้แต่การเหยียบย่ำหยกขาวข้างสระน้ำร้อนก็ทำให้ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว ทำได้เพียงให้คนอื่นแบกขึ้นหลัง ครั้งนี้พอข้าจากมาแล้ว ใครจะแบกเขาเล่า”

“ก็ไม่แน่” จู่ๆ เขาก็หัวเราะน่ากลัว “ข้าไปอยู่ที่จิงหูหนานแรมเดือน พอกลับมาก็พบว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นมากเชียว”

“เขามีคนข้างกายมากมายเพียงนี้ เรียกใครแบกหลังก็ได้ไม่ใช่หรือ”

แม่ทัพเซวียได้ยินเพียงเสียงคลุมเครือราวกับหมอกควัน “เซวียหย่วน ข้ากำลังถามว่าพระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง!”

เซวียหย่วนดึงสติกลับมา หรี่ตามองบิดา กดคิ้วต่ำอย่างหมดความอดทน “สบายดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

“ข้าจะไม่ห่วงได้อย่างไร!” แม่ทัพเซวียโกรธอย่างมาก “ฝ่าบาททรงรักและห่วงใยข้าเพียงนี้ เชื่อใจเจ้ากับข้าเพียงนี้ ข้าจะกลายเป็นคนไร้คุณธรรม ไม่เป็นกังวลแม้แต่พระวรกายมังกรของฝ่าบาทได้อย่างไร”

เซวียหย่วน “มีข้าคอยเป็นห่วงอยู่”

แม่ทัพเซวียนิ่งงัน โทสะหายวับในทันตาและแปรเปลี่ยนเป็นเบิกบาน “เยี่ยมๆๆ บุตรของข้าห้ามลืมหัวใจแห่งความจงรักภักดีเป็นอันขาด เจ้ากับข้าในฐานะขุนนางต้องทำเช่นนี้ถึงจะถูกต้อง”

เซวียหย่วนจับตรงหัวใจ ยกยิ้มมุมปาก มีรอยยิ้มล้ำลึกวาบผ่านดวงตาครู่หนึ่ง “หัวใจแห่งความจงรักภักดีดวงนี้เต้นเร็วทีเดียว”

 

ทุกวันนี้ ชนเผ่าเร่ร่อนที่ปะทะกับทหารที่ชายแดนเป็นหนึ่งในแปดชนเผ่าชี่ตันซึ่งมีรื่อเหลียนน่าเป็นผู้นำ

ขบวนทัพที่เซวียหย่วนนำทหารม้าและเสบียงอาหารมาส่งที่ชายแดนตอนเหนือนั้นยิ่งใหญ่มาก หลังจากหน่วยสอดแนมที่รื่อเหลียนน่าส่งมาเห็นดังนี้ก็รีบกลับไปที่เผ่าทันที และรายงานเรื่องที่กองทัพต้าเหิงส่งเสบียงอาหารมาที่ชายแดนให้ผู้นำเผ่าฟัง

ครั้นรื่อเหลียนน่าได้ยินดังนี้ เนื้อวัวตากแห้งในห่อผ้าก็ไม่อร่อยอีกต่อไป เขาขมวดคิ้วเอ่ย “ฮ่องเต้ต้าเหิงส่งคนมาเท่าใด”

ผู้สอดแนมเอ่ยอย่างลังเล “น่าจะมีกว่าหมื่นนาย!”

“จิ๊…” รื่อเหลียนน่าสูดหายใจเย็นยะเยือก ถามต่อว่า “พวกเจ้าเห็นหน้าชัดหรือไม่ว่าผู้นำทัพเป็นใคร”

“พวกเขามีฝ่ายคอยสำรวจทาง พวกเราเข้าใกล้ไม่ได้” ผู้สอดแนมเอ่ย “แม้จะมองไม่เห็นว่าผู้นำทัพเป็นใคร แต่พอมองออกว่าผู้นำทัพนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง”

รื่อเหลียนน่าถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวเราะเสียงดัง “เกรงว่าราชสำนักต้าเหิงคงจะเหลือแต่ทหาร แม้แต่ผู้นำทัพที่ได้เรื่องก็ไม่มีแล้วกระมัง ฮ่าๆๆ ตาเฒ่าเซวียผิงนั่นก็อายุมากแล้ว ไม่ใช่เพราะราชสำนักคิดว่าส่งชายหนุ่มมาก็หมดเรื่องแล้วหรอกหรือ ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้นำทัพที่ขนยังงอกไม่ครบอย่างนี้ มาหนึ่งคนข้ารื่อเหลียนน่าก็จะสังหารหนึ่งคน! จะสังหารจนกระทั่งเจ้าเด็กขนไม่งอกเหล่านั้นเห็นข้าแล้วตกใจจนอุจจาระราดเลยเชียว!”

ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่โดยรอบก็หัวเราะเสียงดังตามไปด้วย

หลังจากหัวเราะจบ แล้วนึกถึงเสบียงอาหารไร้ที่สิ้นสุดที่ผู้สอดแนมเอ่ยถึง ความโลภก็แวบผ่านใบหน้าของรื่อเหลียนน่า “ม้าของพวกเราไม่ได้กินอิ่มนานแล้ว เนิ่นนานปานนี้ นักรบของพวกเรากินเนื้อแกะและเนื้อวัวตากแห้งไปกี่ตัวแล้ว พวกเจ้ายังจำรสชาติของสตรีต้าเหิงและรสชาติของเมล็ดพืชต้าเหิงได้หรือไม่”

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาสีหน้าโหดเหี้ยม “หัวหน้า ตอนนี้พวกเราก็โดนตาเฒ่าเซวียผิงนั่นตีพ่ายกลับมาหลายครั้ง ครั้งนี้มีเด็กหนุ่มเข้ามา ไม่แน่อาจเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เคยเข้าสู่สนามรบและไม่เคยประมือกับพวกเราก็เป็นได้ หากฝ่าเขาไปได้ก็จะต้องจู่โจมตาเฒ่านั่นได้อย่างแน่นอน!”

ไอสังหารของรื่อเหลียนน่าหนักอึ้ง “กล่าวได้ถูกต้อง ครั้งนี้พวกเราจะต้องกลับมาพร้อมกับกำไรเป็นแน่แท้”

ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชามีคนเอ่ยขึ้น “ไม่เพียงเท่านี้ หัวหน้า บัดนี้หัวหน้าใหญ่ของชี่ตันทั้งแปดกลุ่มใกล้จะสิ้นใจแล้ว หากพวกเราสามารถทำการใหญ่ได้ก่อนที่หัวหน้าใหญ่จะตาย ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่คนต่อไปของเผ่าชี่ตันเกรงว่าจะเป็นท่านแล้ว”

ครั้นเอ่ยวาจาเช่นนี้ รื่อเหลียนน่าก็จิตใจปั่นป่วน

ถูกต้อง ในเวลานี้เมื่อหัวหน้าใหญ่กำลังจะตาย หากเรื่องที่ราชสำนักส่งเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้ามาล่วงรู้ไปถึงหัวหน้าเผ่าอื่นๆ พวกเขาจะต้องปล้นพวกต้าเหิงเพื่อแย่งชิงผลงานอย่างแน่นอน บัดนี้รื่อเหลียนน่าเป็นคนแรกที่รู้ข่าวทั้งยังอยู่ใกล้ที่สุด นี่ไม่ใช่ผลงานที่สวรรค์ต้องการจะประทานเขาหรอกหรือ

ตาเฒ่าเซวียผิงนั่นป้องกันอย่างแน่นหนา ทว่าบัดนี้แผ่นเหล็กนี้กลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ หากรื่อเหลียนน่าไม่เหยียบเข้าไปบนช่องโหว่นี้ เขาตายไปก็จะต้องเสียใจอย่างแน่นอน

สังหาร จะต้องสังหาร!

จะต้องให้ทหารใหม่เหล่านี้รู้ว่าอะไรคือความโหดร้ายในใต้หล้านี้ และจะต้องให้แม่ทัพที่ขนยังไม่ขึ้นดีผู้นั้นรู้ว่าอะไรคือฝันร้าย!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 15 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: